อ้างอิง
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000073611
-----

กลุ่มภาคีเครือข่ายตัวแทนภาคประชาชน 15 คน เข้าพบผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ ยื่นหนังสือเร่งเอาผิด “สมเด็จช่วง” ครอบครองรถเบนซ์โบราณเลี่ยงภาษี-แจ้งเอกสารเท็จ เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
วันนี้ (25 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางสมบูรณ์ พื้นทอง พร้อมด้วย ภาคีเครือข่ายตัวแทนภาคประชาชน 15 คน เดินทางมายื่นเอกสารต่อ พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ เพื่อให้กำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ของดีเอสไอเรื่องการตรวจสอบรถยนต์เบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ในการครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตามกระบวนการของกฎหมาย
นางสมบูรณ์กล่าวว่า ตนและภาคีเครือข่าย อาทิ กลุ่มสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา กลุ่มชมรมชาวพุทธ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.ฉะเชิงเทรา กลุ่มพุทธฉายา ได้ติดตามข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ว่าทางดีเอสไอ พบหลักฐานเกี่ยวกับสมเด็จช่วงมีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีหรือหลีกเลี่ยงภาษีไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต สืบเนื่องจากพยานหลักฐานชัดเจนว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีราคาจริง 4 ล้านบาท แต่ได้ยื่นชำระภาษีสรรพสามิตเพียง 5.7 แสนบาท ก่อนไปแจ้งกรมการขนส่งทางบกเพื่อขอจดทะเบียนรถในราคา 1 ล้านบาท รวมทั้งมีความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และร่วมกันแจ้งความเป็นอันเท็จต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชนหรือในเอกสารราชการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน จึงเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ครอบครองและผู้เกี่ยวข้องมีความผิดด้วย
“ภาคีเครือข่ายขอกล่าวโทษสมเด็จช่วงว่าอาจเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต 2527 มาตรา 161 (1) และกฎหมายอาญา มาตรา 83 และข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความเท็จลงในเอกสาราชการ และ แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่ ผิดกฎหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา 267 ประกอบมาตรา 83 ดังนั้น เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสมเด็จช่วงในคดีดังกล่าวให้ได้ข้อยุติเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมในปัจจุบัน จึงขอเรียกร้องมายังดีเอสไอช่วยดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ได้ข้อยุติโดยเร็วที่สุดตามกระบวนการยุติธรรม"
ด้าน พ.ต.ต.วรนันท์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำตามพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีดังกล่าว หลังจากนี้จะส่งเรื่องให้กับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เป็นผู้พิจารณาและดำเนินการต่อไป
###เครือข่ายประชาชนจี้ดีเอสไอฟัน “สมเด็จช่วง” ###
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000073611
-----
กลุ่มภาคีเครือข่ายตัวแทนภาคประชาชน 15 คน เข้าพบผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ ยื่นหนังสือเร่งเอาผิด “สมเด็จช่วง” ครอบครองรถเบนซ์โบราณเลี่ยงภาษี-แจ้งเอกสารเท็จ เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
วันนี้ (25 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางสมบูรณ์ พื้นทอง พร้อมด้วย ภาคีเครือข่ายตัวแทนภาคประชาชน 15 คน เดินทางมายื่นเอกสารต่อ พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ เพื่อให้กำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ของดีเอสไอเรื่องการตรวจสอบรถยนต์เบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ในการครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตามกระบวนการของกฎหมาย
นางสมบูรณ์กล่าวว่า ตนและภาคีเครือข่าย อาทิ กลุ่มสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา กลุ่มชมรมชาวพุทธ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.ฉะเชิงเทรา กลุ่มพุทธฉายา ได้ติดตามข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ว่าทางดีเอสไอ พบหลักฐานเกี่ยวกับสมเด็จช่วงมีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีหรือหลีกเลี่ยงภาษีไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต สืบเนื่องจากพยานหลักฐานชัดเจนว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีราคาจริง 4 ล้านบาท แต่ได้ยื่นชำระภาษีสรรพสามิตเพียง 5.7 แสนบาท ก่อนไปแจ้งกรมการขนส่งทางบกเพื่อขอจดทะเบียนรถในราคา 1 ล้านบาท รวมทั้งมีความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และร่วมกันแจ้งความเป็นอันเท็จต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชนหรือในเอกสารราชการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน จึงเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ครอบครองและผู้เกี่ยวข้องมีความผิดด้วย
“ภาคีเครือข่ายขอกล่าวโทษสมเด็จช่วงว่าอาจเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต 2527 มาตรา 161 (1) และกฎหมายอาญา มาตรา 83 และข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความเท็จลงในเอกสาราชการ และ แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่ ผิดกฎหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา 267 ประกอบมาตรา 83 ดังนั้น เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสมเด็จช่วงในคดีดังกล่าวให้ได้ข้อยุติเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมในปัจจุบัน จึงขอเรียกร้องมายังดีเอสไอช่วยดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ได้ข้อยุติโดยเร็วที่สุดตามกระบวนการยุติธรรม"
ด้าน พ.ต.ต.วรนันท์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำตามพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีดังกล่าว หลังจากนี้จะส่งเรื่องให้กับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เป็นผู้พิจารณาและดำเนินการต่อไป