วันสองวันนี้ก็มีเรื่องราวตลก(ร้าย)ไหลผ่านนิวฟีดให้ดิฉันได้อ่านอย่างขบขัน
ข่าวแรกคือ CNN ยกให้กทม.เป็นเมืองอันดับ 1 อาหารริมถนนดีที่สุดในโลก
ผู้คนก็เฮเข้าไปอวยชมประเทศตัวเองกันยกใหญ่ (จริงๆเขาชมแค่กรุงเทพนะเธอ)
แต่พอเลื่อนนิวฟีดต่อมาก็เจอข่าวที่ตรงกันข้ามชนิดหน้ามือกลายเป็นหลังเท้า
“โค้งสุดท้าย กทม.สั่งเด็ดขาด หาบเร่ สีลม สยาม ประตูน้ำ ต้องย้ายออก”
เหล่าชาวเน็ตผู้เจริญแล้วก็เฮโลกันเข้าไปอวยชมว่าสุดยอด ให้พวกห้านี่ไปพ้นๆเสียที
คุณผู้อ่านคะ ดิฉันนี่บันเทิงใจกับสองข่าวนี้จริงๆค่ะ ขบขันจนน้ำตาไหล
ว่ากรูอยู่ในสังคมอัลไลกันเนี่ยยยยย
คือ ดิฉันขอบอกเลยว่าตัวเองนั้น
เบื่อกับร้านทางเท้าบริเวณสยามมากๆ
ตั้งโต๊ะขายของกันได้อย่างน่าเกลียดและเบียดเบียนผู้ใช้เส้นทางอย่างที่สุด
แต่!!! ดิฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดระเบียบสุดตื้นเขินของกทม.
ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการจัดระเบียบทางเท้าในกทม.ไปหลายจุด
อย่างที่ท่าพระจันทร์ก็
ไล่ให้ไปขายที่พระราม 2
คุณพระ! ใครมันจะไปคะ?
ปากคลองตลาดก็โดนไล่ที่
แล้วไหนล่ะที่ใหม่? เตรียมไว้ให้เขาหรือยัง?
แล้วพ่อค้าแม่ค้าที่มารับต่อจะไปหาซื้อที่ไหน?
แล้วพวกแม่ค้าข้างทางส่วนมากก็เป็นกลุ่มคนรากหญ้าทั้งนั้น
บางคนอาจแย้งเห้ยเห็นขับรถมีตังค์รวยกว่ากรูอีก
แล้วมันกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะคะ? แล้วมันทุกที่หรือเปล่า?
ไม่ใช่เห็นแค่สยามแล้วมโนว่าคือทั้งหมด
ส่วนมากก็ยังเป็นคนรากหญ้าทั้งนั้น
กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย
ใครจะมีปัญญาไปเช่า ล็อคโง่ๆย่านสีลมก็เป็นหมื่นต่อเดือนแล้ว
นี่คือปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะจัดสรรทรัพยากรให้คนในชาติ
ถ้าแผ่นดินนี้มันเป็นของคนทุกคนจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่มีที่ทำกิน?
และไม่ใช่แค่กระกับผู้ค้าขายเท่านั้น
มันยังกระทบไปยังผู้ใช้ชีวิตคนทำงานในเมืองด้วย
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่คนทุนน้อยและคนทุนมากยังสามารถใช้ชีวิตในโซนเดียวกันได้
คนใช้แรงงานหรือแม้กระทั่งคนออฟฟิศที่ต้องการประหยัดเงิน ก็ไดร้านค้าข้างทางนี่แหล่ะช่วยไว้
ค่าครองชีพที่สูงสวนทางกับรายได้ ก็ร้านค้าข้างทางนี่แหล่ะที่ช่วยไว้
มันไม่ใช่แค่กลุ่มคนเดียวแล้วที่ได้รับผลกระทบ
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็
ไม่สามารถปล่อยให้ร้านข้างทางดำเนินกิจการเละเทะแบบปัจจุบันได้
ดิฉันเดินไปทางไปต่างประเทศก็หลายที่ ประเทศที่เจริญแล้วใช่ว่าจะไม่มีร้านแนวนี้
ยกตัวอย่าง โซล ที่เกาหลีใต้ เขามีร้านข้างทางตั้งขายกันอย่างเป็นระเบียบ สะอาด ไม่แอดอัด
ทำไมเขาทำได้ และกทม.จะทำไม่ได้ล่ะคะ?
ดิฉันคิดว่าสังคมไทยตั้งแต่ผู้บริหารประเทศจนถึงราษฎร
ขาดวัฒนธรรมการคิดอย่างรอบคอบ
ขาดวัฒนธรรมการพูดคุยเพื่อหาทางออก
เรามีแต่วัฒนธรรมถ่ม
น้ำลายใส่กัน
เรามีแต่วัฒนธรรมอ่อนน้อมต่อผู้มีอำนาจ
แต่ผู้มีอำนาจไม่เคยใช้วิธีอ่อนน้อมต่อผู้ด้อยกว่า
เรามีแต่ความคิดที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง
จนไม่สนใจว่าผู้เกี่ยวข้องจะได้รับกระทบต่อเนื่องอะไรบ้าง
ทั้งองคาพยพเราชอบความรุนแรงทั้งนั้น ไม่ว่าจะ ปืน ไม้เรียว หรือตบตี
การจัดระเบียบนี้ก็เช่นกัน
เรามีทางออกที่พบกันคนละครึ่งทางได้ ทำไมถึงไม่เลือกทำกันคะ?
อยากขายข้างท้าง ก็ขึ้นทะเบียน จัดมันเป็นให้ระเบียบได้ไหม?
รัฐก็ลงทุนทำซุ้มแต่ละร้านให้เลย โซนหนึ่งมีร้านก็ว่าไป
บังคับเรื่องสุขอนามัยไปด้วย
ตรงไหนที่จัดไม่ได้ ก็หาที่ใหม่เอาที่มัน
สมเหตุสมผลไม่ใช่แบบท่าพระจันทร์ไล่ไปพระรามสอง
ร้านไหนขายดี ก็บังคับเสียภาษีไป
รัฐได้ทั้งเงินค่าเช่า ค่าภาษี
คนขายก็ได้ที่ขายของ
คนบริโภคก็ยังมีที่กิน มีคุณภาพขึ้น
คนสัญจรก็เดินทางสะดวก
ดิฉันวอนตรงนี้เถอะค่ะ คุณจะไม่สนใจหรือสะใจกับการจัดระเบียบแบบนี้ก็ได้
แต่เราต้องตระหนักว่า
“พวกเราต้องอยู่ร่วมกัน” มันหนีไปไหนไม่ได้
ถ้าเรามัวแต่เอะอะก็แก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดินเอาแต่ใช้อำนาจ
ไม่ได้สนใจปัญหาอย่างรอบด้าน
หรือความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา
เราก็จะกลายเป็นสังคมที่คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่า “ไม่ยุติธรรม”
ดิฉันคาดหวังเห็นสังคมเราเป็นสังคมที่สามารถหา “ความยุติธรรม” ร่วมกันได้
เพื่อให้มีคนที่เจ็บปวดจากโครงสร้างเหลื่อมล้ำนี้ น้อยที่สุด
ขอฝากให้พิจารณาค่ะ
ขอเถอะค่ะ กับการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยต่างๆ
ข่าวแรกคือ CNN ยกให้กทม.เป็นเมืองอันดับ 1 อาหารริมถนนดีที่สุดในโลก
ผู้คนก็เฮเข้าไปอวยชมประเทศตัวเองกันยกใหญ่ (จริงๆเขาชมแค่กรุงเทพนะเธอ)
แต่พอเลื่อนนิวฟีดต่อมาก็เจอข่าวที่ตรงกันข้ามชนิดหน้ามือกลายเป็นหลังเท้า
“โค้งสุดท้าย กทม.สั่งเด็ดขาด หาบเร่ สีลม สยาม ประตูน้ำ ต้องย้ายออก”
เหล่าชาวเน็ตผู้เจริญแล้วก็เฮโลกันเข้าไปอวยชมว่าสุดยอด ให้พวกห้านี่ไปพ้นๆเสียที
คุณผู้อ่านคะ ดิฉันนี่บันเทิงใจกับสองข่าวนี้จริงๆค่ะ ขบขันจนน้ำตาไหล
ว่ากรูอยู่ในสังคมอัลไลกันเนี่ยยยยย
คือ ดิฉันขอบอกเลยว่าตัวเองนั้นเบื่อกับร้านทางเท้าบริเวณสยามมากๆ
ตั้งโต๊ะขายของกันได้อย่างน่าเกลียดและเบียดเบียนผู้ใช้เส้นทางอย่างที่สุด
แต่!!! ดิฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดระเบียบสุดตื้นเขินของกทม.
ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการจัดระเบียบทางเท้าในกทม.ไปหลายจุด
อย่างที่ท่าพระจันทร์ก็ไล่ให้ไปขายที่พระราม 2
คุณพระ! ใครมันจะไปคะ?
ปากคลองตลาดก็โดนไล่ที่
แล้วไหนล่ะที่ใหม่? เตรียมไว้ให้เขาหรือยัง?
แล้วพ่อค้าแม่ค้าที่มารับต่อจะไปหาซื้อที่ไหน?
แล้วพวกแม่ค้าข้างทางส่วนมากก็เป็นกลุ่มคนรากหญ้าทั้งนั้น
บางคนอาจแย้งเห้ยเห็นขับรถมีตังค์รวยกว่ากรูอีก
แล้วมันกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะคะ? แล้วมันทุกที่หรือเปล่า?
ไม่ใช่เห็นแค่สยามแล้วมโนว่าคือทั้งหมด
ส่วนมากก็ยังเป็นคนรากหญ้าทั้งนั้น
กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย
ใครจะมีปัญญาไปเช่า ล็อคโง่ๆย่านสีลมก็เป็นหมื่นต่อเดือนแล้ว
นี่คือปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะจัดสรรทรัพยากรให้คนในชาติ
ถ้าแผ่นดินนี้มันเป็นของคนทุกคนจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่มีที่ทำกิน?
และไม่ใช่แค่กระกับผู้ค้าขายเท่านั้น มันยังกระทบไปยังผู้ใช้ชีวิตคนทำงานในเมืองด้วย
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่คนทุนน้อยและคนทุนมากยังสามารถใช้ชีวิตในโซนเดียวกันได้
คนใช้แรงงานหรือแม้กระทั่งคนออฟฟิศที่ต้องการประหยัดเงิน ก็ไดร้านค้าข้างทางนี่แหล่ะช่วยไว้
ค่าครองชีพที่สูงสวนทางกับรายได้ ก็ร้านค้าข้างทางนี่แหล่ะที่ช่วยไว้
มันไม่ใช่แค่กลุ่มคนเดียวแล้วที่ได้รับผลกระทบ
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถปล่อยให้ร้านข้างทางดำเนินกิจการเละเทะแบบปัจจุบันได้
ดิฉันเดินไปทางไปต่างประเทศก็หลายที่ ประเทศที่เจริญแล้วใช่ว่าจะไม่มีร้านแนวนี้
ยกตัวอย่าง โซล ที่เกาหลีใต้ เขามีร้านข้างทางตั้งขายกันอย่างเป็นระเบียบ สะอาด ไม่แอดอัด
ทำไมเขาทำได้ และกทม.จะทำไม่ได้ล่ะคะ?
ดิฉันคิดว่าสังคมไทยตั้งแต่ผู้บริหารประเทศจนถึงราษฎร
ขาดวัฒนธรรมการคิดอย่างรอบคอบ
ขาดวัฒนธรรมการพูดคุยเพื่อหาทางออก
เรามีแต่วัฒนธรรมถ่ม
เรามีแต่วัฒนธรรมอ่อนน้อมต่อผู้มีอำนาจ
แต่ผู้มีอำนาจไม่เคยใช้วิธีอ่อนน้อมต่อผู้ด้อยกว่า
เรามีแต่ความคิดที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง
จนไม่สนใจว่าผู้เกี่ยวข้องจะได้รับกระทบต่อเนื่องอะไรบ้าง
ทั้งองคาพยพเราชอบความรุนแรงทั้งนั้น ไม่ว่าจะ ปืน ไม้เรียว หรือตบตี
การจัดระเบียบนี้ก็เช่นกัน
เรามีทางออกที่พบกันคนละครึ่งทางได้ ทำไมถึงไม่เลือกทำกันคะ?
อยากขายข้างท้าง ก็ขึ้นทะเบียน จัดมันเป็นให้ระเบียบได้ไหม?
รัฐก็ลงทุนทำซุ้มแต่ละร้านให้เลย โซนหนึ่งมีร้านก็ว่าไป
บังคับเรื่องสุขอนามัยไปด้วย
ตรงไหนที่จัดไม่ได้ ก็หาที่ใหม่เอาที่มันสมเหตุสมผลไม่ใช่แบบท่าพระจันทร์ไล่ไปพระรามสอง
ร้านไหนขายดี ก็บังคับเสียภาษีไป
รัฐได้ทั้งเงินค่าเช่า ค่าภาษี
คนขายก็ได้ที่ขายของ
คนบริโภคก็ยังมีที่กิน มีคุณภาพขึ้น
คนสัญจรก็เดินทางสะดวก
ดิฉันวอนตรงนี้เถอะค่ะ คุณจะไม่สนใจหรือสะใจกับการจัดระเบียบแบบนี้ก็ได้
แต่เราต้องตระหนักว่า “พวกเราต้องอยู่ร่วมกัน” มันหนีไปไหนไม่ได้
ถ้าเรามัวแต่เอะอะก็แก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดินเอาแต่ใช้อำนาจ
ไม่ได้สนใจปัญหาอย่างรอบด้าน
หรือความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา
เราก็จะกลายเป็นสังคมที่คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่า “ไม่ยุติธรรม”
ดิฉันคาดหวังเห็นสังคมเราเป็นสังคมที่สามารถหา “ความยุติธรรม” ร่วมกันได้
เพื่อให้มีคนที่เจ็บปวดจากโครงสร้างเหลื่อมล้ำนี้ น้อยที่สุด
ขอฝากให้พิจารณาค่ะ