การคิดภาษีนำเข้า แต่ละครั้งสินค้าเดียวกันทำไมจึงไม่เท่ากัน (และพิกัดควรจะเป็นเท่าไร)

เนื่องจากผมได้สั่งสินค้าจะประเทศญี่ปุ่น (เป็นสินค้าประเภทสติกเกอร์ ตบแต่งรถยนต์ เป็นพลาสติกและกระดาษทั้งหมด)

จากการนำเข้ามาแต่ละครั้ง ทั้งหมด5ครั้ง
แบบ EMS ทั้งหมด
ครั้งที่ 1 มูลค่าสินค้ารวมส่งประมาณ 3000 บาท >> ไม่เสียภาษีศุลกากร ไม่ต้องไปรับของเอง
ครั้งที่ 2 มูลค่าสินค้ารวมส่งประมาณ 5000 บาท >> เสีย 10% รับของไปรษณีย์
ครั้งที่ 3 มูลค่าสินค้ารวมส่งประมาณ 6000 บาท >> เสีย 10% รับของไปรษณีย์
ครั้งที่ 4 มูลค่าสินค้ารวมส่งประมาณ 9000 บาท >> เสีย 30% รับของไปรษณีย์
ครั้งที่ 5 มูลค่าสินค้ารวมส่งประมาณ 6000 บาท >> เสีย 30% รับของไปรษณีย์

และจากภาระภาษีที่เจอไปรอบสุดท้าย รวมกับราคาสินค้าแล้วผมว่าแพงมากเกินไป (สติกเกอร์ แผ่นเล็กๆจาก 500 กลายเป็นเกือบ 1000 บาท)

จึงอยากได้คำแนะนำจากทางสมาชิก Pantip หน่อยครับ
1. สินค้าประเภท (สติกเกอร์ ชิ้นเล็กๆน้ำหนักต่อชิ้น 100-300g ใช้สำหรับแปะตบแต่งรถยนต์ เป็นพลาสติก หรือกระดาษ) ต้องเสียภาษีนำเข้า ในอัตราเท่าไร และเป็นพิกัดใด ?
(ผมหาเองแล้ว แต่ไม่เข้าใจคำอธิบาย และไม่ทราบว่าจะต้องอยู่ในหมวดไหน โทรไปสอบถามพนักงานก็คุยไม่รู้เรื่อง)
2. เหตุใด การคิดภาษีในแต่ละครั้งจึงไม่เท่ากัน ทั้งๆที่แหล่งที่มาเดียวกัน การลงรายละเอียดเอกสารและประเภทสินค้าของผู้ส่ง เป็นแบบเดียวกันทุกประการ
3. การร้องเรียนนั้น ใช้เวลานานพอสมควร หากเทียบกับการที่ผมเลือกส่ง EMS เพราะต้องการความรวดเร็ว(จึงนำสินค้าออกมาก่อน) หากผมนำเอกสารหลักฐานที่มีอยู่ไปโต้แย้งให้ครั้งต่อไป คิดภาษีในอัตราเท่าเดิมเสมอกัน เป็นมาตรฐานเดียว จะทำได้หรือไม่
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ตอบตามที่ จขกท. สอบถามมาก่อนนะ
1. สินค้าประเภท สติ๊กเกอร์
- ถ้าเป็นสติ๊กเกอร์แบบแปะแล้วดึงมาแปะที่อื่นได้อีก เข้าพิกัด 4908.10.00 อัตราอากรขาเข้า 10% กรณีนำเข้ามาเยอะๆ หากคุณร้องขอ JTEPA/AJ Form จากผู้ขายได้ อัตราอากรขาเข้าเหลือ 0%
- ถ้าเป็นสติ๊กเกอร์แบบแปะแล้วแปะเลย ดึงออกแล้วเสีย เข้าพิกัด 4908.90.00 อัตราอากรขาเข้า 10% กรณีนำเข้ามาเยอะๆ หากคุณร้องขอ JTEPA/AJ Form จากผู้ขายได้ อัตราอากรขาเข้าเหลือ 0%
2. การตีความพิกัด ขึ้นอยู่กับลักษณะ ชนิด สินค้า ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ตีความพิกัด ดังนั้น จึงอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ คุณสามารถศึกษาในประเด็นนี้ และนำข้อมูลไปโต้แย้งได้ โดย search คำว่า " หลักเกณฑ์การตีความพิกัดศุลกากร " ลองศึกษาให้ดี เพราะมีแค่ 6 ข้อเท่านั้น และ หลักเกณฑ์นี้ ใช้เหมือนกันทั่วโลก
3. กรณีที่คุณเห็นต่างในการตีพิกัดอากรกับเจ้าหน้าที่ คุณสามารถวางหลักประกัน 2 เท่าของมูลค่าสินค้ารวมอากร จากนั้น เขียนคำร้องขอโต้แย้งพิกัดเพื่อให้เจ้าหน้าที่พิจารณาได้ครับ การพิจารณา อาจใช้เวลานาน ดังนั้นการวางหลักประกันข้างต้น คุณสามารถนำสินค้าออกจากอารักขาศุลกากรไปใช้ก่อนได้เลย โดยการพิจารณาคุณต้องทำการชักตัวอย่างแนบกับคำร้องขอโต้แย้งพิกัดด้วยน่ะครับ
4. กรณีที่ไม่อยากทำแบบข้อ 3 ซึ่งเหมือนกับว่า พอเกิดเหตุแล้วค่อยมาแก้ไขเป็นรายครั้งไป คุณสามารถนำตัวอย่างสินค้าที่นำเข้า ไปยื่นคำร้องขอตีความพิกัดสินค้าที่อาคาร 120ปี กรมศุลฯ ที่ท่าเรือ ผมจำชั้นไม่ได้ว่าชั้นที่เท่าไหร่ พร้อมแนบตัวอย่างสินค้า ใช้เวลา 15 วันทำการในการพิจารณา จากนั้น หากมีการนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาอีก คุณสามารถนำผลการตีความพิกัดดังกล่าวมาอ้างอิงในการนำเข้าสินค้าแบบเดียวกัน ชนิดเดียวกัน ได้เลยว่า ได้รับการตีความพิกัดแล้ว มีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ออกเอกสารตีพิกัดมาให้

ตอบตามความคิดเห็นผมบ้างนะ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่คุณรู้ เข้าใจในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ข้อขัดแย้งทุกเรื่อง เราสามารถแก้ไขปัญหา ด้วยความรู้ได้ครับ ยิ่งเรื่องที่คุณถามนี่ มันมีบรรทัดฐาน มีเอกสารรองรับชัดเจน ตีความ พิจารณา บนลักษณะตัวสินค้าเลย เวลาเดินเรื่องอะไร ทำเหมือนทนายความ เปิดกฎหมายอ่านทีละบรรทัดเลยครับ มันชัดเจนมากๆ ลองศึกษาดูนะครับ สงสัยอะไร สอบถามมาได้ครับ

โดยส่วนตัว เคยเจอปัญหาดังกล่าวมาเหมือนกัน แต่ หนักกว่าที่คุณเจอเยอะ ประเภทว่า ถ้าผิดจริง จะโดนปรับย้อนหลังเกือบ 5 ล้านบาททีเดียว
ต่อสู้คดีเกือบ 2 ปี กว่าจะหลุด ผลสรุปคือ โดนค่าปรับไป 20 ใบขนฯ ๆ ละ 1,000 บาท เข้าใจครับว่า สเกลอาจต่างกัน แต่ แนวทางในการต่อสู้ หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหา ไม่ต่างกันครับ ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่