ที่ tag พนักงานบริษัท เพราะเห็นพนักงานบริษัทหลายคนอยากทำ startup
เริ่มเลยอันนี้เป็นความลับมาก ลับจนหลายคนที่เป็น startup แล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองก็ผ่านเงื่อนไขนี้มาเหมือนกัน
ผมเองก็ถือว่าเป็น Startup คนหนึ่งในวงการ IT ที่กล้าบอกว่าตัวเองก็สำเร็จมาเยอะมาก ตอนหลังมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นจึงรู้ว่าตัวเองบังเอินทำถูกพอดีคืออยู่ในศีล 5555 ถึงจะไม่ 100% แต่ก็เยอะอยู่
มันมีกฏธรรมชาติข้อหนึ่งกล่าวไว้
ทุกการกระทำมีผลของการกระทำ ฝรั่งจะไปบอกว่า Butterfly effect ก็เถอะ
คราวนี้ก็มาเชื่อมกับศีลเอาที่ basic สุดของศีลคือ ศีล 5 ความลับที่ครูไม่เคยสอนแต่พระที่เก่งๆสอนไว้คือ เมื่อผิดข้อใดข้อหนึ่งใน 5 ข้อแล้วจะเกิดคนที่มีความขุ่นเคืองโกรธแค้นเกิดขึ้นในโลก และเมื่อมีกฏว่าทุกการกระทำมีผลของการกระทำรวมอยู่ด้วยแล้ว คนที่ผิดก็ต้องไปรับผลเองนะ
มาลองดูกันถ้าไม่เชื่อ
1. ใช้วาจาทำร้ายกันตั้งแต่ส่อดเสียดยันถึงโกหก
2. ใช้ร่างกายทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้ออม จนไปถึงผู้นั้นได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต (ถ้าตอนบาดเจ็บผู้บาทเจ็บก็แค้นด้วย ถ้าตายไปคนที่รู้จักเค้าก็แค้นแทนให้)
3. ไปทำร้ายหรือขโมยของรักของผู้อื่นก็ทำให้เจ้าของแค้นได้
4. ไปประพฤติผิดในเรื่องเพศกับคนที่เค้ามีคนดูแลและรักคนนั้นอยู่ (กรณีนี้คนโกรธแค้นจะเยอะ เพราะผิดหนึ่ง แต่ พ่อแม่ พี่ป้า น้าอา เพื่อน ต่างโกรธแค้นไปด้วย)
5. ทำลายสติตัวเองจนไปมีโอกาสผิดข้อ 1 ถึง 4
คุณสมบัติ ของผลของความโกรธแค้นมีดังนี้
1.ปริมาณที่ไม่แน่นอน ตอนทำอาจทำน้อยๆแต่ตอนมันส่งกลับอาจใหญ่มากเลยก็ได้ เราไม่รู้
2.เวลาส่งผลที่ไม่แน่นอน ช้าหรือเร็ว เราไม่รู้
3.ขนาดที่ไม่แน่นอน ใหญ่หรือเล็ก เราไม่รู้
คนไทยส่วนใหญ่อาจจะมีความเข้าใจนี้ผิดเยอะคือไปเชื่อว่าทำอะไรได้อย่างนั้น ผมของเถียงมากมาย ในข่าวหลายๆที่แค่ใช้วาจาด่าทอกัน ผลคือบาดเจ็บสาหัสหรือตายเลยทีเดียว เร็วช้า ใหญ่เล็กเราไม่รู้ จำไว้เลยข้อนี้
คราวนี้คนผิดก็รอรับผลกันเถอะใครก็ช่วยไม่ได้
ศีลแปลว่าปกติ นั้นก็คือชีวิตสามารถใช้ได้โดยปกติสามารถรับผลกระทบที่ตัวเองทำได้โดยที่ไม่เป็นโทษ เช่นเขียนโปรแกรมมาขายก็หวังผลของการขาย หรือทำธุระกิจอย่างใดอย่างหนึ่งก็หวังผลจากธุระกิจนั้น ถึงแม้จะมีผลกระทบเชิงการแข่งขันนั้นก็ยังเป็นเรื่องปกติ
แต่ที่ไม่ปกติคือ ต้องคอยระวังเรื่องที่ให้โทษจะมากระทบตัวเอง เพราะตัวเองไปสร้างความขุ่นเคืองโกรธแค้นทิ้งไว้ในใจคนอื่น และความความขุ่นเคืองโกรธแค้น นั้นรอวันที่จะส่งผลให้ผู้สร้าง และทำให้ผู้สร้างยากที่จะเจริญและเป็นไปตามปกติได้
พอผลกระทบจากการสร้างความขุ่นเคืองโกรธแค้นกลับมาที่คนที่กระทำไว้ เค้าเองก็ต้องมารับมือกับผลกระทบโดยขาดโอกาสดำเนินเรื่องราวชีวิตหรือธุระกิจต่อได้
ตัวอย่างที่เราเห็นในข่าวกันคือ ข่าวหญิงไก่ หรือ มะนาว ที่พอกระทำไปแล้วต้องมารับผลที่เกิดจากความขุ่นเคืองโกรธแค้นของคนอื่น และทำให้ตัวเองเสียโอกาสต่างๆในชีวิต
--------คราวนี้ผมจะเล่าของผมให้ฟัง
-ถ้าก่อนที่ผมจะเปิดบริษัทรับงาน ผมโกหกคนไว้เยอะๆ พูดจากส่อเสียดลูกค้ารวมถึง business partner
-ถ้าผมไปลักขโมยโกงเงินลูกค้า
-ถ้าผมใช้กำลังทำร้ายเพื่อนร่วมงาน
-ถ้าผมไปหลอกล่อหญิงสาวประพฤติผิดกับคนที่มีเจ้าของแล้ว
ข้างบนทั้งหมดก็จะส่งผลให้ผมไม่สามารถทำธุระกิจได้อย่างราบรื่น(คือแทนที่จะมีปัญหาเฉพาะของธุระกิจ) กล่าวคือผมต้องมารับปัญหาวุ้นวายจากเรื่องราวที่ผมสร้าง ถ้าไม่รับตรงๆก็รับทางอ้อมคือ business partner ก็จะไม่ไว้ใจเพราะเคยไปโกหกเค้าไว้เค้าก็ไม่ให้งาน
โดยสรุปผมเลยมั่นใจว่า Startup ส่วนมากมีศีลเกิน 70% แน่นอน
ขอไม่ต้องมาถงเถียงกับผมเรื่องตัวเลข 70 นะครับ ผมแค่อยากแชร์ความลับให้กับคนที่อยากเริ่มทำ Startup จะได้รู้ว่าต้องเริ่มปูทางตัวเองไว้แบบไหนก่อน เพื่อที่จะออกมาสู้กับสนามจริงจะได้ไม่เหนื่อยเกินความจริงและโอกาสรอดสูงครับ
ง่ายๆคุณลองดูพวกที่เป็นเจ้าของบริษัทต่างๆซิก่อนเค้าออกมาเปิดบริษัทเค้าส่วนใหญ่ต่าง
- เป็นคนช่วยเหลือคน
-พูดจาดี
-ทำงานเยอะไม่บน
-จริงๆคนกลุ่มนี้มีแนวคิดแบบ โยนิโสมนสิการด้วยคือมองทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ ศึกษา เพื่อเปลี่ยนปัญหาเป็นปัญญา
นี่แหละมาเตรียมตัวกันเลย
ความลับ ถ้าจะเป็น Startup ได้ต้องมีศีลเกิน 70% up
เริ่มเลยอันนี้เป็นความลับมาก ลับจนหลายคนที่เป็น startup แล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองก็ผ่านเงื่อนไขนี้มาเหมือนกัน
ผมเองก็ถือว่าเป็น Startup คนหนึ่งในวงการ IT ที่กล้าบอกว่าตัวเองก็สำเร็จมาเยอะมาก ตอนหลังมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นจึงรู้ว่าตัวเองบังเอินทำถูกพอดีคืออยู่ในศีล 5555 ถึงจะไม่ 100% แต่ก็เยอะอยู่
มันมีกฏธรรมชาติข้อหนึ่งกล่าวไว้
ทุกการกระทำมีผลของการกระทำ ฝรั่งจะไปบอกว่า Butterfly effect ก็เถอะ
คราวนี้ก็มาเชื่อมกับศีลเอาที่ basic สุดของศีลคือ ศีล 5 ความลับที่ครูไม่เคยสอนแต่พระที่เก่งๆสอนไว้คือ เมื่อผิดข้อใดข้อหนึ่งใน 5 ข้อแล้วจะเกิดคนที่มีความขุ่นเคืองโกรธแค้นเกิดขึ้นในโลก และเมื่อมีกฏว่าทุกการกระทำมีผลของการกระทำรวมอยู่ด้วยแล้ว คนที่ผิดก็ต้องไปรับผลเองนะ
มาลองดูกันถ้าไม่เชื่อ
1. ใช้วาจาทำร้ายกันตั้งแต่ส่อดเสียดยันถึงโกหก
2. ใช้ร่างกายทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้ออม จนไปถึงผู้นั้นได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต (ถ้าตอนบาดเจ็บผู้บาทเจ็บก็แค้นด้วย ถ้าตายไปคนที่รู้จักเค้าก็แค้นแทนให้)
3. ไปทำร้ายหรือขโมยของรักของผู้อื่นก็ทำให้เจ้าของแค้นได้
4. ไปประพฤติผิดในเรื่องเพศกับคนที่เค้ามีคนดูแลและรักคนนั้นอยู่ (กรณีนี้คนโกรธแค้นจะเยอะ เพราะผิดหนึ่ง แต่ พ่อแม่ พี่ป้า น้าอา เพื่อน ต่างโกรธแค้นไปด้วย)
5. ทำลายสติตัวเองจนไปมีโอกาสผิดข้อ 1 ถึง 4
คุณสมบัติ ของผลของความโกรธแค้นมีดังนี้
1.ปริมาณที่ไม่แน่นอน ตอนทำอาจทำน้อยๆแต่ตอนมันส่งกลับอาจใหญ่มากเลยก็ได้ เราไม่รู้
2.เวลาส่งผลที่ไม่แน่นอน ช้าหรือเร็ว เราไม่รู้
3.ขนาดที่ไม่แน่นอน ใหญ่หรือเล็ก เราไม่รู้
คนไทยส่วนใหญ่อาจจะมีความเข้าใจนี้ผิดเยอะคือไปเชื่อว่าทำอะไรได้อย่างนั้น ผมของเถียงมากมาย ในข่าวหลายๆที่แค่ใช้วาจาด่าทอกัน ผลคือบาดเจ็บสาหัสหรือตายเลยทีเดียว เร็วช้า ใหญ่เล็กเราไม่รู้ จำไว้เลยข้อนี้
คราวนี้คนผิดก็รอรับผลกันเถอะใครก็ช่วยไม่ได้
ศีลแปลว่าปกติ นั้นก็คือชีวิตสามารถใช้ได้โดยปกติสามารถรับผลกระทบที่ตัวเองทำได้โดยที่ไม่เป็นโทษ เช่นเขียนโปรแกรมมาขายก็หวังผลของการขาย หรือทำธุระกิจอย่างใดอย่างหนึ่งก็หวังผลจากธุระกิจนั้น ถึงแม้จะมีผลกระทบเชิงการแข่งขันนั้นก็ยังเป็นเรื่องปกติ
แต่ที่ไม่ปกติคือ ต้องคอยระวังเรื่องที่ให้โทษจะมากระทบตัวเอง เพราะตัวเองไปสร้างความขุ่นเคืองโกรธแค้นทิ้งไว้ในใจคนอื่น และความความขุ่นเคืองโกรธแค้น นั้นรอวันที่จะส่งผลให้ผู้สร้าง และทำให้ผู้สร้างยากที่จะเจริญและเป็นไปตามปกติได้
พอผลกระทบจากการสร้างความขุ่นเคืองโกรธแค้นกลับมาที่คนที่กระทำไว้ เค้าเองก็ต้องมารับมือกับผลกระทบโดยขาดโอกาสดำเนินเรื่องราวชีวิตหรือธุระกิจต่อได้
ตัวอย่างที่เราเห็นในข่าวกันคือ ข่าวหญิงไก่ หรือ มะนาว ที่พอกระทำไปแล้วต้องมารับผลที่เกิดจากความขุ่นเคืองโกรธแค้นของคนอื่น และทำให้ตัวเองเสียโอกาสต่างๆในชีวิต
--------คราวนี้ผมจะเล่าของผมให้ฟัง
-ถ้าก่อนที่ผมจะเปิดบริษัทรับงาน ผมโกหกคนไว้เยอะๆ พูดจากส่อเสียดลูกค้ารวมถึง business partner
-ถ้าผมไปลักขโมยโกงเงินลูกค้า
-ถ้าผมใช้กำลังทำร้ายเพื่อนร่วมงาน
-ถ้าผมไปหลอกล่อหญิงสาวประพฤติผิดกับคนที่มีเจ้าของแล้ว
ข้างบนทั้งหมดก็จะส่งผลให้ผมไม่สามารถทำธุระกิจได้อย่างราบรื่น(คือแทนที่จะมีปัญหาเฉพาะของธุระกิจ) กล่าวคือผมต้องมารับปัญหาวุ้นวายจากเรื่องราวที่ผมสร้าง ถ้าไม่รับตรงๆก็รับทางอ้อมคือ business partner ก็จะไม่ไว้ใจเพราะเคยไปโกหกเค้าไว้เค้าก็ไม่ให้งาน
โดยสรุปผมเลยมั่นใจว่า Startup ส่วนมากมีศีลเกิน 70% แน่นอน
ขอไม่ต้องมาถงเถียงกับผมเรื่องตัวเลข 70 นะครับ ผมแค่อยากแชร์ความลับให้กับคนที่อยากเริ่มทำ Startup จะได้รู้ว่าต้องเริ่มปูทางตัวเองไว้แบบไหนก่อน เพื่อที่จะออกมาสู้กับสนามจริงจะได้ไม่เหนื่อยเกินความจริงและโอกาสรอดสูงครับ
ง่ายๆคุณลองดูพวกที่เป็นเจ้าของบริษัทต่างๆซิก่อนเค้าออกมาเปิดบริษัทเค้าส่วนใหญ่ต่าง
- เป็นคนช่วยเหลือคน
-พูดจาดี
-ทำงานเยอะไม่บน
-จริงๆคนกลุ่มนี้มีแนวคิดแบบ โยนิโสมนสิการด้วยคือมองทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ ศึกษา เพื่อเปลี่ยนปัญหาเป็นปัญญา
นี่แหละมาเตรียมตัวกันเลย