วันนี้ไม่รู้เป็นวันที่เท่าไหร่ที่ผมต้องห่างจากอกของแม่ เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในแดนมิคสัญญีแห่งนี้ และผมเองก็เชื่อว่ามันคงเป็นที่ซุกหัวนอนสำหรับผมตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ถ้าวันนั้นผมไม่ทำสิ่งที่เลวร้ายกับ ผมก็คงไม่ต้องก้าวเท้าเข้ามาชดใช้กรรมที่นี้
ชีวิตผมหลังม่านลูกกรงเหล็ก มันเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ซึ่งผมเองเพิ่งกลับจากบ้านเพื่อน ซึ่งจัดงานปาร์ตี้สีเทากันอย่างสนุกสนาน โดยผมและเพื่อนๆ พวกเราได้ฉลองปาร์ตี้กันด้วยการเสพยาภายใต้แสงจันทรากันตลอดทั้งคืน ในเวลานั้นผมคิดว่าจิตใจของผมมันเป็นอิสระเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการของสังคม ที่พยายามบีบผมให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะแม่ของผมที่ชอบตีกรอบให้ผมไปเสียทุกอย่าง
เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมก็รีบเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็ว มันเปรียบเสมือนอาณาจักรส่วนตัวของผม ในขณะที่ผมหวังพักเอาแรงสักตื่นโดยปล่อยตัวปล่อยใจให้รองลอยไปฤทธิ์ยาอย่างมีความสุข แต่แล้วกลับมีเสียงดังสนั่นจนดึงผมลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกความเป็นจริงที่โหดร้าย ซึ่งเป็นเสียงของแม่ผมเอง ผมรู้สึกโมโหเป็นที่สุด และคิดว่าเสียงนั่นเหมือนเสียงจากนรก สิ่งเดียวที่ผมติดได้ในเวลานั่น คือ ต้องกำจัดยมทูตตนนั้นก่อนที่มันจะบุกรุกเข้ามาในวิมานฉิมพลีของผม
ผมลุกไปที่ประตูและผลักออกอย่างแรง ก็เห็นแม่ที่ทำลังยืนด่าและเข้ามาทุบตีผมเหมือนผมเป็นกลองสะบัดชัย แต่ผมก็หาได้มีความเจ็บปวดจากแรงของฝ่ามือแม่ แต่ผมกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่าเหมือนแมลงวี่ที่ชอบบินตอมลูกตา
กระทั่งแม่เริ่มไล่ผมให้ออกไปเรียนหนังสือ เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดี มีงานทำเหมือนลูกชาวบ้าน ทันใดนั้นผมคิดว่าแม่กำลังเริ่มตีกรอบให้ผมเดินเหมือนเด็กๆ ทั้งที่ประเทศมีกฎหมายให้สิทธิเสรีภาพที่จะให้บุคคลสามารถกระทำและตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการได้
ในที่สุดความรำคาญผมก็พุงสู่ขีดจำกัด ผมผลักร่างของแม่จนล้มทั้งยืน ก่อนจะเดินข้ามร่างของแม่ตรงไปยังห้องครัว ผมพยายามควานหาอะไรก็ได้ที่ช่วยให้แม่หุบปากให้เร็วที่สุดหรือตลอดไปได้ยิ่งดี ในที่สุดผมก็เจอเข้ากับอีโต้ด้ามใหญ่สีเงินมันวาว ผมคว้าติดมือและตรงมาที่ร่างของแม่ที่ยังคงนอนกองอยู่กับพื้น
ผมเข้ามาประชิดร่างของแม่ ก่อนจะเริ่มใช้อีโต้ทุบไปที่หัวของแม่สุดแรง แม่ล้มฟุบลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้น พร้อมกับเลือดที่เริ่มทะลักออกมาจากบาดแผล สภาพแม่ตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับปลาช่อนที่โดนทุบหัวก่อนไปแกง แม่ยังคงร้องโหยหวยด้วยความเจ็บปวด ผมเกิดความกลัวว่าใครจะเข้ามารู้เรื่องนี้จึงตัดสินใจจบเรื่องนี้ไปพร้อมกับชีวิตแม่ ผมเริ่มบรรจงใช้อีโต้เล่มเดิมฟันลงไปบนล่างของแม่ไม่ยั้งจนเสียงของแม่เงียบสนิทผมจึงเบามือลง ก่อนจะเดินไปอาบน้ำเพื่อเอาเลือดแม่ที่เปื้อนไปทั้งตัวออก แล้วจึงเดินข้ามร่างแม่ที่นอนจมกองเลือดเข้ามานอนในห้องตามเดิม
ภายใต้ความสงบที่ผมตามหา ไม่นานผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นหลังมีเสียงเคาะประตูและร้องเรียกหาแม่จากป้าข้างบ้าน ด้วยความกลัวที่จะโดนจับผมรีบใส่เสื้อผ้าแล้ววิ่งออกไปทางประตูหลังบ้าน ก่อนที่ป้าคนนั้นจะผลักประตูเข้ามาและตามด้วยเสียงร้องที่ดังตะโกนขอความช่วยเหลือ ผมรู้สึกเวิ้งว้างไม่รู้จะหาที่พึ่งที่ไหนดี กระทั่งผมวิ่งมาถึงบ้านเพื่อนที่จัดปาร์ตี้เมื่อคืน ผมรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อนรักของผมกลับไล่ตะเพิดผมอย่างหมูอย่างหมา บอกว่าไม่เคยรู้จักผม
เวลานั้นผมรู้ซึ้งคำสอนของแม่ทันที ที่เคยบอกว่าอย่าไปครบหาเพื่อนพวกนี้ ผมเดินออกจากบ้านเพื่อนทั้งน้ำตา ผมเดินโซเซหวังจะกลับบ้านอย่างน้อยถ้าผมไม่มีใครก็ยังมีศพแม่ที่อยู่เคียงข้าง แต่ระหว่างทางที่จะมุ่งตรงถึงบ้าน ผมก็ถูกตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบร่วมตัว จับร่างผมนอนลงกลับพื้นที่เติมไปด้วยฝุ่น ก่อนจะเอามือผมไพล่หลังและตามด้วยกุญแจที่พันธนาการผมไว้อย่างแน่นหนา
ในขณะที่ตำรวจกำลังรากคอผมขึ้นรถสีขาวแดงที่จอดรออยู่ปากซอย ก็มีชาวบ้านมากหน้าหลายตา ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก บ้างมองดูผมด้วยสายตาเหยียดหยามบ้างตะโกนด่าผมอย่างที่แม่ผมไม่เคยทำกับผมมาก่อน ผมเจ็บปวดไปทั้งหัวใจที่ผมทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
หลังจากถูกจับได้ไม่นานผมก็ถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและผมก็ได้มีคำนำหน้าว่า นช. ชีวิตผมหลังม่านลูกกรงผมต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไร้เงาญาติหรือเพื่อนรักมาเยี่ยมเยียนหรือมาถามถึงสารทุกข์สุกดิบ ทุกครั้งที่ดวงตะวันขึ้นผมหวังว่าจะมีใครสักคนมาหาแต่ก็ไม่เคย ในขณะที่นักโทษคนอื่นๆ พวกต่างก็มีคนที่รักมาหาสม่ำเสมอผมเองทำได้แค่นั่งมองคนอื่นมีความสุข
กระทั่งวันหนึ่งมีเสียงประกาศเรียกชื่อผมให้ไปพบญาติที่มาเยี่ยม ผมเองรู้สึกประหลาดใจที่มีใครจะมาเยี่ยมคนเลวๆ อย่างผมที่ได้ชื่อว่าลูกทรพี ทันทีที่ผมเข้านั่งประจำที่เพื่อรอญาติมาเยี่ยม ไม่นานก็มีรถเข็นคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าคนที่ยังไม่ลืมว่าโลกใบนี้ยังมีผมอยู่
เมื่อรถเข็นคันนั้นพ้นประตูเขามาหยุดตรงหน้า ผมเองถึงกลับเข่าอ่อนทรุดลงไปกลับพื้น เมื่อคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นคนนั้น คือ แม่ของผม ร่างของแม่ที่ยังคงเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังไม่หายดี ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ก่อนจะพยายามคลานเข้าไปหาแม่ แม่ผมเองก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้า ผมเข้าไปใกล้แม่ก่อนจะก้มกราบลงบนเท้าของแม่ทั้งน้ำตา พร้อมกลับกล่าวขอโทษแม่ในสิ่งที่ผ่านมา ในขณะแม่กลับไม่มีท่าทีที่จะโกรธในสิ่งที่ผมทำ แต่พยายามขยับตัวลงจากรถเข็นเพื่อจะหวังจะกอดผม นอกจากนั้นยังเป็นฝ่ายที่ขอโทษผมที่แม่บังคับผมมากเกินไป ไม่เคยฟังเอาใจใส่ผม
ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ผมคิดฆ่าด้วยน้ำมือของตน แต่กลับเป็นคนเดียวที่มาเยี่ยมผมและให้อภัยในสิ่งที่ผมทำลงไปอย่างไม่มีกังขา
หลังจากวันนั้นแม่ผมก็มั่นมาเยี่ยมผมเสมอ เข้าออกเรือนจำเป็นประจำ โดยไม่เคยอายเลยว่ามีลูกเป็นไอ้ขี้คุก ผมไม่รู้ว่าชาตินี้ ผมจะได้ตอบแทนพระคุณแม่หรือไม่ เพราะผมคงต้องใช้กรรมในแดนมิคสัญญีแห่งนี้ทั้งชีวิต
วันนี้ผมจะขอตอบแทนแม่ด้วยชีวิตของผมเอง ผมขอเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง แม่จะได้ไม่ต้องเดินทางและหาเงินมาเลี้ยงลูกเนรคุณอย่างผมอีก เงินทุกบาททุกสตางค์แม่จะได้เก็บไว้ใช้ หากใครได้อ่านจดหมายฉบับนี้แปลว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
แม่ครับผมขอโทษ ชาติหน้าผมขอเกิดมาเป็นลูกแม่นะครับ ชาตินี้ผมตอบแทนบุญคุณแม่ได้แค่นี้ ลาก่อนครับแม่
จดหมายลาแม่
ชีวิตผมหลังม่านลูกกรงเหล็ก มันเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ซึ่งผมเองเพิ่งกลับจากบ้านเพื่อน ซึ่งจัดงานปาร์ตี้สีเทากันอย่างสนุกสนาน โดยผมและเพื่อนๆ พวกเราได้ฉลองปาร์ตี้กันด้วยการเสพยาภายใต้แสงจันทรากันตลอดทั้งคืน ในเวลานั้นผมคิดว่าจิตใจของผมมันเป็นอิสระเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการของสังคม ที่พยายามบีบผมให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะแม่ของผมที่ชอบตีกรอบให้ผมไปเสียทุกอย่าง
เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมก็รีบเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็ว มันเปรียบเสมือนอาณาจักรส่วนตัวของผม ในขณะที่ผมหวังพักเอาแรงสักตื่นโดยปล่อยตัวปล่อยใจให้รองลอยไปฤทธิ์ยาอย่างมีความสุข แต่แล้วกลับมีเสียงดังสนั่นจนดึงผมลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกความเป็นจริงที่โหดร้าย ซึ่งเป็นเสียงของแม่ผมเอง ผมรู้สึกโมโหเป็นที่สุด และคิดว่าเสียงนั่นเหมือนเสียงจากนรก สิ่งเดียวที่ผมติดได้ในเวลานั่น คือ ต้องกำจัดยมทูตตนนั้นก่อนที่มันจะบุกรุกเข้ามาในวิมานฉิมพลีของผม
ผมลุกไปที่ประตูและผลักออกอย่างแรง ก็เห็นแม่ที่ทำลังยืนด่าและเข้ามาทุบตีผมเหมือนผมเป็นกลองสะบัดชัย แต่ผมก็หาได้มีความเจ็บปวดจากแรงของฝ่ามือแม่ แต่ผมกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่าเหมือนแมลงวี่ที่ชอบบินตอมลูกตา
กระทั่งแม่เริ่มไล่ผมให้ออกไปเรียนหนังสือ เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดี มีงานทำเหมือนลูกชาวบ้าน ทันใดนั้นผมคิดว่าแม่กำลังเริ่มตีกรอบให้ผมเดินเหมือนเด็กๆ ทั้งที่ประเทศมีกฎหมายให้สิทธิเสรีภาพที่จะให้บุคคลสามารถกระทำและตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการได้
ในที่สุดความรำคาญผมก็พุงสู่ขีดจำกัด ผมผลักร่างของแม่จนล้มทั้งยืน ก่อนจะเดินข้ามร่างของแม่ตรงไปยังห้องครัว ผมพยายามควานหาอะไรก็ได้ที่ช่วยให้แม่หุบปากให้เร็วที่สุดหรือตลอดไปได้ยิ่งดี ในที่สุดผมก็เจอเข้ากับอีโต้ด้ามใหญ่สีเงินมันวาว ผมคว้าติดมือและตรงมาที่ร่างของแม่ที่ยังคงนอนกองอยู่กับพื้น
ผมเข้ามาประชิดร่างของแม่ ก่อนจะเริ่มใช้อีโต้ทุบไปที่หัวของแม่สุดแรง แม่ล้มฟุบลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้น พร้อมกับเลือดที่เริ่มทะลักออกมาจากบาดแผล สภาพแม่ตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับปลาช่อนที่โดนทุบหัวก่อนไปแกง แม่ยังคงร้องโหยหวยด้วยความเจ็บปวด ผมเกิดความกลัวว่าใครจะเข้ามารู้เรื่องนี้จึงตัดสินใจจบเรื่องนี้ไปพร้อมกับชีวิตแม่ ผมเริ่มบรรจงใช้อีโต้เล่มเดิมฟันลงไปบนล่างของแม่ไม่ยั้งจนเสียงของแม่เงียบสนิทผมจึงเบามือลง ก่อนจะเดินไปอาบน้ำเพื่อเอาเลือดแม่ที่เปื้อนไปทั้งตัวออก แล้วจึงเดินข้ามร่างแม่ที่นอนจมกองเลือดเข้ามานอนในห้องตามเดิม
ภายใต้ความสงบที่ผมตามหา ไม่นานผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นหลังมีเสียงเคาะประตูและร้องเรียกหาแม่จากป้าข้างบ้าน ด้วยความกลัวที่จะโดนจับผมรีบใส่เสื้อผ้าแล้ววิ่งออกไปทางประตูหลังบ้าน ก่อนที่ป้าคนนั้นจะผลักประตูเข้ามาและตามด้วยเสียงร้องที่ดังตะโกนขอความช่วยเหลือ ผมรู้สึกเวิ้งว้างไม่รู้จะหาที่พึ่งที่ไหนดี กระทั่งผมวิ่งมาถึงบ้านเพื่อนที่จัดปาร์ตี้เมื่อคืน ผมรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อนรักของผมกลับไล่ตะเพิดผมอย่างหมูอย่างหมา บอกว่าไม่เคยรู้จักผม
เวลานั้นผมรู้ซึ้งคำสอนของแม่ทันที ที่เคยบอกว่าอย่าไปครบหาเพื่อนพวกนี้ ผมเดินออกจากบ้านเพื่อนทั้งน้ำตา ผมเดินโซเซหวังจะกลับบ้านอย่างน้อยถ้าผมไม่มีใครก็ยังมีศพแม่ที่อยู่เคียงข้าง แต่ระหว่างทางที่จะมุ่งตรงถึงบ้าน ผมก็ถูกตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบร่วมตัว จับร่างผมนอนลงกลับพื้นที่เติมไปด้วยฝุ่น ก่อนจะเอามือผมไพล่หลังและตามด้วยกุญแจที่พันธนาการผมไว้อย่างแน่นหนา
ในขณะที่ตำรวจกำลังรากคอผมขึ้นรถสีขาวแดงที่จอดรออยู่ปากซอย ก็มีชาวบ้านมากหน้าหลายตา ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก บ้างมองดูผมด้วยสายตาเหยียดหยามบ้างตะโกนด่าผมอย่างที่แม่ผมไม่เคยทำกับผมมาก่อน ผมเจ็บปวดไปทั้งหัวใจที่ผมทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
หลังจากถูกจับได้ไม่นานผมก็ถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและผมก็ได้มีคำนำหน้าว่า นช. ชีวิตผมหลังม่านลูกกรงผมต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไร้เงาญาติหรือเพื่อนรักมาเยี่ยมเยียนหรือมาถามถึงสารทุกข์สุกดิบ ทุกครั้งที่ดวงตะวันขึ้นผมหวังว่าจะมีใครสักคนมาหาแต่ก็ไม่เคย ในขณะที่นักโทษคนอื่นๆ พวกต่างก็มีคนที่รักมาหาสม่ำเสมอผมเองทำได้แค่นั่งมองคนอื่นมีความสุข
กระทั่งวันหนึ่งมีเสียงประกาศเรียกชื่อผมให้ไปพบญาติที่มาเยี่ยม ผมเองรู้สึกประหลาดใจที่มีใครจะมาเยี่ยมคนเลวๆ อย่างผมที่ได้ชื่อว่าลูกทรพี ทันทีที่ผมเข้านั่งประจำที่เพื่อรอญาติมาเยี่ยม ไม่นานก็มีรถเข็นคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าคนที่ยังไม่ลืมว่าโลกใบนี้ยังมีผมอยู่
เมื่อรถเข็นคันนั้นพ้นประตูเขามาหยุดตรงหน้า ผมเองถึงกลับเข่าอ่อนทรุดลงไปกลับพื้น เมื่อคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นคนนั้น คือ แม่ของผม ร่างของแม่ที่ยังคงเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังไม่หายดี ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ก่อนจะพยายามคลานเข้าไปหาแม่ แม่ผมเองก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้า ผมเข้าไปใกล้แม่ก่อนจะก้มกราบลงบนเท้าของแม่ทั้งน้ำตา พร้อมกลับกล่าวขอโทษแม่ในสิ่งที่ผ่านมา ในขณะแม่กลับไม่มีท่าทีที่จะโกรธในสิ่งที่ผมทำ แต่พยายามขยับตัวลงจากรถเข็นเพื่อจะหวังจะกอดผม นอกจากนั้นยังเป็นฝ่ายที่ขอโทษผมที่แม่บังคับผมมากเกินไป ไม่เคยฟังเอาใจใส่ผม
ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ผมคิดฆ่าด้วยน้ำมือของตน แต่กลับเป็นคนเดียวที่มาเยี่ยมผมและให้อภัยในสิ่งที่ผมทำลงไปอย่างไม่มีกังขา
หลังจากวันนั้นแม่ผมก็มั่นมาเยี่ยมผมเสมอ เข้าออกเรือนจำเป็นประจำ โดยไม่เคยอายเลยว่ามีลูกเป็นไอ้ขี้คุก ผมไม่รู้ว่าชาตินี้ ผมจะได้ตอบแทนพระคุณแม่หรือไม่ เพราะผมคงต้องใช้กรรมในแดนมิคสัญญีแห่งนี้ทั้งชีวิต
วันนี้ผมจะขอตอบแทนแม่ด้วยชีวิตของผมเอง ผมขอเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง แม่จะได้ไม่ต้องเดินทางและหาเงินมาเลี้ยงลูกเนรคุณอย่างผมอีก เงินทุกบาททุกสตางค์แม่จะได้เก็บไว้ใช้ หากใครได้อ่านจดหมายฉบับนี้แปลว่าผมไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว