อย่างที่เราทราบกัน ญี่ปุ่นในช่วง Meiji restoration ในปี 1868-1912 นั้น ญี่ปุ่นพัฒนาจนกลายเป็นมหาอำนาจได้มาจากหลายปัจจัย แต่สิ่งที่ผมจะให้ศึกษาคือ การศึกษาดูงานแบบญี่ปุ่นครับ
ในยุคเมจิ ญี่ปุ่นส่งคณะนักเรียน หรือ ข้าราชการไปดูงานยังต่างประเทศ 300 กว่าคณะ ในช่วงปี 1870-1914 แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นทำคือ การศึกษาดูงานแบบญี่ปุ่น ไม่ใช่ไปดูงานเฉยๆนะครับ คือไปเรียน 12-18 เดือนในเรื่องนั้นๆครับ การศึกษาดูงานของญี่ปุ่นไปทั่วโลกครับ ทั้งที่ อันท์เวิร์ป เบลเยี่ยม / อู่ต่อเรือพลีมัธ ที่อังกฤษ / ซานฟรานซิสโก สหรัฐ / โรงงานกอทลีบ-เดมเลอร์ สตุตการ์ท เยอรมัน และ โรงงานกลึงล้อรถจักร ประเทศสยาม เป็นต้น การศึกษาดูงานของญี่ปุ่น 1 คณะ ใช้คน 15-20 คน แต่ละคนศึกษาแต่ละส่วนอย่างละเอียดยิบ และเมื่อกลับมายังญี่ปุ่น คุณต้องถูกทดสอบโดยการสร้างมันขึ้นมาใหม่และต้องใช้งานได้ จึงจะถือว่าผ่าน แะการศึกษาดูงานเหล่านี้กลายเป็นการต่อยอดให้การปฏิรูปเมจิสำเร็จอย่างมากช่วงหลัง 1880 แม้ว่าจะถูกว่า เป็นนัก Copy ก็เถอะ แต่ญี่ปุ่นไม่แคร์ และญี่ปุ่นก็นำเอา Know how เหล่านี้มาสอนในระดับมหาวิทยาลยที่เกิดขึ้นมาเช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การส่งคนไปดูงานแบบนี้สิ้นสุดลงช่วง 1914 ครับ เมื่อยุโรปเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น และญี่ปุ่นรู้วิทยาการมากพอที่จะไม่ต้องไปดูงานที่ยุโรป และ อเมริกาอีก
และมีคนสงสัยว่า ทำไมญี่ปุ่นไปดูงานที่สยาม คำตอบคือ หลวงวิฑูรวิธีกล นายช่างใหญ่ของโรงงานมักกะสัน สามารถคิดวิธีการเรียงล้อโบกี้แบบใหม่ครับ ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งพบปัญหาในทางรถไฟสายโทไคโด ระหว่าง เซงิฮาการะ-ทารุอิ ซึ่งตกรางเป็นประจำ จึงส่งคนมาเรียนที่โรงงานมักกะสันเป็นเวลา 18 เดือน ในช่วงปี 2460-2462 และนำความรู้เหล่านี้ไป ทำให้การตกรางในเขตนี้ลดลงมาก จึงสามารถยุบโรงแรมรถไฟที่ กิฟุ กับ ไมบาระ ได้ เพราะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะรถไฟสายโทไคโดสามารถเดินได้ตลอดเส้น จนมีการเปิดรถด่วนสาย โตเกียว-โอซากา ได้ในปี 1910
โดยสรุปแล้ว การที่ญี่ปุ่นไปศึกษาดูงานแบบเจาะลึก ทำให้ญี่ปุ่นยุคเมจิเจริญเร็วกว่าชาติใดๆในเอเชียอย่างมาก
ญี่ปุ่นยุคเมจิ : การศึกษาดูงาน
ในยุคเมจิ ญี่ปุ่นส่งคณะนักเรียน หรือ ข้าราชการไปดูงานยังต่างประเทศ 300 กว่าคณะ ในช่วงปี 1870-1914 แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นทำคือ การศึกษาดูงานแบบญี่ปุ่น ไม่ใช่ไปดูงานเฉยๆนะครับ คือไปเรียน 12-18 เดือนในเรื่องนั้นๆครับ การศึกษาดูงานของญี่ปุ่นไปทั่วโลกครับ ทั้งที่ อันท์เวิร์ป เบลเยี่ยม / อู่ต่อเรือพลีมัธ ที่อังกฤษ / ซานฟรานซิสโก สหรัฐ / โรงงานกอทลีบ-เดมเลอร์ สตุตการ์ท เยอรมัน และ โรงงานกลึงล้อรถจักร ประเทศสยาม เป็นต้น การศึกษาดูงานของญี่ปุ่น 1 คณะ ใช้คน 15-20 คน แต่ละคนศึกษาแต่ละส่วนอย่างละเอียดยิบ และเมื่อกลับมายังญี่ปุ่น คุณต้องถูกทดสอบโดยการสร้างมันขึ้นมาใหม่และต้องใช้งานได้ จึงจะถือว่าผ่าน แะการศึกษาดูงานเหล่านี้กลายเป็นการต่อยอดให้การปฏิรูปเมจิสำเร็จอย่างมากช่วงหลัง 1880 แม้ว่าจะถูกว่า เป็นนัก Copy ก็เถอะ แต่ญี่ปุ่นไม่แคร์ และญี่ปุ่นก็นำเอา Know how เหล่านี้มาสอนในระดับมหาวิทยาลยที่เกิดขึ้นมาเช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การส่งคนไปดูงานแบบนี้สิ้นสุดลงช่วง 1914 ครับ เมื่อยุโรปเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น และญี่ปุ่นรู้วิทยาการมากพอที่จะไม่ต้องไปดูงานที่ยุโรป และ อเมริกาอีก
และมีคนสงสัยว่า ทำไมญี่ปุ่นไปดูงานที่สยาม คำตอบคือ หลวงวิฑูรวิธีกล นายช่างใหญ่ของโรงงานมักกะสัน สามารถคิดวิธีการเรียงล้อโบกี้แบบใหม่ครับ ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งพบปัญหาในทางรถไฟสายโทไคโด ระหว่าง เซงิฮาการะ-ทารุอิ ซึ่งตกรางเป็นประจำ จึงส่งคนมาเรียนที่โรงงานมักกะสันเป็นเวลา 18 เดือน ในช่วงปี 2460-2462 และนำความรู้เหล่านี้ไป ทำให้การตกรางในเขตนี้ลดลงมาก จึงสามารถยุบโรงแรมรถไฟที่ กิฟุ กับ ไมบาระ ได้ เพราะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะรถไฟสายโทไคโดสามารถเดินได้ตลอดเส้น จนมีการเปิดรถด่วนสาย โตเกียว-โอซากา ได้ในปี 1910
โดยสรุปแล้ว การที่ญี่ปุ่นไปศึกษาดูงานแบบเจาะลึก ทำให้ญี่ปุ่นยุคเมจิเจริญเร็วกว่าชาติใดๆในเอเชียอย่างมาก