สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ
ก่อนอื่นเลย กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมเลยนะครับ ในเนื้อหากระทู้จะเล่าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและได้ผ่านไปในช่วงระยะเวลา 1 ปี จากการไปอยู่ที่ เมืองอิสตัลบูล, ตุรกี และผมยังมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวเมืองอื่นๆด้วยครับ เช่น Cappadocia, Bursa และ Trabzon ครับ จุดประสงค์หลักของกระทู้นี้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราว แชร์ประสบการณ์ และสถานที่ต่างๆ ในต่างแดนครับ
* รุปภาพบางรูปถ่ายเองบางรูปเอามาจากในอินเตอร์เน็ตครับ เนื่องบางที่ที่ จขกท ไปใช้ใจเก็บภาพครับ อัยย่ะ ! ไม่ใช่ไรหรอก บางทีที่ จขกทไปไม่ได้พกกล้องไปด้วยครับ และ จขกท ก็มีแต่กล้องโทรศัพท์ครับ ฮ่าๆ
* ถ้ามีส่วนไหนผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ =/\=
รบกวนขอแนะนำตัวคร่าวๆ ก่อนนะครับ คือ จขกท เรียนจบมหาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ จบมาทำงานเป็นออดิดเดอร์ได้ 1 ปี และเห็นว่าเอ๊ะ ! มันไม่ใช่แนว และ ไลท์สไต ของ จขกท จากนั้นจึงเริ่มดื้นลนหาทางออกให้ตัวเอง และแล้วความฝันก็เป็นจริง จขกท ได้ทุนไปเรียนต่อโททางด้านธุรกิจ ที่อิสตัลบูล,ตุรกี เป็นเมืองที่ จขกท ฝันตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากไปที่นั่น woww the dream comes true

และแล้ววว การเดินทางครั้งใหม่ก็ได้เริ่มขึ้น ไปดูกันนเลยยยว่าเจออะไรมาบ้าง
พอถึงวันเดินทางพ่อแม่ พี่น้อง ก็มาส่ง จขกท ที่สนามบินครับ ก็ล่ำลากันยกใหญ่ เสียน้ำตาลูกผู้ชายไปหลายหยด ไม่นะ


เนื่องจาก จขกท ไม่เคยจากครอบครัวไปไกลขนาดนี้
ระหว่างทางก็ถ่ายภาพจากหน้าต่างบนเครื่อง แล้วก็ยังหวั่นใจอยู่ว่าด่านข้างหน้าจะเป็นยังไงนะ ในใจก็ยังลังเล ใจนึกก็คิดว่า เอาจริงหรอวะ อีกใจก็คิดว่า เอาดิมาขนาดนี้แล้วลองดูสักตั้งจะเป็นอะไรรไปป ที่หวั่น คือ ภาาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง แล้วยังต้องไปเรียนภาษาตุรกีอีก เฮือก แค่คิดก็เพลียแล้วครับ

และแล้วว เราก็มาถึง ดินแดนสองทวีปป คือมีส่วนหนึงอยู่ทวีปยุโรป และอีกส่วนตั้งอยู่ทวีปเอเชีย นั่นคือ Istanbul นั่นเอง
(ตุรกีเป็นประเทศที่สวยงามด้วยมรดกโลกและสิ่งมหัศจรรย์ของโลก รวมทั้งร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่)
จะยิ่งใหญ่แค่ไหนกันน

จขกท มีเรียนในช่วงเช้าเลยทำให้มีเวลาเที่ยวได้ในช่วงบ่าย
สถานที่แรกที่เลย จขกท ได้ไปเยี่ยมชม นั่นก็ คือ " Hagia Sophia " หรือ Ayasofya สำหรับการเดินทาง สามารถมาได้โดย Tramvay ลงที่สถานี Sultanmahmet นะครับ
แช๊ะ !!! เซลฟี่หน่อย


[ Ayasofya เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกาย ออร์ทอดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งและมักถูกจัดให้อยู่ในรายการสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จุดเด่นอยู่ที่ยอด โดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ฮายาโซฟีอาเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปี จนกระทั่งอาสนวิหารเซบียาสร้างเสร็จในปี 1520 : Wikipedia ]
จริงๆ จขกท ก็ไม่ได้ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์เลย เพราะ ตอนเรียนไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ ฮ่าๆ ไปไหนก็เชิทอ่านเอาจาก Google และ Wikipedia นี่ละครับ


มาดูข้างใน พิพิธภัณฑ์ Ayasofya กันเลยครับ
วันที่ผมไปมีส่วนหนึ่งปิดปรับปรุงครับ
พิพิธภัณฑ์นี้ เมื่อก่อนเคยเป็นโบสถ์ ของศาสนาคริสต์ ในปี 1453 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่า เช่นย้ายระฆัง แท่นบูชา รูปปั้นต่าง ๆ ออก และสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลาม แต่บางส่วนก็ยังคงส่วนความเป็นคริสต์อยู่ครับ ดังเช่น รูปนี้ ตรงกลางคือ รูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูอยู่ครับ
และ ถ้าเดินออกมาจาก Ayasofa เราจะเห็นสุเหร่า สีฟ้าซึ่งอยู่ตรงข้าม ยิ่งใหญ่อลังการ นั่นก็คือ Blue Mosque
เรามารู้จัก สุเหร่าสีฟ้า หรือ Blue Mosque กันคร่าวๆ ก่อนนะครับ
เป็นอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์เมืองอิสตันบูล เป็นมัสยิดที่ตั้งตระหง่านแข่งความงามและความยิ่งใหญ่กับวิหารเซนต์โซเฟีย มัสยิดสีฟ้าถูกสร้างขึ้นหลังวิหารเซนต์ โซเฟียเพื่อต้องการเอาชนะ ความยิ่งใหญ่ของวิหารเซนต์โซเฟีย สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์จึงสร้างมัสยิดขึ้นหลาย ๆ ต่อหลายครั้งเพื่อเอาเทียบเท่าหรือเอาชนะวิหารเซนต์โซเฟียแต่ก็ไม่มีสถาปนิก คนไหนสร้างได้ จนถึงสมัยของสุลต่านอาห์เมตที่ 1 จึงสามารถสร้างได้สำเร็จ
ตอนนี้ ในสุเหร่า เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ครับ ซึ่งภายในจะแบ่งโซนไว้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินชม กับสำหรับคนที่เข้าไปละหมาดครับ
ไปดูข้างในกันเลยยย ลุยยย !!!
ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ให้ชาวมุสลิมประกอบพิธีทางศาสนากันครับ
ส่วนตัวผม ผมคิดว่า Blue Mosque จะเน้นไปในเรื่องการตกแต่งด้วยหินอ่อน และกระเบื้องอิซนิก ประกอบกับลวดลายแบบออโตมัน
ขอปิดด้วยภาพสุดท้ายที่ก็อปมาจากเน็ตครับ ฮ่าๆ


ต่อมาเราไปต่อกันเลย ถ้าเราออกจาก Blue Mosque ทุละไปที่ Ayasofya เดินไปเรื่อยๆ จะเจอ พระราชวังโทพคาปิ หรือ Topkapı Sarayı
ในภาษาตุรกีครับ Sara แปลว่าพระราชวังน่ะ
ระหว่างทางเดินไปครับ กำแพงนี้เป็นกำแพง ทางเข้าออกวังของสุลต่าน ชื่อ Bab-i Hümayun หรือ Sultanat Kapısı (Imperial Gate) ครับ
เดินผ่านทะลุรูนั้นเข้าไป
มีทหารหญิงขี่ม้าด้วย Wowww
ถึงแล้วว เซลฟี่แพ๊ปป
Topkapı Sarayı เดิมเป็นพระราชวังเก่าของสุลต่านแห่งจักรวรรดิออโตมัน ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธพันธ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ป็นที่เก็บรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมเช่นเสื้อคลุมและดาบ ศาสดาของศาสนาอิสลามและสุลต่าน ที่ได้รับการสถาปนาให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1985
พระราชวังโทพคาปึเริ่มมาหมดความสำคัญลงในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อสุลต่านนิยมที่จะเสด็จไปประทับที่พระราชวังใหม่บนฝั่งบอสฟอรัสมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1853 นั่นก็คือ Dolmabahçe Palace เดี๋ยวเราจะตามไปเที่ยวพระราชวังนี้กันด้วยครับ อลังมากก บอกเลยยย :
ในพระราชวังนั้น จะมี Guard คอยเฝ้าระวังเรื่องกล้องครับ เพราะเค้าห้ามถ่ายรูป พวกชุด เครื่องทรง ของสุลตานครับ
ในพระราชวัง Tokapı Sarayı ในนั้นใหญ่มากครับ และ ร่มรื่นมาก แต่ผมไม่ค่อยได้ถ่าย รูปมาเสียดายจัง แต่ก็มีบ้างนิดหน่อยครับ
พอเราเดินชมพระราชวังมาเรื่อยๆ ท้ายสุดของพระราชวังจะเห็นวิวทะเลครับ
สำหรับพระราชวังนี้ถ้าคนชอบ ของเก่าหรือพวกประวัติศาสตร์ต่างๆ ในช่วงของอาณาจักรออโตมัน รับรองว่าไม่ผิดหวังเลย
ไปต่อกันเลยดีกว่า ถ้าเดินกลับมาที่ Ayasofya ตรงข้าม Ayasofya อีกด้านนึ่ง จะมีอ่างเก็บน้ำใต้ดิน " Yerebatan "
มีอยู่ประมาณ 1400 ปีมาแล้ว รัชสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในพระราชวัง ในอ่างเก็บน้ำที่นี่มีเสาโรมันเรียงอยู่เป็นแถว
แล้วมีอยู่เสาหนึ่งเป็นเสาหัวเมดูซ่า เราเข้าไปดูกันเลย


เสาบางต้นมีรูแปลกๆ
ทั้งนักท่องเที่ยวและคนตุรกี เอาหัวแม่โป้งไปสอดในรูและหมุนๆ ผมก็เช่นกัน ตามกระแสหน่อย


มาถึงจุดพีค แล้ว เสาที่นี่ จะมีแค่ 2 ต้นเท่านั้นที่เป็นรูปหัวเมดูซ่า

** ที่หัวเมดูซ่าตะแคงขวา คีความเป็นนัยว่า เป็นเคล็ดไม่ให้เมดูซามองใครแล้วจะกลายเป็นหิน
เซลฟี่ดิ รอไรร
** สงสัยกันไหมครับว่าทำไม อ่างเกบน้ำแห่งนี้ยังมีน้ำอยู่ เพราะว่าสมัยก่อนมีการทำท่อส่งน้ำ ที่มาจากป่า Belgrat ด้วยการผ่าท่อส่งน้ำยาวประมาณ 970 เมตร ด้วยสะพานส่งน้ำสมัยก่อน ชื่อว่า Aqueduct
One year in Istanbul, Turkey :)
ก่อนอื่นเลย กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมเลยนะครับ ในเนื้อหากระทู้จะเล่าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและได้ผ่านไปในช่วงระยะเวลา 1 ปี จากการไปอยู่ที่ เมืองอิสตัลบูล, ตุรกี และผมยังมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวเมืองอื่นๆด้วยครับ เช่น Cappadocia, Bursa และ Trabzon ครับ จุดประสงค์หลักของกระทู้นี้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราว แชร์ประสบการณ์ และสถานที่ต่างๆ ในต่างแดนครับ
* รุปภาพบางรูปถ่ายเองบางรูปเอามาจากในอินเตอร์เน็ตครับ เนื่องบางที่ที่ จขกท ไปใช้ใจเก็บภาพครับ อัยย่ะ ! ไม่ใช่ไรหรอก บางทีที่ จขกทไปไม่ได้พกกล้องไปด้วยครับ และ จขกท ก็มีแต่กล้องโทรศัพท์ครับ ฮ่าๆ
* ถ้ามีส่วนไหนผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ =/\=
รบกวนขอแนะนำตัวคร่าวๆ ก่อนนะครับ คือ จขกท เรียนจบมหาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ จบมาทำงานเป็นออดิดเดอร์ได้ 1 ปี และเห็นว่าเอ๊ะ ! มันไม่ใช่แนว และ ไลท์สไต ของ จขกท จากนั้นจึงเริ่มดื้นลนหาทางออกให้ตัวเอง และแล้วความฝันก็เป็นจริง จขกท ได้ทุนไปเรียนต่อโททางด้านธุรกิจ ที่อิสตัลบูล,ตุรกี เป็นเมืองที่ จขกท ฝันตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากไปที่นั่น woww the dream comes true
พอถึงวันเดินทางพ่อแม่ พี่น้อง ก็มาส่ง จขกท ที่สนามบินครับ ก็ล่ำลากันยกใหญ่ เสียน้ำตาลูกผู้ชายไปหลายหยด ไม่นะ
ระหว่างทางก็ถ่ายภาพจากหน้าต่างบนเครื่อง แล้วก็ยังหวั่นใจอยู่ว่าด่านข้างหน้าจะเป็นยังไงนะ ในใจก็ยังลังเล ใจนึกก็คิดว่า เอาจริงหรอวะ อีกใจก็คิดว่า เอาดิมาขนาดนี้แล้วลองดูสักตั้งจะเป็นอะไรรไปป ที่หวั่น คือ ภาาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง แล้วยังต้องไปเรียนภาษาตุรกีอีก เฮือก แค่คิดก็เพลียแล้วครับ
และแล้วว เราก็มาถึง ดินแดนสองทวีปป คือมีส่วนหนึงอยู่ทวีปยุโรป และอีกส่วนตั้งอยู่ทวีปเอเชีย นั่นคือ Istanbul นั่นเอง
(ตุรกีเป็นประเทศที่สวยงามด้วยมรดกโลกและสิ่งมหัศจรรย์ของโลก รวมทั้งร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่)
จะยิ่งใหญ่แค่ไหนกันน
จขกท มีเรียนในช่วงเช้าเลยทำให้มีเวลาเที่ยวได้ในช่วงบ่าย
สถานที่แรกที่เลย จขกท ได้ไปเยี่ยมชม นั่นก็ คือ " Hagia Sophia " หรือ Ayasofya สำหรับการเดินทาง สามารถมาได้โดย Tramvay ลงที่สถานี Sultanmahmet นะครับ
แช๊ะ !!! เซลฟี่หน่อย
[ Ayasofya เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกาย ออร์ทอดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งและมักถูกจัดให้อยู่ในรายการสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จุดเด่นอยู่ที่ยอด โดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ฮายาโซฟีอาเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปี จนกระทั่งอาสนวิหารเซบียาสร้างเสร็จในปี 1520 : Wikipedia ]
จริงๆ จขกท ก็ไม่ได้ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์เลย เพราะ ตอนเรียนไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ ฮ่าๆ ไปไหนก็เชิทอ่านเอาจาก Google และ Wikipedia นี่ละครับ
มาดูข้างใน พิพิธภัณฑ์ Ayasofya กันเลยครับ
วันที่ผมไปมีส่วนหนึ่งปิดปรับปรุงครับ
พิพิธภัณฑ์นี้ เมื่อก่อนเคยเป็นโบสถ์ ของศาสนาคริสต์ ในปี 1453 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่า เช่นย้ายระฆัง แท่นบูชา รูปปั้นต่าง ๆ ออก และสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลาม แต่บางส่วนก็ยังคงส่วนความเป็นคริสต์อยู่ครับ ดังเช่น รูปนี้ ตรงกลางคือ รูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูอยู่ครับ
และ ถ้าเดินออกมาจาก Ayasofa เราจะเห็นสุเหร่า สีฟ้าซึ่งอยู่ตรงข้าม ยิ่งใหญ่อลังการ นั่นก็คือ Blue Mosque
เรามารู้จัก สุเหร่าสีฟ้า หรือ Blue Mosque กันคร่าวๆ ก่อนนะครับ
เป็นอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์เมืองอิสตันบูล เป็นมัสยิดที่ตั้งตระหง่านแข่งความงามและความยิ่งใหญ่กับวิหารเซนต์โซเฟีย มัสยิดสีฟ้าถูกสร้างขึ้นหลังวิหารเซนต์ โซเฟียเพื่อต้องการเอาชนะ ความยิ่งใหญ่ของวิหารเซนต์โซเฟีย สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์จึงสร้างมัสยิดขึ้นหลาย ๆ ต่อหลายครั้งเพื่อเอาเทียบเท่าหรือเอาชนะวิหารเซนต์โซเฟียแต่ก็ไม่มีสถาปนิก คนไหนสร้างได้ จนถึงสมัยของสุลต่านอาห์เมตที่ 1 จึงสามารถสร้างได้สำเร็จ
ตอนนี้ ในสุเหร่า เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ครับ ซึ่งภายในจะแบ่งโซนไว้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินชม กับสำหรับคนที่เข้าไปละหมาดครับ
ไปดูข้างในกันเลยยย ลุยยย !!!
ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ให้ชาวมุสลิมประกอบพิธีทางศาสนากันครับ
ส่วนตัวผม ผมคิดว่า Blue Mosque จะเน้นไปในเรื่องการตกแต่งด้วยหินอ่อน และกระเบื้องอิซนิก ประกอบกับลวดลายแบบออโตมัน
ขอปิดด้วยภาพสุดท้ายที่ก็อปมาจากเน็ตครับ ฮ่าๆ
ต่อมาเราไปต่อกันเลย ถ้าเราออกจาก Blue Mosque ทุละไปที่ Ayasofya เดินไปเรื่อยๆ จะเจอ พระราชวังโทพคาปิ หรือ Topkapı Sarayı
ในภาษาตุรกีครับ Sara แปลว่าพระราชวังน่ะ
ระหว่างทางเดินไปครับ กำแพงนี้เป็นกำแพง ทางเข้าออกวังของสุลต่าน ชื่อ Bab-i Hümayun หรือ Sultanat Kapısı (Imperial Gate) ครับ
เดินผ่านทะลุรูนั้นเข้าไป
มีทหารหญิงขี่ม้าด้วย Wowww
ถึงแล้วว เซลฟี่แพ๊ปป
Topkapı Sarayı เดิมเป็นพระราชวังเก่าของสุลต่านแห่งจักรวรรดิออโตมัน ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธพันธ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ป็นที่เก็บรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมเช่นเสื้อคลุมและดาบ ศาสดาของศาสนาอิสลามและสุลต่าน ที่ได้รับการสถาปนาให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1985
พระราชวังโทพคาปึเริ่มมาหมดความสำคัญลงในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อสุลต่านนิยมที่จะเสด็จไปประทับที่พระราชวังใหม่บนฝั่งบอสฟอรัสมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1853 นั่นก็คือ Dolmabahçe Palace เดี๋ยวเราจะตามไปเที่ยวพระราชวังนี้กันด้วยครับ อลังมากก บอกเลยยย :
ในพระราชวังนั้น จะมี Guard คอยเฝ้าระวังเรื่องกล้องครับ เพราะเค้าห้ามถ่ายรูป พวกชุด เครื่องทรง ของสุลตานครับ
ในพระราชวัง Tokapı Sarayı ในนั้นใหญ่มากครับ และ ร่มรื่นมาก แต่ผมไม่ค่อยได้ถ่าย รูปมาเสียดายจัง แต่ก็มีบ้างนิดหน่อยครับ
พอเราเดินชมพระราชวังมาเรื่อยๆ ท้ายสุดของพระราชวังจะเห็นวิวทะเลครับ
สำหรับพระราชวังนี้ถ้าคนชอบ ของเก่าหรือพวกประวัติศาสตร์ต่างๆ ในช่วงของอาณาจักรออโตมัน รับรองว่าไม่ผิดหวังเลย
ไปต่อกันเลยดีกว่า ถ้าเดินกลับมาที่ Ayasofya ตรงข้าม Ayasofya อีกด้านนึ่ง จะมีอ่างเก็บน้ำใต้ดิน " Yerebatan "
มีอยู่ประมาณ 1400 ปีมาแล้ว รัชสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในพระราชวัง ในอ่างเก็บน้ำที่นี่มีเสาโรมันเรียงอยู่เป็นแถว
แล้วมีอยู่เสาหนึ่งเป็นเสาหัวเมดูซ่า เราเข้าไปดูกันเลย
เสาบางต้นมีรูแปลกๆ
ทั้งนักท่องเที่ยวและคนตุรกี เอาหัวแม่โป้งไปสอดในรูและหมุนๆ ผมก็เช่นกัน ตามกระแสหน่อย
มาถึงจุดพีค แล้ว เสาที่นี่ จะมีแค่ 2 ต้นเท่านั้นที่เป็นรูปหัวเมดูซ่า
** ที่หัวเมดูซ่าตะแคงขวา คีความเป็นนัยว่า เป็นเคล็ดไม่ให้เมดูซามองใครแล้วจะกลายเป็นหิน
เซลฟี่ดิ รอไรร
** สงสัยกันไหมครับว่าทำไม อ่างเกบน้ำแห่งนี้ยังมีน้ำอยู่ เพราะว่าสมัยก่อนมีการทำท่อส่งน้ำ ที่มาจากป่า Belgrat ด้วยการผ่าท่อส่งน้ำยาวประมาณ 970 เมตร ด้วยสะพานส่งน้ำสมัยก่อน ชื่อว่า Aqueduct