เรื่องสั้น : โลกใหม่

.

เรื่องสั้น : โลกใหม่
===========


ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายมาเป็นเด็กกำพร้า เมื่อสามปีก่อนผมยังมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีพ่อแม่และพี่สาวแสนสวย ครอบครัวผมเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่สุดอีกครอบครัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ วันหยุดพ่อแม่จะพาผมไปเที่ยวสวนสัตว์หรือไม่ก็สวนสนุก แล้วแต่ผมอยากเลือกไปเที่ยวที่ไหน

พวกท่านทั้งสองก็จะตามใจผมไม่เคยอิดออดหรือบ่ายเบี่ยง ท่านทั้งสองหยิบยื่นความรักความอบอุ่นทั้งหมดที่พ่อแม่พึงมีให้ลูกๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมรับรู้ ซาบซึ้ง และสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้อย่างกระจ่างชัดกว่าเรื่องใดๆที่เด็กชายวัยเจ็ดขวบเคยประสบพบเจอ ผมเป็นเด็กชายที่มีความสุขและสนุกกับการใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างอิสรเสรี เท่าที่เด็กคนหนึ่งพึงจะมี

แต่แล้วความสุขทั้งหมดที่ผมมี ก็อยู่กับผมได้ไม่นาน เมื่อเกิดสงครามกลางเมือง สงครามขยายวงกว้างออกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทหาร ตำรวจ มิอาจหยุดยั้งสงครามอันร้อนระอุนี้ไว้ได้ ระบบสาธารณูปโภค ระบบการสื่อสาร และคมนาคม ถูกทำลายย่อยยับ

เมืองศิวิไลซ์ที่เคยสงบสุขสวยงามกลายเป็นเมืองร้างและสุสานคนเป็น ซากศพผู้เสียชีวิตหลายร้อยหลายพันศพเกลื่อนกลาดตามท้องถนน กองทหารบิ๊กเบิ้มทำได้เพียงลากศพมาสุมกองกันแล้วเผาทำลายทิ้ง เพราะหากทิ้งไว้นานศพจะเริ่มเน่าเปื่อย ส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน และอาจเกิดโรคระบาดหลายอย่างตามมา ผู้รอดชีวิตต่างพากันหลบซ่อนตัวไม่มีใครกล้าออกมาเผชิญโลกภายนอก มันเสี่ยงเกินไปที่จะออกมาเดินเที่ยวเล่น เพราะโอกาสที่จะมีชีวิตรอดกลับไปมีเพียงศูนย์เปอร์เซ็นต์

กลุ่มอิสระชนซึ่งขนานนามตนเองว่า’บิ๊กเบิ้ม’เข้ามายึดครองพื้นที่เมืองทั้งหมด เนื่องเพราะสภาวะสังคมที่ปั่นป่วนวุ่นวายเกิดความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์ บิ๊กเบิ้มรวมตัวกันอย่างเงียบๆสร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมา เพื่อรอวันกวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่ยุ่งเหยิงนี้ บิ๊กเบิ้มหวังจะสร้างสังคมในอุดมคติขึ้นมาใหม่ในรูปแบบที่พวกเขาต้องการ

บิ๊กเบิ้มฆ่าผู้ใหญ่ทุกคนเหลือเด็กๆเอาไว้ เพื่อจะส่งเด็กๆไปยังอีกที่หนึ่ง สถานที่ที่จะเปลี่ยนพวกเด็กๆให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในรูปแบบที่บิ๊กเบิ้มต้องการ บิ๊กเบิ้มส่งเด็กๆไปยังเครือข่ายนอกโลก ซึ่งเครือข่ายนั้นเรียกตนเองว่า ‘เซร่า’

เซร่าจะทำหน้าที่รับเด็กกำพร้าทุกคนมาเลี้ยงไว้ และเปลี่ยนแปลงพวกเขาให้กลายเป็นหุ่นยนต์มีชีวิตที่สามารถควบคุมทั้งความคิดจิตวิญญาณและการกระทำของพวกเขา

เช่นเดียวกับผมที่กลายมาเป็นหุ่นยนต์มีชีวิต ผมถูกส่งมาที่ศูนย์กักกันเซร่า โซน 7  ค่ายอพยพเด็กกำพร้า ดาวบีเทีย เมื่อตอนอายุเจ็ดขวบ

ในวันเกิดครบรอบเจ็ดขวบของผม ครอบครัวซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน แม่จัดงานวันเกิดให้ผมเล็กๆวันเกิดที่ไม่มีเค้ก มีเพียงเทียนหนึ่งเล่มตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะ พวกเรา ผมหมายถึง พ่อ แม่ พี่สาวและผม นั่งล้อมวงจับมือกัน และร้องเพลงวันเกิดให้ผมอย่างแผ่วเบา แม่บอกให้ผมอธิษฐานก่อนเป่าเทียน ผมอธิษฐานให้สงครามสงบและขอให้ครอบครัวของผมกลับมามีความสุขอีกครั้ง ผมเป่าเทียนเมื่ออธิษฐานจบ

แต่พระเจ้าไม่อาจยื่นมือมารับเอาคำอธิษฐานของผมไปได้ ในทันทีที่แสงเทียนดับลงกองทหารบิ๊กเบิ้มก็ระเบิดประตูห้องใต้ดิน บุกเข้ามาจับตัวผม ลากผมออกจากห้อง ผมพยายามดิ้นทุรนทุรายเพื่อให้หลุดจากการจับกุม ผมได้ยินพ่อตะโกนบอกผม’ให้รักษาชีวิตไว้’  ผมทำได้เพียงกรีดร้อง และร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด

ทหารบิ๊กเบิ้มลากผมออกมาจากบ้าน แล้วโยนผมใส่รถตู้สีดำ ก่อนจะระเบิดบ้านผมเป็นจุณ ผมกรีดร้องสุดเสียงโหยหวนคร่ำครวญหาพ่อกับแม่ การกระทำของผมทำให้ทหารบิ๊กเบิ้มต้องตบหน้าผมหลายทีเพื่อทำให้ผมหยุดร้องไห้ ผมโกรธแค้นและเกลียดพวกมัน ผมสาบานไว้ในใจ วันข้างหน้าผมต้องมาล้างแค้นให้พ่อแม่และพี่สาวให้ได้

ผมสงบสติอารมณ์ เช็ดน้ำตาและนั่งอย่างสงบเงียบหลายชั่วโมงบนรถตู้คันนี้ ผมต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ตามที่พ่อบอก ผมจะทำตามที่บิ๊กเบิ้มสั่งทุกอย่าง และรอวันตลบหลังพวกมัน ผมเป็นเพียงเด็กอายุเจ็ดขวบ แต่ผมก็ฉลาดพอที่จะไม่ขัดขืนคนที่ถือไพ่เหนือกว่า นั่นคือสิ่งที่พ่อเคยสอนผมไว้ โอกาสไม่ได้มีแค่หนเดียว จงเรียนรู้คนอื่น ยิ่งรู้มากเท่าไรยิ่งมีประโยชน์กับตัวเอง ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อบอกเลยแม้แต่น้อย

แต่สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนี้คือ ยอมให้พวกบิ๊กเบิ้มพาผมไป ไปในที่ที่พวกมันต้องการให้ผมอยู่ ผมต้องการเรียนรู้พวกมัน

เด็กกำพร้าหลายร้อยชีวิตยืนรวมตัวกันที่สนามฟุตบอล พวกเด็กๆจิตตก หวาดกลัว หนาวสั่น และแข่งกันร้องไห้จนยากจะหยุดยั้งไว้ได้ ผมถูกส่งตัวมารวมกับเด็กๆที่นี่ โดยมีทหารบิ๊กเบิ้มคุมเชิงไว้โดยรอบ ใครคิดวิ่งหนีออกจากสนามฟุตบอลจะถูกยิงทิ้งทันทีโดยไม่ต้องว่ากล่าวอะไรให้มากความ

“เงียบๆ เด็กๆ เงียบๆ” เสียงผู้ชายดังก้องออกมาจากลำโพง เสียงปรามจากชายคนนี้ไม่ได้ทำให้เสียงร้องไห้ของเด็กๆหยุดลงได้เลย ทหารบิ๊กเบิ้มจึงยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการขู่เพื่อส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุดร้องไห้

ผมยืนอยู่ข้างเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักและยังร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ผมกระซิบบอกเธอ

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวก็ตายหรอก” และนั่นยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ฉันชื่อมิก เธอชื่ออะไร” ผมเลี่ยงไปถามชื่อแทน เพื่อให้เธอสงบสติลงเธอสะอื้นสองครั้ง ก่อนจะหันมามองหน้าผม

“ฉันชื่อนิน” แล้วร้องไห้ต่อ

“ถ้าเธอยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอต้องหยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้นะนิน และเธอไม่ต้องกลัวต่อไปนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” ผมยื่นมือไปจับมือเธอไว้เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่พูด เธอเงยหน้ามองผม น้ำมูกน้ำตายังคงไหลย้อย

“เธอต้องหยุดร้องไห้ก่อน” ผมพูดกับเธออีกครั้ง เธอพยักหน้ารับและพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองจนเหือดแห้ง

ทหารนายหนึ่งเหลือบมองมาทางผมและนิน แล้วมองต่อไปทิศทางอื่นเมื่อเห็นว่านินหยุดร้องไห้แล้ว

“เอาละ เด็กๆเงียบกันได้สักทีนะ” เสียงผู้ชายคนเดิมดังออกมาจากลำโพงอีกครั้ง ผมพยายามมองหาต้นตอของเสียงว่าใครเป็นคนพูดแต่ก็หาไม่เจอ

เสียงผู้ชายคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

“อีกไม่นานพวกเธอทุกคนจะได้ไปอีกโลกหนึ่ง โลกที่สวยงามและน่าอยู่กว่านี้ และไม่ต้องกลัวนะเด็กๆ พวกเธอทุกคนจะปลอดภัยฉันรับประกันได้เลย  ทำตัวดีๆเชื่อฟังและอยู่ในกฎระเบียบ และพวกเธอจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่โลกเคยมี”

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูด และผมรับรู้ได้ว่าเด็กๆที่ยืนอยู่ตรงนี้ต่างไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาบอก ทุกคนมีสีหน้างุนงง หวาดกลัวกับชีวิตข้างหน้าเพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรอีก

“และอีกไม่นานยานเซร่าจะมารับทุกคน” นั่นคือคำบอกกล่าวสุดท้ายก่อนที่เสียงนั้นจะหายไป

“ยานเซร่าเหรอ ฉันอยากนั่งยานนั่นนะ” เด็กชายหน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิงสะกิดหลังผมเบาๆ  ผมจึงหันไปมองและแปลกใจกับคำพูดของเขาอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยปากถาม

“นายหมายความว่ายังไง ทำไมนายอยากนั่งยานนั่น”

“นั่นมันยานอวกาศที่ใหญ่โตที่สุด ทันสมัยและเร็วที่สุดเลยนะ ฉันเคยได้ยินพวกทหารเขาคุยกันน่ะ” เด็กชายหน้าตามอมแมมบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ยังจะมียานที่ใหญ่กว่ายาน STAR-919 อีกเหรอ ฉันว่ายานลำนั้นใหญ่ที่สุดแล้วนะ” ผมแย้งทันที เพราะผมมั่นใจว่ายานสตาร์เก้าหนึ่งเก้าใหญ่โตที่สุด ผมเคยเห็นยานลำนี้เมื่อปีก่อนในวันเด็กแห่งชาติ ทหารนำยานสตาร์เก้าหนึ่งเก้าออกมาให้เด็กๆดูและยังให้เด็กๆได้เดินเที่ยวชมในตัวยานด้วย ผมใช้เวลาทั้งวันเพื่อเดินสำรวจยานแต่ก็ยังไม่ดูได้ไม่ถึงครึ่งของยานสตาร์เก้าหนึ่งเก้า

“แต่ยานนั่นจะส่งพวกเราไปนอกโลกนะ” นินพูดขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันเหรอ” เด็กชายหน้าตามอมแมนชี้นิ้วมาที่มือของผมซึ่งจับมือนินไว้แน่น

“เอ่อ ไม่ใช่ นี่นิน” ผมเป็นคนบอกและรีบปล่อยมือนินทันที

“และนั่นมิก” นินบอกชื่อผมกับเพื่อนใหม่

“อืม ฉันชื่อก้อง” เด็กชายหน้าตามอมแมมบอกชื่อตัวเองกับเพื่อนใหม่เช่นกัน

“ดูนายจะไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเหมือนคนอื่นเลยนะ” ผมถามก้องออกไปอย่างอยากรู้ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้องไม่มีร่องรอยผ่านการร้องไห้เสียใจมาเลยแม้แต่น้อย

“จริงๆแล้วฉันไม่เคยมีครอบครัวน่ะ ฉันเป็นเด็กพร้ามาตั้งแต่เกิด เจออะไรมาก็เยอะ ชีวิตฉันไม่ได้สุขสบายเหมือนพวกนายหรอกนะ ถ้าพวกเขาจะส่งฉันไปยังโลกใหม่ ซึ่งฉันมีความหวังว่ามันอาจจะดีกว่าโลกใบนี้ ฉันก็อยากจะลองไปดูนะ เผื่อชีวิตฉันจะดีขึ้น”

“นายคิดว่ามันจะดีขึ้นหรือไง พวกนั่นฆ่าพ่อแม่นายนะ” ผมโพล่งออกไปด้วยอารมณ์โมโหและไม่เข้าใจก้อง

“พ่อแม่นาย ฉันไม่เคยมีพ่อแม่ พวกเขาทิ้งฉันไปตั้งแต่ฉันเกิด ฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

“แล้วถ้าที่ที่พวกเขาส่งเราไปมันแย่กว่าเดิมล่ะ” นินที่เงียบมานานพูดขึ้นบ้าง เด็กชายทั้งสองหันไปมองหน้าเด็กหญิง ก้องทำหน้าเศร้าลงเมื่อนึกถึงประเด็นในข้อนี้

“ฉันลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย” ก้องพูดอย่างคนไร้อารมณ์ความรู้สึก เหม่อมองขึ้นไปมองบนท้องฟ้าด้วยความหวังที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด และต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงตกใจ เมื่อยานลำใหญ่สีขาวกำลังเคลื่อนตัวลอยต่ำลงมาและลอยนิ่งหยุดอยู่เหนือศีรษะเด็กๆทุกคนบนสนามฟุตบอล

ยานเซร่ามีขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอล มันไม่ต้องลงจอดบนพื้น แต่ลอยเคว้งอยู่บนอากาศแล้วดูดเด็กๆทุกคนขึ้นไปบนยาน เด็กๆทุกคนถูกส่งมารวมตัวในห้องโถงใหญ่หลังคากระจกสีฟ้าและมีกระจกใสล้อมรอบทั้งสี่ด้าน เซร่าปล่อยควันสีขาวเข้ามาในห้องไม่นานร่างของเด็กน้อยทั้งหมดก็ล้มลง พวกเด็กๆเข้าสู่สภาวะหลับใหล ยานเซร่าเคลื่อนตัวเข้าสู่หมอกเมฆดำทะมึนก่อนจะทะยานออกสู่อวกาศดินแดนลึกลับที่เส้นทางเป็นเอกนอนันต์หาจุดสิ้นสุดไม่มี

=====

ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนสีฟ้า ในห้องสี่เหลี่ยมผนังสามด้านถูกทาด้วยสีดำมีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใส ผมจ้องมองตัวเองผ่านกระจกบานนั้น ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนสั้นสีฟ้า กางเกงขาสั้นและรองเท้าหนังสีดำ ผมจำหน้าและจำชื่อตัวเองไม่ได้ ผมเห็นตัวเลขปักอยู่ที่อกเสื้อข้างซ้าย มันเขียนว่า Z-304 ซึ่งผมมั่นใจว่านั้นคือชื่อผม




ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาอ่านค่ะ
โปรดติดตามบทต่อไป ....
อมยิ้ม29อมยิ้ม29
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่