ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2559 รายได้รวม 30,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
ถ้าพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขายจะเติบโต 20.1% สุทธิแล้วขาดทุนอยู่ 367 ล้านบาท แต่หากพิจารณา EBITDA หรือกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสด ตัวเลขอยู่ที่ 6,371 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักของการขาดทุนมาจากค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
ผลการดำเนินงานแยกตามส่วนธุรกิจของกลุ่มทรู เป็นดังนี้
ทรูมูฟ เอช รายได้เพิ่มขึ้น 19.0% เป็น 23,032 ล้านบาท (ขณะที่ คน-อื่น ลดลง) มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1.1 ล้านราย ทำให้มีฐานลูกค้าตอนนี้ 21.5 ล้านราย จำนวนลูกค้านั้นยังเป็นอันดับ 3 แต่ถ้าดูเฉพาะรายได้ ทรูมูฟ เอช ก็ถือเป็นอันดับ 2 แล้ว
ทรูออนไลน์ รายได้ลดลง 18.5% อยู่ที่ 7,240 ล้านบาท แต่ลูกค้าบรอดแบนด์ยังคงเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.6 ล้านราย (รายได้ส่วนลดลงมากคือส่วนการขายสินค้า)
ทรูวิชั่นส์ รายได้เพิ่มขึ้น 1.7% เป็น 3,049 ล้านบาท มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 1.4 แสนราย รวมเป็น 3.4 ล้านราย
ที่มา
https://www.blognone.com/node/84420
กลุ่มทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 370.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559 ซึ่งเปลี่ยนแปลงใน
อัตราที่สูงกว่าร้อยละ 20 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุสำคัญ สรุปได้ดังนี้
รายได้จากการให้บริการโดยรวมของกลุ่มทรูเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า เป็น
21.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559จากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอัตราเลขสองหลักของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ
บริการบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตสำหรับลูกค้าทั่วไป ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างสูงถึงร้อยละ 41.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
เป็น 6.3 พันล้านบาท ซึ่งไม่รวมกำไรจากการโอนเสาโทรคมนาคมใหม่เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) ใน
ปี 2558 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
กลุ่มทรู มีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 370.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559 อันเป็นผลจาก
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเร่งขยายโครงข่าย 4G และ 2G ให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ เพิ่มเติมจากโครงข่าย 3G ที่
ครอบคลุมแล้วกว่าร้อยละ 98 ของประชากรไทย รวมถึงค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ของกลุ่มทรู
ผลการดำเนินงานโดยรวม
- รายได้จากการให้บริการโดยรวมของกลุ่มทรู เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า
และร้อยละ 5.1จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 21.9 พันล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และ
ธุรกิจบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นสูงอีกทั้งผู้บริโภคมีความต้องการใช้บริการนอนวอยซ์ของกลุ่มทรู เพิ่มขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง
- รายได้จากการขาย (ไม่รวมรายได้จากการโอนเสาโทรคมนาคมเข้ากองทุน DIF ในปี 2558) ลดลงร้อยละ 1.9
จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และร้อยละ 17.5 จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 3.6 พันล้านบาทส่วนหนึ่งจากโปรโมชั่น
โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งอุตสาหกรรม
- ค่าใช้จ่ายด้านการกำกับดูแล (Regulatory cost) เพิ่มขึ้นเป็น 1.0 พันล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้ในธุรกิจ
โทรศัพท์เคลื่อนที่ และบรอดแบรนด์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งสูงกว่าส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลงสำหรับบริการโทรศัพท์พื้นฐาน
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลัก (ประกอบด้วยต้นทุนการให้บริการอื่นๆ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
อื่นๆ)เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และร้อยละ 11.1 จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 18.2 พันล้านบาท จากการเพิ่มขึ้น
ของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงข่าย คอนเทนต์ และกิจกรรมทางการขาย เพื่อกระตุ้นการสมัครใช้บริการ 4G และอินเทอร์เน็ต แบบ
ไฟเบอร์ของกลุ่ม
- EBITDA เติบโตร้อยละ41.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าและร้อยละ11.7 จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น
6.3 พันล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากการส่งมอบเสาโทรคมนาคมให้กองทุน DIF ในปี 2558 เพื่อการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้
อย่างถูกต้องและเหมาะสม) ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ตามฐานลูกค้าและการใช้งานที่ขยายตัว
เพิ่มขึ้น
- ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้าเป็น 5.8
พันล้านบาทจากการขยายโครงข่ายและบริการของกลุ่มทรูอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับรู้ค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่
- ดอกเบี้ยจ่าย เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 พันล้านบาทจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะที่กลุ่ม
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
- รายได้ภาษีเงินได้ จำนวน 83 ล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการรับรู้
สินทรัพย์ภาษีเงินได้จากขาดทุนสะสมทางภาษีของกลุ่มบริษัท
- ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเร่งขยายโครงข่าย 4G และ 2G ให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ เพิ่มเติมจาก
โครงข่าย 3G ที่ครอบคลุมแล้วกว่าร้อยละ 98 ของประชากรไทย การรับรู้ค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ และดอกเบี้ยจ่าย
ส่งผลให้กลุ่มทรู มีผลขาดทุน จำนวน 0.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559
หมายเหตุ: รายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติ ในไตรมาส 2 ปี 2559 ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ผลขาดทุนจากอัตรา
แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการกลับรายการประมาณการหนี้สินสำหรับการใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์ของCAT
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน DIF ในปี 2556กลุ่มทรูได้บันทึกประมาณการหนี้สินสำหรับการใช้สิทธิของ
CATจำนวน 5.8 พันล้านบาท การตั้งประมาณการหนี้สินดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ตามหลักความรอบคอบและระมัดระวัง
เนื่องจากรายการนี้เกี่ยวกับผลประโยชน์สาธารณะและสัญญากับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2559 กล่มทรูได้กลับ
รายการประมาณการใช้สิทธิของ CATดังกล่าวเป็นจำนวนทั้งสิ้น 298 ล้านบาท (อยู่ภายใต้ “รายได้อื่น”) เนื่องจาก CAT ไม่ได้ทำ
การใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวในระหว่างไตรมาส
ยินดีด้วย!!! ทรู ไตรมาส 2/2559 - ทรูมูฟ เอช ลูกค้าเพิ่ม 1.1 ล้านเลขหมาย ส่วนแบ่งตลาดเป็นเบอร์ 2 แล้ว
ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2559 รายได้รวม 30,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
ถ้าพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขายจะเติบโต 20.1% สุทธิแล้วขาดทุนอยู่ 367 ล้านบาท แต่หากพิจารณา EBITDA หรือกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสด ตัวเลขอยู่ที่ 6,371 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักของการขาดทุนมาจากค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
ผลการดำเนินงานแยกตามส่วนธุรกิจของกลุ่มทรู เป็นดังนี้
ทรูมูฟ เอช รายได้เพิ่มขึ้น 19.0% เป็น 23,032 ล้านบาท (ขณะที่ คน-อื่น ลดลง) มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1.1 ล้านราย ทำให้มีฐานลูกค้าตอนนี้ 21.5 ล้านราย จำนวนลูกค้านั้นยังเป็นอันดับ 3 แต่ถ้าดูเฉพาะรายได้ ทรูมูฟ เอช ก็ถือเป็นอันดับ 2 แล้ว
ทรูออนไลน์ รายได้ลดลง 18.5% อยู่ที่ 7,240 ล้านบาท แต่ลูกค้าบรอดแบนด์ยังคงเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.6 ล้านราย (รายได้ส่วนลดลงมากคือส่วนการขายสินค้า)
ทรูวิชั่นส์ รายได้เพิ่มขึ้น 1.7% เป็น 3,049 ล้านบาท มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 1.4 แสนราย รวมเป็น 3.4 ล้านราย
ที่มา https://www.blognone.com/node/84420
กลุ่มทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 370.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559 ซึ่งเปลี่ยนแปลงใน
อัตราที่สูงกว่าร้อยละ 20 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุสำคัญ สรุปได้ดังนี้
รายได้จากการให้บริการโดยรวมของกลุ่มทรูเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า เป็น
21.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559จากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอัตราเลขสองหลักของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ
บริการบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตสำหรับลูกค้าทั่วไป ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างสูงถึงร้อยละ 41.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
เป็น 6.3 พันล้านบาท ซึ่งไม่รวมกำไรจากการโอนเสาโทรคมนาคมใหม่เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) ใน
ปี 2558 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
กลุ่มทรู มีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 370.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559 อันเป็นผลจาก
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเร่งขยายโครงข่าย 4G และ 2G ให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ เพิ่มเติมจากโครงข่าย 3G ที่
ครอบคลุมแล้วกว่าร้อยละ 98 ของประชากรไทย รวมถึงค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ของกลุ่มทรู
- รายได้จากการให้บริการโดยรวมของกลุ่มทรู เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า
และร้อยละ 5.1จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 21.9 พันล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และ
ธุรกิจบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นสูงอีกทั้งผู้บริโภคมีความต้องการใช้บริการนอนวอยซ์ของกลุ่มทรู เพิ่มขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง
- รายได้จากการขาย (ไม่รวมรายได้จากการโอนเสาโทรคมนาคมเข้ากองทุน DIF ในปี 2558) ลดลงร้อยละ 1.9
จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และร้อยละ 17.5 จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 3.6 พันล้านบาทส่วนหนึ่งจากโปรโมชั่น
โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งอุตสาหกรรม
- ค่าใช้จ่ายด้านการกำกับดูแล (Regulatory cost) เพิ่มขึ้นเป็น 1.0 พันล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้ในธุรกิจ
โทรศัพท์เคลื่อนที่ และบรอดแบรนด์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งสูงกว่าส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลงสำหรับบริการโทรศัพท์พื้นฐาน
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลัก (ประกอบด้วยต้นทุนการให้บริการอื่นๆ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
อื่นๆ)เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และร้อยละ 11.1 จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 18.2 พันล้านบาท จากการเพิ่มขึ้น
ของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงข่าย คอนเทนต์ และกิจกรรมทางการขาย เพื่อกระตุ้นการสมัครใช้บริการ 4G และอินเทอร์เน็ต แบบ
ไฟเบอร์ของกลุ่ม
- EBITDA เติบโตร้อยละ41.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าและร้อยละ11.7 จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น
6.3 พันล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากการส่งมอบเสาโทรคมนาคมให้กองทุน DIF ในปี 2558 เพื่อการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้
อย่างถูกต้องและเหมาะสม) ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ตามฐานลูกค้าและการใช้งานที่ขยายตัว
เพิ่มขึ้น
- ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้าเป็น 5.8
พันล้านบาทจากการขยายโครงข่ายและบริการของกลุ่มทรูอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับรู้ค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่
- ดอกเบี้ยจ่าย เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 พันล้านบาทจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะที่กลุ่ม
ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
- รายได้ภาษีเงินได้ จำนวน 83 ล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการรับรู้
สินทรัพย์ภาษีเงินได้จากขาดทุนสะสมทางภาษีของกลุ่มบริษัท
- ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเร่งขยายโครงข่าย 4G และ 2G ให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ เพิ่มเติมจาก
โครงข่าย 3G ที่ครอบคลุมแล้วกว่าร้อยละ 98 ของประชากรไทย การรับรู้ค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ และดอกเบี้ยจ่าย
ส่งผลให้กลุ่มทรู มีผลขาดทุน จำนวน 0.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2559
หมายเหตุ: รายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติ ในไตรมาส 2 ปี 2559 ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ผลขาดทุนจากอัตรา
แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการกลับรายการประมาณการหนี้สินสำหรับการใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์ของCAT
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน DIF ในปี 2556กลุ่มทรูได้บันทึกประมาณการหนี้สินสำหรับการใช้สิทธิของ
CATจำนวน 5.8 พันล้านบาท การตั้งประมาณการหนี้สินดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ตามหลักความรอบคอบและระมัดระวัง
เนื่องจากรายการนี้เกี่ยวกับผลประโยชน์สาธารณะและสัญญากับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2559 กล่มทรูได้กลับ
รายการประมาณการใช้สิทธิของ CATดังกล่าวเป็นจำนวนทั้งสิ้น 298 ล้านบาท (อยู่ภายใต้ “รายได้อื่น”) เนื่องจาก CAT ไม่ได้ทำ
การใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวในระหว่างไตรมาส