วันนี้เป็นวันทอดกฐิน เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระเณรองค์ใดที่ต้องการจะออกไปเที่ยววิเวกหาความสงัดในการบำเพ็ญเพียรในที่ต่างๆ ตามป่าตามเขาลำเนาไพรก็พากันไปได้ ด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าไปกรรมฐานเฉยๆ ใช้ไม่ได้นะ การไปเที่ยวกรรมฐานก็คือกรรมฐานภายใน อวัยวะ ๓๒ นี้เป็นที่ท่องเที่ยวกรรมฐาน นับแต่เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ลงไปถึงอาการ ๓๒ ก็เป็นกรรมฐานภายใน เที่ยวกรรมฐานภายนอกไปอยู่ตามป่าตามเขา ก็เพื่อจะพิจารณากรรมฐานภายในของเราให้สะดวกราบรื่นต่อไป เพราะไม่มีอะไรรบกวน
การปฏิบัติธรรมมรรคผลนิพพานอยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ได้อยู่กับดินฟ้าอากาศ ไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้ง อยู่กับการปฏิบัติของเรา ถ้าเรามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ที่ไหนก็เป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกๆ ฝีก้าว ถ้าปราศจากสติเป็นเรื่องควบคุมความเพียรให้ห่างไกลไปแล้วนั้น เรียกว่าห่างเหินจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว ผู้ที่มีสติติดแนบอยู่กับความพากเพียร เป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกอิริยาบถ ให้พากันจำเอาไว้
เรื่องสติเป็นของสำคัญมากทีเดียว สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีคำว่ายกเว้นที่สติจะไม่ติดแนบกับตัว นี่ละความเพียรอยู่กับสติ ประกอบหน้าที่การงานภายนอกก็ให้มีสัมปชัญญะ มีสติติดตัวอยู่เสมอ การงานทั้งหลายก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าสติได้ห่างจากตัวเมื่อไรแล้วภายในก็ผิดพลาด ภายนอกก็ผิดพลาด หาความถูกต้องดีงามไม่ได้ ให้พากันระมัดระวัง เกี่ยวกับเรื่องสติเป็นสำคัญ สตินี้เป็นเครื่องรับรองยืนยันมรรคผลนิพพาน
คำว่าสติๆ นี้ตั้งแต่พื้นๆ ที่ล้มลุกคลุกคลาน ตั้งสติตั้งแล้วล้มๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงสติติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับลำดา จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ แล้วกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา นั่นคือทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพานไม่สงสัย ท่านผู้ปฏิบัติธรรมให้มีสติติดแนบอยู่กับความเพียร อย่าสักแต่ว่าทำ ทำภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ถ้าสติไม่ดี ดูงานการภายนอกเหลวไหล ผิดๆ พลาดๆ ไป ไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำ ถ้าสติอยู่กับตัว การงานภายนอกก็เรียบร้อยดีงามไม่ค่อยผิดพลาด การงานภายในคือสติกับจิตก็จับกันติดแนบสนิทไม่ผิดพลาด เป็นการตั้งฐานเพื่อความสงบเย็นใจไปได้โดยลำดับ สติเป็นของสำคัญ สตินี่ตั้งได้ไม่สงสัย ขอให้มีสติเถอะ
ผู้มีสตินั่นแหละเป็นผู้จะตั้งรากตั้งฐานแห่งความสงบเย็นใจ ตั้งแต่พื้นๆ คือความสงบเย็นใจ เรียกว่าสมถธรรมคือความสงบใจ จากนั้นก็ขึ้นเป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ หลังจากนั้นแล้วก็คลี่คลายออกเป็นทางด้านปัญญา สมาธิปัญญา ออกทางด้านปัญญา พิจารณาใคร่ครวญถึงธาตุถึงขันธ์ ป่าช้านอกป่าช้าใน ป่าช้านอกคือสถานที่คนล้มคนตาย เผาหรือฝังกันเกลื่อนอยู่ ดังที่เราเห็นในที่ทั่วไป เฉพาะทุกวันนี้มีที่เมรุ ให้ดูที่เมรุนั่นละ ไม่มีป่าช้าเหมือนอย่างแต่ก่อน ที่เผาศพเผาเมรุนอกบ้านนอกเรือนไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้ใครตายก็ขนเข้าเมรุๆ เผากันในวัดในวาอย่างงั้นละ เดี๋ยวนี้ป่าช้าอยู่ในเมรุไม่อยู่นอกเหมือนแต่ก่อน มีเมรุเป็นป่าช้าเผาศพคน นั่นละเที่ยวป่าช้าให้ดู
การเกิดกับการตายนี้เป็นของคู่กัน ใครจะไม่อยากตายเท่าไรก็ติดอยู่กับตัวแล้ว ไม่อยากก็ได้ตาย เกิดแล้วต้องตายเป็นของคู่ควรกัน แต่การพิจารณาตัวเองให้จิตใจมีทางหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งหลายนี้เป็นเรื่องของธรรม ให้มีสติมีปัญญาใคร่ครวญทางด้านจิตใจของตนอยู่เสมอ จะเป็นความพากความเพียรไปตลอด ถ้าไม่มีสติแล้วไม่มีความเพียร ความเพียรขาด สติขาดเมื่อไรความเพียรขาดเมื่อนั้น เราอย่าเข้าใจว่าเดินจงกรมหย็อกๆ หรือนั่งสมาธิเป็นหัวตออย่างนี้ว่าเป็นผู้มีความเพียร ถ้าไม่มีสติ จะนั่งจนตายก็ไม่เกิดประโยชน์ เดินจงกรมจนขาหักก็ไม่ได้เรื่องได้ราว อยู่กับสติเป็นสำคัญ
ถ้าสติติดแนบอยู่กับความเพียรแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นความเพียรตลอด สตินี้ตั้งได้ ตั้งแต่สมถธรรมคือความสงบใจ หนีจากสติไม่ได้เลย นี่ได้พิจารณาได้ทำมาแล้ว จึงได้นำมาสอนท่านทั้งหลายด้วยความแม่นยำ ไม่ผิดพลาดไปได้ สตินี้ตั้งให้ดี คำว่าตั้งสติ ไม่ใช่ว่าตั้งแล้วผิดๆ พลาดๆ เผลอๆ เผลๆ ใช้ไม่ได้อย่างงั้น ตั้งสติต้องเอาจริงเอาจัง ลงว่าได้ตั้งสติแล้ว สตินี้ละจะเป็นธรรมคุ้มครองจิตใจของเราให้เป็นความสงบเย็นใจลงไปได้เป็นลำดับลำดา ถ้าขาดสติเมื่อไร กิเลสตัณหาจะเข้าแทรกแซงและทำลาย กลายเป็นความฟุ้งซ่านรำคาญ ทำความพากเพียรก็ไม่ได้หลักได้ฐาน ได้กฎได้เกณฑ์อะไร ถ้าลงสติขาดจากความเพียรแล้ว ความเพียรไม่เป็นท่า
เดินถ้าขาดสติแล้วก็สักแต่ว่าเดิน นั่งถ้าขาดสติแล้วก็สักแต่ว่านั่งไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นการนั่ง ยืน เดิน นอน ด้วยความมีสตินี้เรียกว่าเป็นผู้มีความเพียรอยู่ตลอดเวลา ความเพียรอยู่ที่สติ ไม่อยู่ที่ไหนนะ ให้จับสติไว้ให้ดี ถ้าสติไม่เผลอจากใจเมื่อไรเป็นความเพียรอยู่ตลอดอิริยาบถ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น สติมีอยู่ตลอดเวลา จะตั้งรากฐานของจิตให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจได้เป็นลำดับลำดา จากนั้นจิตแน่นหนามั่นคงเข้าไปก็เป็นสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นแน่นหนามั่นคง สมถะคือความสงบเย็นใจ จากนั้นไปก็เป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ จากความแน่นหนามั่นคงของใจแล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา
การถอดถอนกิเลสไม่ใช่ถอดถอนด้วยสมาธิความสงบใจเท่านั้น ถอดถอนด้วยปัญญา สมาธินี้เป็นธรรมอิ่มอารมณ์ สมาธิจิตสงบเย็นใจ ไม่หิวโหยในอารมณ์ทั้งหลาย เป็นจิตอิ่มอารมณ์ จิตอารมณ์แล้วจะพาทำการทำงานคือคลี่คลายดูสกลกายทั้งข้างนอกข้างในด้วยปัญญาก็เป็นไปได้สะดวก จิตก็ทำงานให้ถ้ามีสติควบคุม นี่ละท่านว่าเมื่อจิตสงบแล้วให้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาสกลกาย ท่านสอนพระบวชใหม่ว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านสอนเพียงเท่านี้ก่อนตามเวลาที่มีเพียงแค่นั้น จากนั้นเราจะพิจารณาใคร่ครวญเข้าไปถึงอาการ ๓๒ ภายในร่างกายของเรานี้ได้ตลอดทั่วถึงหมด นี่เป็นทางเดินของกรรมฐาน เดินตามเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ
จากนั้นก็เดินในอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก หัวใจ แล้วก็เข้าไปภายในตับ ไต ไส้ พุง ดูไปหมด ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล หาความสะอาดไม่ได้ คนเราสกปรกที่สุดสัตว์สกปรกที่สุด อะไรเข้ามาแปดเปื้อนหรือสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายนี้ ผ้าแม้จะทอใหม่ๆ เอามานุ่งห่มสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายนี้ไม่ได้กี่วันแหละ เป็นความสกปรกขึ้นมา ต้องซักต้องฟอก ต้องชะต้องล้าง เพราะร่างกายนี้เป็นตัวสกปรก เมื่อสิ่งใดเข้ามาคละเคล้าย่อมสกปรกไปตามๆ กัน นี่ละเป็นกรรมฐานอันหนึ่ง ที่เราทั้งหลายจะได้พิจารณากรรมฐานเหล่านี้
ตัวสกปรกคือตัวร่างกายของเรา สิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับร่างกาย ไม่ว่าที่อยู่ที่หลับที่นอนหมอนมุ้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ถ้าเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายของมนุษย์แล้วกลายเป็นของสกปรกไปตามๆ กันหมด ต้องเช็ดต้องล้าง ต้องถูต้องซักต้องฟอก ต้องอาบต้องล้างอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายนี้สกปรก ให้เอาอันนี้เป็นเครื่องพิจารณากรรมฐาน สิ่งใดก็ตามตามปรกติเขาสะอาด เขาไม่ได้สกปรก พอเข้าไปเกี่ยวข้องกับร่างกายของมนุษย์เท่านั้น ต้องเช็ดต้องล้างต้องถู ต้องซักต้องฟอกต้องอาบกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่เช่นนั้นไม่ได้
เพราะร่างกายเป็นตัวสกปรก สกปรกแท้ๆ อยู่ภายใน มันซึมซาบออกมาทางภายนอก ทางผิวหนัง ผิวหนังก็กลายเป็นของสกปรก อะไรเกี่ยวกับผิวหนังก็สกปรก เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เวลาเข้ามาเกี่ยวข้องกับผิวหนังของเรานี้แล้ว จะกลายเป็นของสกปรกด้วยกัน นี่คือการพิจารณากรรมฐาน ให้พิจารณาอย่างนี้ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ซ้ำๆ ซากๆ ให้เดินกรรมฐานอยู่ในร่างกายของเราจนมีความชำนิชำนาญ คล่องแคล่วแกล้วกล้า แล้วมันจะหมุนเข้าไปสู่ความละเอียดเอง คือร่างกายนี่เป็นฐานที่ตั้งแห่งกรรมฐานในเบื้องต้น พิจารณาตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก เข้าไปหาตับไตไส้พุง จนกระทั่งมันรู้ชัดทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาด้านวัตถุของร่างกายนี้แล้วมันจะปล่อยวาง มันปล่อยร่างกายนี้หมดแล้ว จะเป็นคุณธรรมหรือความว่างขึ้นมาอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นนามธรรม
ร่างกายนี้ไม่ใช่จะพิจารณาตลอดไปนะ พิจารณาถึงความอิ่มพอแล้วอิ่ม ร่างกายหมดความพิจารณาเรียบร้อยแล้ว มันจะซึบซาบเข้าสู่นามธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดความปรุง มันจะออกจากใจ คิดดีก็ตาม คิดชั่วก็ตาม จะเกิดขึ้นจากใจ เมื่อมีสติแล้วก็ทำงานอยู่ที่การเกิดการดับของสังขารคือความคิดความปรุง เกิดแล้วเกิดเล่า ดับแล้วดับเล่า สติจับกันอยู่ที่นั่น มันจะเป็นวงแคบเข้าไปหาความเกิดความดับของสังขารคือความคิดปรุง ในเบื้องต้นพิจารณาร่างกายเสียก่อน เมื่อร่างกายหมดปัญหาแล้ว มันจะไม่พิจารณา มันอิ่มตัว คือพิจารณาร่างกายอิ่มตัวแล้ว มันจะไม่เอาแหละที่นี่ มันจะพิจารณาแต่ทางนามธรรม ให้พากันเข้าใจ
ที่มา:
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4678&CatID=3
จับสติไว้ให้ดี
การปฏิบัติธรรมมรรคผลนิพพานอยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ได้อยู่กับดินฟ้าอากาศ ไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้ง อยู่กับการปฏิบัติของเรา ถ้าเรามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ที่ไหนก็เป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกๆ ฝีก้าว ถ้าปราศจากสติเป็นเรื่องควบคุมความเพียรให้ห่างไกลไปแล้วนั้น เรียกว่าห่างเหินจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว ผู้ที่มีสติติดแนบอยู่กับความพากเพียร เป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกอิริยาบถ ให้พากันจำเอาไว้
เรื่องสติเป็นของสำคัญมากทีเดียว สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีคำว่ายกเว้นที่สติจะไม่ติดแนบกับตัว นี่ละความเพียรอยู่กับสติ ประกอบหน้าที่การงานภายนอกก็ให้มีสัมปชัญญะ มีสติติดตัวอยู่เสมอ การงานทั้งหลายก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าสติได้ห่างจากตัวเมื่อไรแล้วภายในก็ผิดพลาด ภายนอกก็ผิดพลาด หาความถูกต้องดีงามไม่ได้ ให้พากันระมัดระวัง เกี่ยวกับเรื่องสติเป็นสำคัญ สตินี้เป็นเครื่องรับรองยืนยันมรรคผลนิพพาน
คำว่าสติๆ นี้ตั้งแต่พื้นๆ ที่ล้มลุกคลุกคลาน ตั้งสติตั้งแล้วล้มๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงสติติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับลำดา จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ แล้วกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา นั่นคือทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพานไม่สงสัย ท่านผู้ปฏิบัติธรรมให้มีสติติดแนบอยู่กับความเพียร อย่าสักแต่ว่าทำ ทำภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ถ้าสติไม่ดี ดูงานการภายนอกเหลวไหล ผิดๆ พลาดๆ ไป ไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำ ถ้าสติอยู่กับตัว การงานภายนอกก็เรียบร้อยดีงามไม่ค่อยผิดพลาด การงานภายในคือสติกับจิตก็จับกันติดแนบสนิทไม่ผิดพลาด เป็นการตั้งฐานเพื่อความสงบเย็นใจไปได้โดยลำดับ สติเป็นของสำคัญ สตินี่ตั้งได้ไม่สงสัย ขอให้มีสติเถอะ
ผู้มีสตินั่นแหละเป็นผู้จะตั้งรากตั้งฐานแห่งความสงบเย็นใจ ตั้งแต่พื้นๆ คือความสงบเย็นใจ เรียกว่าสมถธรรมคือความสงบใจ จากนั้นก็ขึ้นเป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ หลังจากนั้นแล้วก็คลี่คลายออกเป็นทางด้านปัญญา สมาธิปัญญา ออกทางด้านปัญญา พิจารณาใคร่ครวญถึงธาตุถึงขันธ์ ป่าช้านอกป่าช้าใน ป่าช้านอกคือสถานที่คนล้มคนตาย เผาหรือฝังกันเกลื่อนอยู่ ดังที่เราเห็นในที่ทั่วไป เฉพาะทุกวันนี้มีที่เมรุ ให้ดูที่เมรุนั่นละ ไม่มีป่าช้าเหมือนอย่างแต่ก่อน ที่เผาศพเผาเมรุนอกบ้านนอกเรือนไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้ใครตายก็ขนเข้าเมรุๆ เผากันในวัดในวาอย่างงั้นละ เดี๋ยวนี้ป่าช้าอยู่ในเมรุไม่อยู่นอกเหมือนแต่ก่อน มีเมรุเป็นป่าช้าเผาศพคน นั่นละเที่ยวป่าช้าให้ดู
การเกิดกับการตายนี้เป็นของคู่กัน ใครจะไม่อยากตายเท่าไรก็ติดอยู่กับตัวแล้ว ไม่อยากก็ได้ตาย เกิดแล้วต้องตายเป็นของคู่ควรกัน แต่การพิจารณาตัวเองให้จิตใจมีทางหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งหลายนี้เป็นเรื่องของธรรม ให้มีสติมีปัญญาใคร่ครวญทางด้านจิตใจของตนอยู่เสมอ จะเป็นความพากความเพียรไปตลอด ถ้าไม่มีสติแล้วไม่มีความเพียร ความเพียรขาด สติขาดเมื่อไรความเพียรขาดเมื่อนั้น เราอย่าเข้าใจว่าเดินจงกรมหย็อกๆ หรือนั่งสมาธิเป็นหัวตออย่างนี้ว่าเป็นผู้มีความเพียร ถ้าไม่มีสติ จะนั่งจนตายก็ไม่เกิดประโยชน์ เดินจงกรมจนขาหักก็ไม่ได้เรื่องได้ราว อยู่กับสติเป็นสำคัญ
ถ้าสติติดแนบอยู่กับความเพียรแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นความเพียรตลอด สตินี้ตั้งได้ ตั้งแต่สมถธรรมคือความสงบใจ หนีจากสติไม่ได้เลย นี่ได้พิจารณาได้ทำมาแล้ว จึงได้นำมาสอนท่านทั้งหลายด้วยความแม่นยำ ไม่ผิดพลาดไปได้ สตินี้ตั้งให้ดี คำว่าตั้งสติ ไม่ใช่ว่าตั้งแล้วผิดๆ พลาดๆ เผลอๆ เผลๆ ใช้ไม่ได้อย่างงั้น ตั้งสติต้องเอาจริงเอาจัง ลงว่าได้ตั้งสติแล้ว สตินี้ละจะเป็นธรรมคุ้มครองจิตใจของเราให้เป็นความสงบเย็นใจลงไปได้เป็นลำดับลำดา ถ้าขาดสติเมื่อไร กิเลสตัณหาจะเข้าแทรกแซงและทำลาย กลายเป็นความฟุ้งซ่านรำคาญ ทำความพากเพียรก็ไม่ได้หลักได้ฐาน ได้กฎได้เกณฑ์อะไร ถ้าลงสติขาดจากความเพียรแล้ว ความเพียรไม่เป็นท่า
เดินถ้าขาดสติแล้วก็สักแต่ว่าเดิน นั่งถ้าขาดสติแล้วก็สักแต่ว่านั่งไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นการนั่ง ยืน เดิน นอน ด้วยความมีสตินี้เรียกว่าเป็นผู้มีความเพียรอยู่ตลอดเวลา ความเพียรอยู่ที่สติ ไม่อยู่ที่ไหนนะ ให้จับสติไว้ให้ดี ถ้าสติไม่เผลอจากใจเมื่อไรเป็นความเพียรอยู่ตลอดอิริยาบถ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น สติมีอยู่ตลอดเวลา จะตั้งรากฐานของจิตให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจได้เป็นลำดับลำดา จากนั้นจิตแน่นหนามั่นคงเข้าไปก็เป็นสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นแน่นหนามั่นคง สมถะคือความสงบเย็นใจ จากนั้นไปก็เป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ จากความแน่นหนามั่นคงของใจแล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา
การถอดถอนกิเลสไม่ใช่ถอดถอนด้วยสมาธิความสงบใจเท่านั้น ถอดถอนด้วยปัญญา สมาธินี้เป็นธรรมอิ่มอารมณ์ สมาธิจิตสงบเย็นใจ ไม่หิวโหยในอารมณ์ทั้งหลาย เป็นจิตอิ่มอารมณ์ จิตอารมณ์แล้วจะพาทำการทำงานคือคลี่คลายดูสกลกายทั้งข้างนอกข้างในด้วยปัญญาก็เป็นไปได้สะดวก จิตก็ทำงานให้ถ้ามีสติควบคุม นี่ละท่านว่าเมื่อจิตสงบแล้วให้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาสกลกาย ท่านสอนพระบวชใหม่ว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านสอนเพียงเท่านี้ก่อนตามเวลาที่มีเพียงแค่นั้น จากนั้นเราจะพิจารณาใคร่ครวญเข้าไปถึงอาการ ๓๒ ภายในร่างกายของเรานี้ได้ตลอดทั่วถึงหมด นี่เป็นทางเดินของกรรมฐาน เดินตามเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ
จากนั้นก็เดินในอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก หัวใจ แล้วก็เข้าไปภายในตับ ไต ไส้ พุง ดูไปหมด ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล หาความสะอาดไม่ได้ คนเราสกปรกที่สุดสัตว์สกปรกที่สุด อะไรเข้ามาแปดเปื้อนหรือสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายนี้ ผ้าแม้จะทอใหม่ๆ เอามานุ่งห่มสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายนี้ไม่ได้กี่วันแหละ เป็นความสกปรกขึ้นมา ต้องซักต้องฟอก ต้องชะต้องล้าง เพราะร่างกายนี้เป็นตัวสกปรก เมื่อสิ่งใดเข้ามาคละเคล้าย่อมสกปรกไปตามๆ กัน นี่ละเป็นกรรมฐานอันหนึ่ง ที่เราทั้งหลายจะได้พิจารณากรรมฐานเหล่านี้
ตัวสกปรกคือตัวร่างกายของเรา สิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับร่างกาย ไม่ว่าที่อยู่ที่หลับที่นอนหมอนมุ้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ถ้าเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายของมนุษย์แล้วกลายเป็นของสกปรกไปตามๆ กันหมด ต้องเช็ดต้องล้าง ต้องถูต้องซักต้องฟอก ต้องอาบต้องล้างอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายนี้สกปรก ให้เอาอันนี้เป็นเครื่องพิจารณากรรมฐาน สิ่งใดก็ตามตามปรกติเขาสะอาด เขาไม่ได้สกปรก พอเข้าไปเกี่ยวข้องกับร่างกายของมนุษย์เท่านั้น ต้องเช็ดต้องล้างต้องถู ต้องซักต้องฟอกต้องอาบกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่เช่นนั้นไม่ได้
เพราะร่างกายเป็นตัวสกปรก สกปรกแท้ๆ อยู่ภายใน มันซึมซาบออกมาทางภายนอก ทางผิวหนัง ผิวหนังก็กลายเป็นของสกปรก อะไรเกี่ยวกับผิวหนังก็สกปรก เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เวลาเข้ามาเกี่ยวข้องกับผิวหนังของเรานี้แล้ว จะกลายเป็นของสกปรกด้วยกัน นี่คือการพิจารณากรรมฐาน ให้พิจารณาอย่างนี้ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ซ้ำๆ ซากๆ ให้เดินกรรมฐานอยู่ในร่างกายของเราจนมีความชำนิชำนาญ คล่องแคล่วแกล้วกล้า แล้วมันจะหมุนเข้าไปสู่ความละเอียดเอง คือร่างกายนี่เป็นฐานที่ตั้งแห่งกรรมฐานในเบื้องต้น พิจารณาตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก เข้าไปหาตับไตไส้พุง จนกระทั่งมันรู้ชัดทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาด้านวัตถุของร่างกายนี้แล้วมันจะปล่อยวาง มันปล่อยร่างกายนี้หมดแล้ว จะเป็นคุณธรรมหรือความว่างขึ้นมาอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นนามธรรม
ร่างกายนี้ไม่ใช่จะพิจารณาตลอดไปนะ พิจารณาถึงความอิ่มพอแล้วอิ่ม ร่างกายหมดความพิจารณาเรียบร้อยแล้ว มันจะซึบซาบเข้าสู่นามธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดความปรุง มันจะออกจากใจ คิดดีก็ตาม คิดชั่วก็ตาม จะเกิดขึ้นจากใจ เมื่อมีสติแล้วก็ทำงานอยู่ที่การเกิดการดับของสังขารคือความคิดความปรุง เกิดแล้วเกิดเล่า ดับแล้วดับเล่า สติจับกันอยู่ที่นั่น มันจะเป็นวงแคบเข้าไปหาความเกิดความดับของสังขารคือความคิดปรุง ในเบื้องต้นพิจารณาร่างกายเสียก่อน เมื่อร่างกายหมดปัญหาแล้ว มันจะไม่พิจารณา มันอิ่มตัว คือพิจารณาร่างกายอิ่มตัวแล้ว มันจะไม่เอาแหละที่นี่ มันจะพิจารณาแต่ทางนามธรรม ให้พากันเข้าใจ
ที่มา: http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4678&CatID=3