เมื่อวันที่ชีวิตผมมาถึงปลายทาง

ชีวิตคนๆหนึ่ง ใครจะเจอช่วงเวลาที่เลวร้ายเข้ามาได้ต่อเนื่องขนาดนี้....  ครอบครัวแตกแยก ต้องมาแบกรับปัญหาหนี้สินที่เธอก่อขึ้น ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ...แต่เธอ หนีไปกับลูกสาววัยสี่ขวบเศษ กลับไปอยู่บ้านเธอที่จังหวัดหนึ่ง ห่างไกลจากผมเกือบ 900 กิโลเมตร แต่เราก็ยังคุยกันผ่านโทรศํพท์ ทุกวัน...... จนกระทั่ง วันหนึ่ง วันที่รู้ว่า คนที่เคยเป็นครอบครัว ไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โดนที่ผมไม่รู้ตัวมาก่อนเลย จนกระทั่ง ไล่ตามค้นหาหลักฐานจนเจอ แม้จะโดนคำโกหกแก้ตัวต่าง ๆ นา ๆ แต่ความจริงก็คือความจริง. ยากที่จะหลอกตัวเองได้. และก็ยากจะฝืนบอกตัวเองให้รับได้ว่า เค้าสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลย. เหมือนเอาฝ่ามือปิดแผ่นฟ้า .... มันปิดไม่มิดหรอก.
    หลังจากรู้ความจริง แม้จะอยู่ห่างกันไกลถึงเกือบ 900 กิโลเมตร แต่ด้วยความรักที่ยังคงเหลืออยู่ บวกกับความเป็นห่วงลูกสาว ไม่อยากให้แกต้องมารับผลกรรมจากการกระทำของผู้ใหญ่. ก็พยายามจะฝืนความรู้สึกตัวเองต่อไป พยายามทำให้ทุก ๆ อย่างมันดีขึ้น เพื่อความหวังเดียวคือ สักวันหนึ่ง ครอบครัวเราต้องกลับมาพร้อมหน้ากันเหมือนเดิม. แต่.....ผมก็คิดผิด เพราะหลังจากนั้น ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไป ... จากโทรหา ก็ไม่โทร จากเคยห่วงใย ก็ไม่มีเหลือ บ่อยครั้งที่ผมโทรหา เสียงตอบรับจากปลายทางคือ ปิดเครื่อง !
หรือไม่ก็ ปล่อยให้มันดังไปแล้วไม่รับสายมันซะเลย. หนักสุดคือตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องหนีเลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่โครตทำลายความรู้สึกกันเลย.
    วันนี้ ชีวิตมาถึงจุดตกต่ำที่สุดแล้ว มาถึงจุดที่ ไม่มีแรงจะสู้ต่อไป สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่กับผมคือรถยนต์มือสองคันนึง ที่เราร่วมสร้างกันมา. แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ด้วยมรสุมหลาย ๆ อย่างที่พัดผ่านเข้ามา ทำให้สิ่งของชิ้นสุดท้ายก็ต้องโดนไฟแนนซ์ยึดไป ทั้งๆที่ผ่อนมาสองปีกว่า ด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมทั้งนั้น.
    ชีวิตผมมันจบแล้ว ... หลายอย่างที่รุมเข้ามา มันมากเกินไป ที่ผมจะผ่านมันไปได้เพียงลำพัง ไม่รู้จะสู้ต่อไปเพื่อใคร เพราะสู้ไป ก็แพ้อยู่ดี ผมลองแล้ว สองเดือนแล้วที่เธอจากไป และผมพยายามสู้มา แต่สุดท้ายมันก็ไม่รอด....พรุ่งนี้ รถยนต์ จะถูกไฟแนนซ์มาเอาไป เงินเดือนแค่หมื่นเศษ ๆ ของผม ในแต่ละเดือน จ่ายค่าบ้าน ค่าหนี้สินที่ต้องแบกรับแทนเธอ มันแทบจะไม่เหลือรอดให้กินใช้ได้เลยตลอดเดือน. ผมเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยมาก จน ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ... ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พยายามสร้างกันมาตลอด 9 ปี มันพังลงไปแล้ว. ในนาทีนี้ ผมคิดสั้นจริงๆ จนคิดว่า หากลูกกระสุนปืนในมือผมสักนัด มันทะลุผ่านหัวผมไป ทุกอย่างก็คงจบลง ปัญหาก็คงไปจากผม และผมคงไม่ต้องรับรู้อะไรอีกแล้ว.  
    ผมเหลือตัวคนเดียวลำพัง ไม่มีญาติ ไม่มีใคร .... ชีวิตผ่านมาได้ขนาดนี้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว.  ผมไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้เลย ถึงแม้ว่าช่วงแรกที่เกิดปัญหาขึ้นแล้ว ผมกับภรรยา ต้องแยกกันอยู่ห่างๆ แต่ ผมยังเชื่อว่าสักวัน ทุกอย่างมันต้องดีขึ้น และ เธอเอง เป็นคนที่ให้กำลังใจผมเสมอ ทุกครั้งที่คุยกัน. จนในที่สุด ความจริงปรากฏ. ทุกอย่างมันพังทลายลง ... ณ จุดนี้ ผมหมดแรงจะสู้ต่อ หมดหวัง หมดกำลังใจ และกำลังจะหมดลมหายใจ.......
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่