ฝากนิยายอ่านเล่นกันครับ นิรันดร์จอมราษฏร์ (LGBT, อิงประวัติศาสตร์, กำลังภายใน)

ฝากนิยายให้อ่านเล่นกันครับ  คำวิจารณ์ที่ได้รับเป็นสิ่งที่ผมถือเป็นคุณค่าสูงสุดของชีวิต รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ

เหมันต์ยามโฉ่ว กิเลนบังเกิด

แสงดาวระยิบงดงาม ทว่ามิได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกยินดีขึ้นแต่อย่างไร ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บของฤดูหนาวส่งไอยะเยือกผ่านเสื้อหนาไปสัมผัสกายาที่ ยังอ่อนเยาว์สร้างความหนาวสะท้านถึงทรวง แล้วยิ่ง ณ.ตรงที่เขาอยู่ยังเป็นเนินเขาชานเมืองเซ่งโจว
เมื่อเพ่งมองไปในความมืด อาจารย์ของเขายังคงอยู่ในท่าเดิมคือเงยมองฟ้าฟาก ผิดไปเล็กน้อยคือเคลื่อนจากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่งอย่างช้าๆ นิ้วเหี่ยวย่นยังคงนับคำนวณอย่างถี่ถ้วน...
ผิวเผิน... ก็คือชายแก่คนหนึ่งที่อุตส่าห์ฝ่าความหนาวเย็นมาชมดาว...
ตื้นเขิน... คือก็แค่ชายแก่ที่กำลังนับนิ้วและบ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์...
ลึกล้ำ... นี่คือชายแก่ที่แม้อู่ไท้โฮ่วถึงขนาดต้องเสด็จออกจากพระตำหนักด้วยองค์เองเพื่อขอคำแนะนำ
หยั่งรู้... การคำนวณของชายแก่นี้ล่วงรู้ดินฟ้า... เพราะเขาคือหมอดูเทพยาดา...
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่สามารถขืนหนังตาได้อีก เขาเอาแขนข้างหนึ่งซุกเข้าไปแขนเสื้อของอีกข้างแล้วก็เอนกายกับโคนต้นหลิว แรกเดิมทีจะพักสายตา แต่ต่อมาก็ดิ่งลงสู่ห้วงนิทราไป..
“อาเฟย” เสียงของอาจารย์ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง
“ข้าไม่ได้หลับ ข้าแค่หลับตา” อาเฟยรีบแก้ตัวพันละวัน เพราะคิดว่าอาจารย์เอ็ดที่เขาเผลอหลับไป
แต่ใบหน้าของชายชรานั้นไม่ได้มีวี่แววของความโกรธฉิว แต่กลับแสดงถึงความยินดี...
“ใช่แล้ววันนี้ วันนี้แน่นอน”
“อะไรขอรับ อาจารย์...วันนี้อะไร” เด็กหนุ่มงุนงง
ชายชราผู้ทรงภูมิถอยออกไป แล้วแหงนเงยไปสู่ฟากฟ้า
“นี่คือเวลาแห่งอัศจรรย์ เทวะ ดึกดำบรรพ์จะคืนบังเกิด... ในยามโฉ่วที่มืดมิด พลันวิจิตรด้วยแสงไสว... เทวามาสู่แล้วในแดนดิน จะคืนถิ่นเป็นมนุษย์ธรรมดา... ทรงคือผู้ยกจอมราชา และสถาปนาจักรวรรดิอันไพบูลย์... พระองค์ผู้มีฤกษ์กำเนิด ครั้งเมื่อเกิดแล้วไร้มรณา... ด้วยปัญญาและวิทยา จักนำพาประชาสู่ร่มเย็น”
เด็กหนุ่มไม่สู้เข้าใจนัก เขาค่อยๆลุกขึ้น... ยามโฉ่ว... ก็น่าจะเป็นยามนี้...
“ท่าน...” แค่นั้นแล้วถ้อยคำก็ขาดไป...
เขาสังเกตว่าแผ่นฟ้าด้านหลังของอาจารย์มีสิ่งเปลี่ยนแปลง... เขาแลเห็นดังจะเป็นดวงดาวที่สกาวขึ้นอย่างมากจนผิดปกติ... แล้วมันก็ค่อยๆสว่างขึ้นอย่างมากมายจนกลายเป็นดั่งลูกไฟ...
“อาจารย์..” เขาจะเข้าไปดึงให้อาจารย์หันไป แต่ดวงสว่างนั้นก็พุ่งผ่านเหนือหัวของทั้งสองไป
แม้จะผ่านไปในระยะสูงกว่ามาก แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกหวาดหวั่นจนต้องย่อตัวลง ผิดกับผู้เป็นอาจารย์ที่ยืนหยัดทั้งยิ้มพราย
ดวงตาสีหม่นของชายชราจับไปตามสิ่งที่ส่องแสงและเคลื่อนที่รวดเร็วมุ่งไปยังเมืองเซ่งโจว*
เมื่อมันอยู่เหนือนครแห่งแดนใต้ ก็ระเบิดออกแล้วกำจายแสงไสวจุดราตรียามโฉ่วให้สว่างราวกับกลางวัน
เด็กหนุ่มค่อยๆผุดกายขึ้นมา เขาหันไปหาปรากฏการณ์ประหลาด
แสงสว่างยังสุกสกาวอีกราวอึดใจก่อนจะค่อยๆลาลง... หากชั่วครู่ต่อมา...
เสียงหนึ่งก็แว่วมาตามลม...
“เสียงทารก...” เด็กหนุ่มกล่าวออกมา
“ไปอาเฟย... ไปดูผู้ยิ่งใหญ่กันเถิด...” อาจารย์จับจูงมือลูกศิษย์แล้วเดินพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

แม้จะเป็นยามดึกสงัดแต่เด็กชายวัยห้าขวบกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการชมดูดวงดาว... แต่แล้วเขาฉุกใจ... หรือนี่จะเป็นความฝัน... เพราะเหตุใดกันเขายังตื่นอยู่... ทั้งที่ควรจะอยู่บนเตียงตั่งนุ่มสบาย..
แล้วพลันความคิดก็หยุดชะงัก ด้วยเด็กน้อยได้ยินเสียงคล้ายสัตว์คำราม

เมื่อหันหลังไป จึงได้ประจันหน้ากับสิ่งแปลกประหลาดล้ำ คือม้าหรืออะไรกันก็ไม่ทราบได้ กายาจากขาถึงไหล่สูงราวหกเชี้ยะ แต่มิได้ปกคลุมด้วยขนหนังดังอาชาชาติทั่วไป หากแต่เป็นเกล็ดสีทองอร่ามงามตา ทั้งใบหน้ายังมิใช้ม้า แต่เป็นศีรษะของสัตว์แปลกประหลาดมีเขาสองข้างคล้ายกวาง ใบหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดสีเดียวกับกายคล้ายจระเข้ แต่ดวงตากลมโตเหมือนกระต่าย มีหนวดยาวดั่งเส้นแส้หนังควั่น

เจ้าม้าประหลาดเข้ามาใกล้แล้วหมอบลงต่อหน้าเด็กชาย


หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายเรียกง่ายแต่ก็แลดูเรียบร้อยและงามตา นางได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเตียง แต่ก็ไม่เห็นว่าม่านตาถูกเลิกออก จึงเดาว่าเจ้านายตัวน้อยของนางคงยังหลับใหลหากละเมอออกมาภาษาเด็กน้อย

เมื่องับประตูไม้จนสนิทอย่างแผ่วเบาแล้ว นางก็เดินเท้าเบาไปรินน้ำจากเหยือกดินเผาสีเขียวหยกลงไปในอ่างทองเหลืองโดยไม่ให้มีเสียง
สักครู่เสียงหัวเราะก็เบาลง เมื่อหญิงสาวจะหันไปเก็บม้วนตำราที่นายน้อยของนางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะอักษร...

“เป้ยฮัว” เสียงเรียกจากเตียงตั่ง

“เพคะองค์ชาย” นางขานแล้วรีบเดินไปพลิกม่านแล้วมัดเอาไว้ด้วยเชือกทั้งสองข้าง

องค์ชายลุกขึ้นนั่งแล้วแต่ยังมีสีหน้างุนงง นางจึงเดินไปยกอ่างทองเหลืองมาวางไว้บนโต๊ะเล็กๆที่ใกล้เตียง
“ล้างพระพักตร์ก่อนเพคะ จะได้สดชื่น”
เด็กชายผู้สูงศักด์หันมามองหน้าพี่เลี้ยงที่ดูแลเขามานานปี
“ข้าฝันไปเป้ยฮัว... สนุกจัง ฝันว่ามีกิเลนตัวใหญ่มาหาข้าแล้วพาข้าเหาะเล่นบนท้องฟ้า”
“กิเลนเหรอเพคะ” เป้ยฮัวถามกลับมา
“กิเลน... สัตว์ในตำนานอย่างไรเป้ยฮัวเจ้ามิรู้จักหรือ” เด็กชายทำตาโต
“ที่มีหัวเป็นดั่งมังกรตัวเป็นม้าอย่างไรเป้ยฮัว”
เป้ยฮัวเลื่อนโต๊ะเข้ามาให้เด็กชายได้วักน้ำล้างหน้าได้ถนัด
“เหมือนอย่างที่มีในศาลเจ้าหรือเพคะ” เป้ยฮัวถามกลับ
เด็กชายเอาน้ำลูบหน้าหลายครั้งก่อนจะตอบ
“ใช่แล้ว... แต่ตัวมันเป็นสีทองอร่ามเลยนะ งดงามมาก แต่มันช่างเชื่องยิ่งนัก พาข้าเหาะเหินไปเหนือพระตำหนักด้วย...”
“ทรงอ่านอะไรเกี่ยวกับกิเลนก่อนบรรทมกระมังเพคะ จึงได้เก็บไปทรงสุบินประหลาด”
เด็กชายยกมือโบก
“ไม่นะเป้ยฮัว ข้าอ่านหนังสือที่ท่านอมาตย์ให้อ่าน ไม่ได้อ่านอะไรอื่นเลย”

เป้ยฮัวยิ้ม พินิจดวงหน้าของเจ้านายน้อย ดวงหน้านั้นมีเค้าว่าจะเติบโตเป็นยอดชายอย่างแน่แท้ ดวงตาก็ฉลาดเฉลียว สมแล้วเป็นเชื้อพระวงศ์ขั้นสูงคนหนึ่ง
หลีหลงฉี พระโอรสในพระเจ้าลุ่ยจงแห่งราชวงศ์ถัง...
“เอาเถิดเพคะ... วันนี้ทรงมีนัดกับท่านอาจารย์ใช่หรือไม่ว่าจะไปคอกม้าหลวง เห็นว่าเมื่อวานมีม้าใหม่ๆมาหลายตัว องค์ชายน่าจะทรงพอพระทัยแน่นอนเพคะ” เป้ยฮัวกล่าวอย่างอ่อนโยน

ครั้งทรงเครื่องเยี่ยงองค์ชาย หลีหลงฉีก็ดูงามสง่านักสำหรับเป้ยฮัว แม้พระชันษาจะเพียงห้าขวบ แต่องค์ชายของนางก็แลแล้วน่าประทับใจยิ่งนัก
นางจัดเสื้อคลุมตัวนอกที่เป็นขนสัตว์ฟูนุ่มนิ่มแก่องค์ชาย
“อย่าทรงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกนะเพค่ะ ประเดี๋ยวจะทรงประชวรเสียอีก...” นางกำชับ
“ข้ารู้แล้วน่าเป้ยฮัว” องค์ชายน้อยยิ้มตอบ
สองบ่าวนายเดินออกจากที่ประทับขององค์ชายเพื่อจะไปยังตำหนักด้านหน้า แต่พ้นครึ่งทางมา ทหารหลวงหลายนายก็วิ่งมากระหนาบซ้ายขวา เป้ยฮัวรีบโอบพระองค์ของเจ้านายน้อยเอาไว้เพื่อปกป้อง
“นี่พวกท่านคิดจะทำอะไร”
ด้วยเครื่องแต่งกายของนายกองระดับสูง ชายหนุ่มเดินเข้ามาน้อมคำนับองค์ชายหลีหลงฉี
“ขอเชิญองค์ชายเสด็จมากับข้าพระบาท ฝ่าบาทกับฮ่องไท่โฮ่วมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า”

สมเด็จย่า คือคำขานที่องค์ชายหลีหลงฉีควรจะเรียกขานสตรี ในเครื่องทรงจักรพรรดินีอันงดงามสีเงินสลับทองเฉิดฉัน พระเศียรยังคงตั้งตรงแม้พระชนมพรรษาจะล่วงวัยเกินกลางคนแล้วก็ตาม ดวงพระเนตรยังคงแจ่มใส ทว่าฉายรัศมีแรงกล้าเสียจนเด็กชายไม่อาจสบตาด้วย แม้พระนางจะโปรดปรานองค์ชายน้อยอยู่มากเพราะทรงชมชอบคนฉลาดเฉลียว

อู่ไท่โฮ่ว ผู้กุมอำนาจเหนือบัลลังก์แห่งเซ่งถังอย่างแท้จริง
“หลงฉี ไหนมาให้ย่าดูใกล้หน่อยสิ”
องค์ชายน้อยลุกจากอาการถวายบังคมหันไปสบพระเนตรกับพระบิดา ฮวงตี่รุ่ยจงที่แม้จะประทับบนบัลลังก์ แต่หากพระนางอู่ต่างหากทรงอำนาจ ในขณะนี้ต่อหน้าพระพักตร์พระนางอู่ไท้โฮ่ว ฮวงตี่นั้นเพียงนกน้อยที่ห่อปีกต่อหน้าพญาหงส์ มิใช่จอมราชา...

แววพระเนตรพระราชบิดานั้นเต็มไปด้วยความกังวล ตอนนี้นอกจากองค์ชายน้อยแล้วพี่ๆทั้งสองขององค์ชายก็ถูกนำมาในตำหนักนี้ทั้ง สิ้น ทั้งคู่ยืนตัวลีบด้วยหวาดกลัวเพราะรัศมีของจันทราดวงนี้ที่ฉายแสงแรงกล้า เสียยิ่งกว่าอาทิตย์...

หรือจริงๆแล้วพระนางอู่คืออาทิตย์ที่แท้ก็มิทราบได้...

หลีหลงฉีก้าวเข้าไปหาพระนางอู่เพราะพระนางยังกางพระกรออกทั้งสองข้างยืนยันในพระรับสั่งอย่างมั่นคง

อ้อมกอดของพระนางแม้จะอุ่น แต่หลีหลงฉีกลับสั่นสะท้าน... ด้วยในใจตระหนักว่านี่คืออ้อมกอดของพระนางผู้ชี้เป็นชี้ตายได้แม้แต่กับพระราชบิดาของเขา

“ดูเถิด... โตเท่านี้แล้ว ย่าคงอุ้มเจ้าไม่ไหวเสียแล้วกระมัง” พระนางรับสั่ง แล้วหันไปหาพระเจ้ารุ่ยจง..
“เห็นหรือยังว่าฝ่าบาท ว่าแม่รักหลานข้าเพียงไร... ดังนั้นแม้ฝ่าบาทจะไม่ได้อยู่บนบัลลังก์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ยาก... แม่จะดูแลหลานๆของแม่อย่างดี”
พระเจ้ารุ่ยจง ค้อมพระเศียรสยบต่อพระมารดา แล้วคุกเข่าลงต่อพระพักต์สตรีผู้ทรงอำนาจ
“หม่อมฉันยินดีจะน้อมรับมติสวรรค์ ด้วยสวรรค์ได้ส่งพระมารดาผู้เป็นพระแม่แห่งฟ้ามา หม่อมฉันผู้เป็นบุตรย่อมถือเป็นบุญหนักหนา บัดนี้เมื่อฟ้ามีโองการให้พระแม่ครองแผ่นดิน หม่อมฉันจึงยินดียิ่งจะถวายราชบัลลังก์แด่พระมารดาดังประสงค์ฟ้า..."
“ขอพระหมื่นปี ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี” เสียงแซ่ซ้องก้องตำหนัก...

คริสตศักราช 690 พระนางอู่ไท่โฮ่ว สถาปนาพระองค์เองเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามโจ่วเซิ่งเซงฮวงตี้ สถาปนาราชวงศ์โฮ่วโจวขึ้นปกครองแผ่นดิน

เสียงเล่าลือนั้นดังไปทั่วเมืองเชิงโจวเรื่องปรากฏการประหลาดนั้นอื้ออึง ดังนั้นกวนเทียงปอจึงพยายามสงบนิ่งต่อการเล่าลือนั้น ตอนนี้เสียงเล่าลือจางลงแล้ว เพราะกระแสข่าวจากเมืองหลวงแทนที่เข้ามา

พระนางอู่ฮ่วงโฮ่ว สถาปนาราชวงค์ใหม่ และพระนางก็ทรงปกครองแผ่นดินเสียเอง...

กวนเทียงปอถอนหายใจเมื่อรับฟัง เว่ยหลิงหัวหน้ากองคุ้มกันที่พึ่งกลับมาจากเมืองหลวงเล่าเรื่องการสถาปนาราชวงศ์ใหม่
“ก็ดี ที่ไม่นองเลือด... ข้าก็คิดอดไม่ได้มานานแล้วว่าพระนางจะต้องสถาปนาองค์เองในวันหนึ่งวันใด แต่ไม่คิดว่าพระนางจะกล้าทำจริงๆ...”    กวนเทียงปอทราบข่าวสารต่างๆในอาณาจักรอย่างดี ในฐานะเจ้าของสำนักคุ้มภัยใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำฉางเชียง เขาต้องรู้เรื่องราวมากมายเพื่อสะดวกในการวางแผนการคุ้มกันขบวนสินค้า
“แต่ข้าแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อมาถึงเขตเมืองแล้วได้ยินเรื่องดวงดาวระเบิด... มีคนบอกว่าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด มีดวงดาวใหญ่ตกลงมาเหนือเมืองแล้วระเบิดส่งแสงสว่างราวกับกลางวัน แถมยังมีคนเล่าลือว่ามีเสียงทารกร้องก้องไปทั้งเซิงโจว” เว่ยหลิงกล่าว
“แต่พอเข้ามาบ้านก็มีคนบอกว่าคุณชายน้อยเกิดแล้ว... ก็เลยคิดไปว่า...”
“เว่ยหลิง” กวนเทียงปอออกเสียงห้ามเอาไว้ไม่ให้พูดต่อ
“ตอนนี้มีการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ บ้านเมืองไม่เป็นปกติ เจ้าอย่าได้เที่ยวไปพูดอะไรเหลวไหล”
เว่ยหลิงก้มหัวลงสงบคำ
“พระนางอู่ฮ่วงตี้ แต่เดิมก็เป็นคนเชื่อถือโชคราง หากทรงได้ทราบว่ามีปรากฏการณ์ประหลาดไหนเลยจะไม่สั่งให้ค้นหา... ยังดีที่ตอนเกิดปรากฏการณ์นั้น เป็นเวลาดึกสงัด... ชาวบ้านจึงไม่ได้รู้ความกันมากนัก ส่วนเสียงทารกที่ว่ามิได้ดังสนั่นๆ แต่คล้ายดังก้องแทรกในกระแสอากาศจนผู้คนไม่รู้ต้นที่มา” กวนเทียนปอเล่าด้วยตนเอง เมื่อเว่ยหลิงย่อตัวลงพินิจทารกน้อยที่หลับใหลบนเปล ใบหน้าน้อยดูน่ามองนักสำหรับเว่ยหลิง
“ข้านั้นแปลกใจมาก... เด็กอะไรจึงสามารถร้องเสียงดังเช่นนั้นได้... คล้ายกับการเปล่งเสียงด้วยลมปราณกระนั้น... ครั้งเช้าตรู่มีซินแซท่านหนึ่งมาหาที่บ้าน... เขาบอกว่าให้ข้าชุบเลี้ยงลูกคนนี้ให้ดี ด้วยต่อไปภายหน้าจะเป็นกำลังสำคัญแห่งแผ่นดินได้ และนำความร่มเย็นมาสู่แผ่นดินและลุ่มแม่น้ำฉางเชียง”
เว่ยหลิงเงยหน้ามองเจ้านาย
“แล้วคุณชายน้อยชื่อว่าอะไร”
กวนเทียนปอมองหน้าลูกชายคนเล็กแรกเกิด
“ฉีหลิน(กิเลน)” ผู้บิดาตอบ
“เป็นกิเลนแล้วจะไม่เป็นมังกร... เป็นกิเลนแล้วจะไม่ลอยเหินแต่ติดดิน แต่จะคลุกคลีและดูแลประชาชน เป็นกิเลนแล้วจะทรงอำนาจ วางรากฐานแน่นหนาแก่มังกร... ท่านหมอดูกล่าวเช่นนั้น”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่