กระทู้นี้เราตั้งเพื่อระบายความรู้สึก ซึ่งตอนนี้มันรู้สึกท้อมาก เหนื่อยใจมาก
เราขอเกริ่นก่อนว่าเราเกิดในครอบครัวใหญ่ ที่ตากับยายมีลูกหลายคน
ลุงป้าน้าอา ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง ล้มเหลวบ้าง
โดยที่แม่เราเป็นหนึ่งในผู้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต อาจเพราะมีเราเกิดมา
แม่เรียนจบบัญชี ทำงานบริษัท (ก่อนที่จะมีเรา) แต่ด้วยพรหมลิขิตหรือกรรมลิขิต
ทำให้ไปพบรักกับพ่อเรา ซึ่งเป็นนักดนตรี สไตล์ของนักดนตรีคือมีความเจ้าชู้
แล้วแม่ก็มีเรา โดยมารู้ทีหลังว่าพ่อมีภรรยาอยู่แล้ว และภรรยาเขารับรู้มาตลอด
แม่เลยตัดสินใจกลับมาบ้าน ตอนนั้นเรายังอยู่ในท้อง แล้วแม่ก็ลำบากมาตั้งแต่นั้น
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ แม่ไม่เคยโกรธพ่อ หรือสอนให้เราโกรธพ่อเลยซักนิดเดียว
เราก็โตมาแบบใช้ชีวิตปกติ แต่แม่ลำบากมาก จากที่เคยทำงานบริษัท พอฟองสบู่แตกก็ออกมาขายของ
ตอนนั้นเราเรียนชั้นประถม แต่เราเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เราชอบเรียน การเรียนไม่เคยต่ำกว่า 3.5
เราคิดมาตลอดว่า แม่ลำบากแล้ว ก็อยากให้แม่ได้ภูมิใจ เราพยายามสอบแข่งโน่นนี่
เป็นตัวแทนโรงเรียน สอบระดับเขต ระดับภาค ระดับจังหวัด มีทุนที่ไหนก็ขอตลอดเอาง่ายๆคือทำยังไงให้ได้ทุนทำหมด
จบมัธยม ก็สอบติดสาขาสัตวศาสตร์มหาวิทยาลัยในกทม. เป็นสาขาที่เราชอบ กับอีกสาขาทางวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยทางเหนือ
แต่แม่ให้เลือกมหาวิทยาลัยทางเหนือ เราก็โอเคเรียนอะไรก็ได้แม้ไม่ได้ชอบก็เถอะ เพราะมหาวิทยาลัยอยู่จังหวัดเดียวกับบ้านพ่อ
ตอนแรกแม่ก็อยู่กทม. แล้วก็เทียวไปเทียวมาหาเราแทบทุกเดือนทั้งที่เงินก็ไม่ได้มีมากมาย สุดท้ายเลยตัดสินใจไปอยู่ด้วยกันที่โน่นเลย
ลำบากด้วยกัน แบบสุดๆจริงๆคือเหลือเงิน 20 บาท ไม่มีเงินจะซื้อข้าว ซื้อมาม่ามาแบ่งกันกิน
จนเราจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ด้วยความช่วยเหลือของป้า และทุนกยศ. และกลับมา บ.เอกชนแห่งหนึ่ง ในกทม.
ขอเล่าย้อนไปก่อนว่าพ่อกับแม่จบกันด้วยดี ติดต่อไปมาหาสู่ปกติ แต่พ่อไม่ได้รับผิดชอบอะไรในชีวิตเรา
ตอนแรกแม่ยังอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้ตามกลับมากทม. แต่ด้วยสุขภาพไม่มีใครดูแล เดินทางลำบากเลยกลับมาอยู่บ้านที่กทม.
ด้วยที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องเยอะ บ้านอยู่หลังติดกัน มีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยบ่อยๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราก็จิตเสียไปบ้างเวลาทะเลาะกันที เพราะแม่เป็นคนอารมณ์ร้อน และค่อนข้างจะไม่ฟังใคร แล้วส่วนใหญ่แม่จะรักพี่น้องมาก
พอมีใครว่าใครหรือไม่พอใจใคร แม่จะเป็นฝ่ายเคลียร์ แล้วสุดท้ายแม่ก็กลายเป็นคนผิด หรือเอาภาษาบ้านๆคือเป็นหมานั่นเอง
จนเราทำงานได้ซักพักนึง บ. ได้เสนอให้ทุนการศึกษา เรียนต่อป.โท แล้วแต่เราอยากเรียนที่ไหนก็ได้ เราก็สอบเข้าจนได้
ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีในส่วนของชีวิตเรา เราทำงานอย่างหนัก เช้าก็ออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับถึงบ้านก็สามสี่ทุ่ม
แทบจะไม่มีเวลาพบเจอคนในบ้านเลย กินข้าวกับแม่ยังแทบจะไม่มีเวลา เสาร์อาทิตย์ก็แทบจะไม่ได้หยุด
แต่ปัญหาที่บ้านมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ได้รับรู้มันน้อยเพราะอยู่นอกบ้านซะมากกว่า (กลับบ้านทุกวัน)
กลับมาคือเกิดสงครามไปเรียบร้อยแล้ว เรารับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะแม่เราเองที่อารมณ์ร้อน ส่วนคนอื่นๆก็เหมือนจะรังเกียจแม่เรา
เพราะถ้านับดูจริงๆ แม่เราจนที่สุด แต่ทุกคนก็มีปมในชีวิตกันทั้งนั้น เวลาทะเลาะกันทีก็จะดึงปมในชีวิตของแต่ละคนมาว่า
ส่วนพี่ป้าน้าอาที่รวยเขาก็เป็นคนโปรด รักกันดี แต่ก็ไม่รู้เขาสอนลูกกันยังไง ไม่ให้ความเคารพพี่ป้าน้าอา มีด่าเราบ้าง แขวะบ้าง
ว่าจนไม่มีปัญญา ทุกคนอาจจะ งง บ้านเราอยู่แบบรวมกัน จะกินข้าวพร้อมกัน ซื้อมาคนละนิดละหน่อย แต่ใครอยากจะแยกกินก็แยกไป
เราเองก็ไม่ได้อยู่บ้าน กลับมากินข้าวบ้านก็น้อย แต่กลับเป็นประเด็นให้ลูกๆ ของญาติๆมาว่าเรามาเกาะเขากิน เราก็ได้แต่ งง
เราทำงานมีเงินเดือน เราให้แม่ ค่าน้ำค่าไฟเราก็จ่าย แล้วคนที่มาพูดก็ไม่ได้มาอยู่บ้านเดียวกัน แต่ถ้าจะมีคือตอนเราเรียนป้าส่งเงินให้เราใช้
จนเมื่อวันก่อนเราไปทำงานตามปกติ แม่ทะเลาะกับลูกสาวน้าอย่างรุนแรง ใช้กำลังตบตีกัน จนเกือบจะเอาเหล็กแทงกัน เลือดตกยางออกกันไป
เรามารู้ก็ตอนที่กลับบ้านมาแล้วเหตุการณ์สงบ รู้แต่ว่าเขามาว่าพ่อแม่เสียๆหายๆ ว่าจน ว่าไม่มีปัญญาโน่นนี่นั่น แม่เราก็โกรธมากสั่งห้ามเราหมดทุกอย่าง
เราก็รู้ว่าแม่อารมณ์ร้อน อีกฝ่ายก็เป็นคนที่ไม่ยอมใคร แต่ไปๆมาๆ ป้ากับน้าดันเข้าข้างฝั่งนั้น ว่าแม่เราผิด
แต่เรื่องมันเกิดเพราะพี่คนนั้น แสดงท่าทางรังเกียจแม่เรา และมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยๆ มาหลายครั้ง แต่รอบนี้รุณแรงที่สุด
เรารับรู้และได้รับความเกลียดชัง ความเป็นเบื้องล่างมาตลอดตั้งแต่เด็ก เรารู้ดีว่าทางฝั่งนั้นก็ไม่ธรรมดา
แต่เราไม่อยากมีปัญหา เราอยากใช้ชีวิตแบบปกติไม่อยากให้แม่คอยทะเลาะกับใคร เพราะส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยปัญหาของคนอื่น
แม่เราไปเป็นคนที่ออกร้อนแทน สุดท้ายอย่างที่ว่าหมาตลอด จนวันนี้เราคุยกับแม่ว่า ต่างคนต่างอยู่มั้ย อย่างที่เคยเป็น
เราไม่ได้ไปรบกวนเขาแล้ว ปัญหาของใคร ใครแขวะใคร ใครว่าใคร ให้เขาไปจัดการกันเอง แม่ไม่ต้องไปออกรับ
สรุปแม่เราก็ไม่ยอม บอกว่าทำไมเขาต้องอดทน ทำไมต้องไม่มีสิทธิพูด เราก็ได้แต่ท้อ เมื่อก่อนแม่ไม่ใช่คนแบบนี้
แม่ไม่ฟัง ไม่รับรู้อะไรได้แต่ดื้อ ซึ่งเราได้แต่เดินหนี จนเรากลัวว่าเราหนีจนทำให้เวลาที่เราอยู่กับเขาน้อยลง
แต่แม่ไม่พยายามปรับ หรือลดอารมณ์ตัวเองเลย บ้านมันไม่ได้อบอุ่น ญาติพี่น้องไม่ได้รักกันจริงๆ เราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ห่วงยาย
บ้านก็อยู่ตรงนี้ เราไม่รู้ว่าเราจะหนีไปเพื่ออะไร เราแค่คิดว่าเมื่อทุกคนทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองดีที่สุดแล้ว มันก็พอแล้ว
แต่พอเริ่มละเลยหน้าที่ และสนใจแต่เรื่องคนอื่น มันทำให้มีแต่แย่ คนที่ไม่มีปัญหาก็ไม่มี คนที่สร้างปัญหาก็ถนัดสร้าง
จน ณ เวลานี้ที่พิมพ์อยู่ เรามีความรู้สึกว่า ต่อให้เราทำดีแค่ไหน พยายามแค่ไหน อยู่ในจุดที่สูงสุดแค่ไหน
เราโดนมองว่าเป็นเศษขยะ เราก็ยังเป็นเศษขยะอยู่ดี เราเรียนสูงหน้าที่การงานดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเศษกรวดอย่างเรา
จะกลายเป็นเพชรได้ ภายนอกที่คนมองอาจจจะมองว่าเราโชคดี เรายอมรับว่าเราโชคดี แต่ถ้าเรายังต้องอยู่แบบนี้
เราก็ไม่มีแรงจะทำให้มันดี เพราะพยายามไปมันไร้ค่า
แค่เราอยากให้พ่อแม่ภูมิใจ เราอยากมีสังคมที่ดี เราอยากเป็นคนที่มีค่า พร้อมที่จะยืนข้างใครซักคน ด้วยความภาคภูมิใจ
ว่าอย่างน้อยเศษกรวดอย่างเรา คนที่ไม่มีต้นทุนในชีวิตอย่างเรา มันมีค่านะ
สุดท้ายในระหว่างที่พยายาม เสียงก่นด่าและดูถูก การกระทำที่กดให้เราต่ำลง มันก็ยังมีอยู่
ป.ล. ปัญหาเรามันอาจจะดูเล็กน้อยในชีวิตใครบางคน แต่ตอนนี้เราว่ามันหนักมากสำหรับเรา
ไหนงานที่จะต้องทำ ไหนจะเรื่องที่บ้านที่ไม่รู้จะสงบได้กี่วัน ใช้ชีวิตแบบลุ้นๆในทุกๆวัน
ความสบายใจมันหาได้จากไหนกัน
เคยมีจุดที่ไม่รู้จะพยายามทำตัวให้ดีไปทำไมกันบ้างไหม
เราขอเกริ่นก่อนว่าเราเกิดในครอบครัวใหญ่ ที่ตากับยายมีลูกหลายคน
ลุงป้าน้าอา ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง ล้มเหลวบ้าง
โดยที่แม่เราเป็นหนึ่งในผู้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต อาจเพราะมีเราเกิดมา
แม่เรียนจบบัญชี ทำงานบริษัท (ก่อนที่จะมีเรา) แต่ด้วยพรหมลิขิตหรือกรรมลิขิต
ทำให้ไปพบรักกับพ่อเรา ซึ่งเป็นนักดนตรี สไตล์ของนักดนตรีคือมีความเจ้าชู้
แล้วแม่ก็มีเรา โดยมารู้ทีหลังว่าพ่อมีภรรยาอยู่แล้ว และภรรยาเขารับรู้มาตลอด
แม่เลยตัดสินใจกลับมาบ้าน ตอนนั้นเรายังอยู่ในท้อง แล้วแม่ก็ลำบากมาตั้งแต่นั้น
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ แม่ไม่เคยโกรธพ่อ หรือสอนให้เราโกรธพ่อเลยซักนิดเดียว
เราก็โตมาแบบใช้ชีวิตปกติ แต่แม่ลำบากมาก จากที่เคยทำงานบริษัท พอฟองสบู่แตกก็ออกมาขายของ
ตอนนั้นเราเรียนชั้นประถม แต่เราเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เราชอบเรียน การเรียนไม่เคยต่ำกว่า 3.5
เราคิดมาตลอดว่า แม่ลำบากแล้ว ก็อยากให้แม่ได้ภูมิใจ เราพยายามสอบแข่งโน่นนี่
เป็นตัวแทนโรงเรียน สอบระดับเขต ระดับภาค ระดับจังหวัด มีทุนที่ไหนก็ขอตลอดเอาง่ายๆคือทำยังไงให้ได้ทุนทำหมด
จบมัธยม ก็สอบติดสาขาสัตวศาสตร์มหาวิทยาลัยในกทม. เป็นสาขาที่เราชอบ กับอีกสาขาทางวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยทางเหนือ
แต่แม่ให้เลือกมหาวิทยาลัยทางเหนือ เราก็โอเคเรียนอะไรก็ได้แม้ไม่ได้ชอบก็เถอะ เพราะมหาวิทยาลัยอยู่จังหวัดเดียวกับบ้านพ่อ
ตอนแรกแม่ก็อยู่กทม. แล้วก็เทียวไปเทียวมาหาเราแทบทุกเดือนทั้งที่เงินก็ไม่ได้มีมากมาย สุดท้ายเลยตัดสินใจไปอยู่ด้วยกันที่โน่นเลย
ลำบากด้วยกัน แบบสุดๆจริงๆคือเหลือเงิน 20 บาท ไม่มีเงินจะซื้อข้าว ซื้อมาม่ามาแบ่งกันกิน
จนเราจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ด้วยความช่วยเหลือของป้า และทุนกยศ. และกลับมา บ.เอกชนแห่งหนึ่ง ในกทม.
ขอเล่าย้อนไปก่อนว่าพ่อกับแม่จบกันด้วยดี ติดต่อไปมาหาสู่ปกติ แต่พ่อไม่ได้รับผิดชอบอะไรในชีวิตเรา
ตอนแรกแม่ยังอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้ตามกลับมากทม. แต่ด้วยสุขภาพไม่มีใครดูแล เดินทางลำบากเลยกลับมาอยู่บ้านที่กทม.
ด้วยที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องเยอะ บ้านอยู่หลังติดกัน มีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยบ่อยๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราก็จิตเสียไปบ้างเวลาทะเลาะกันที เพราะแม่เป็นคนอารมณ์ร้อน และค่อนข้างจะไม่ฟังใคร แล้วส่วนใหญ่แม่จะรักพี่น้องมาก
พอมีใครว่าใครหรือไม่พอใจใคร แม่จะเป็นฝ่ายเคลียร์ แล้วสุดท้ายแม่ก็กลายเป็นคนผิด หรือเอาภาษาบ้านๆคือเป็นหมานั่นเอง
จนเราทำงานได้ซักพักนึง บ. ได้เสนอให้ทุนการศึกษา เรียนต่อป.โท แล้วแต่เราอยากเรียนที่ไหนก็ได้ เราก็สอบเข้าจนได้
ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีในส่วนของชีวิตเรา เราทำงานอย่างหนัก เช้าก็ออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับถึงบ้านก็สามสี่ทุ่ม
แทบจะไม่มีเวลาพบเจอคนในบ้านเลย กินข้าวกับแม่ยังแทบจะไม่มีเวลา เสาร์อาทิตย์ก็แทบจะไม่ได้หยุด
แต่ปัญหาที่บ้านมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ได้รับรู้มันน้อยเพราะอยู่นอกบ้านซะมากกว่า (กลับบ้านทุกวัน)
กลับมาคือเกิดสงครามไปเรียบร้อยแล้ว เรารับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะแม่เราเองที่อารมณ์ร้อน ส่วนคนอื่นๆก็เหมือนจะรังเกียจแม่เรา
เพราะถ้านับดูจริงๆ แม่เราจนที่สุด แต่ทุกคนก็มีปมในชีวิตกันทั้งนั้น เวลาทะเลาะกันทีก็จะดึงปมในชีวิตของแต่ละคนมาว่า
ส่วนพี่ป้าน้าอาที่รวยเขาก็เป็นคนโปรด รักกันดี แต่ก็ไม่รู้เขาสอนลูกกันยังไง ไม่ให้ความเคารพพี่ป้าน้าอา มีด่าเราบ้าง แขวะบ้าง
ว่าจนไม่มีปัญญา ทุกคนอาจจะ งง บ้านเราอยู่แบบรวมกัน จะกินข้าวพร้อมกัน ซื้อมาคนละนิดละหน่อย แต่ใครอยากจะแยกกินก็แยกไป
เราเองก็ไม่ได้อยู่บ้าน กลับมากินข้าวบ้านก็น้อย แต่กลับเป็นประเด็นให้ลูกๆ ของญาติๆมาว่าเรามาเกาะเขากิน เราก็ได้แต่ งง
เราทำงานมีเงินเดือน เราให้แม่ ค่าน้ำค่าไฟเราก็จ่าย แล้วคนที่มาพูดก็ไม่ได้มาอยู่บ้านเดียวกัน แต่ถ้าจะมีคือตอนเราเรียนป้าส่งเงินให้เราใช้
จนเมื่อวันก่อนเราไปทำงานตามปกติ แม่ทะเลาะกับลูกสาวน้าอย่างรุนแรง ใช้กำลังตบตีกัน จนเกือบจะเอาเหล็กแทงกัน เลือดตกยางออกกันไป
เรามารู้ก็ตอนที่กลับบ้านมาแล้วเหตุการณ์สงบ รู้แต่ว่าเขามาว่าพ่อแม่เสียๆหายๆ ว่าจน ว่าไม่มีปัญญาโน่นนี่นั่น แม่เราก็โกรธมากสั่งห้ามเราหมดทุกอย่าง
เราก็รู้ว่าแม่อารมณ์ร้อน อีกฝ่ายก็เป็นคนที่ไม่ยอมใคร แต่ไปๆมาๆ ป้ากับน้าดันเข้าข้างฝั่งนั้น ว่าแม่เราผิด
แต่เรื่องมันเกิดเพราะพี่คนนั้น แสดงท่าทางรังเกียจแม่เรา และมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยๆ มาหลายครั้ง แต่รอบนี้รุณแรงที่สุด
เรารับรู้และได้รับความเกลียดชัง ความเป็นเบื้องล่างมาตลอดตั้งแต่เด็ก เรารู้ดีว่าทางฝั่งนั้นก็ไม่ธรรมดา
แต่เราไม่อยากมีปัญหา เราอยากใช้ชีวิตแบบปกติไม่อยากให้แม่คอยทะเลาะกับใคร เพราะส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยปัญหาของคนอื่น
แม่เราไปเป็นคนที่ออกร้อนแทน สุดท้ายอย่างที่ว่าหมาตลอด จนวันนี้เราคุยกับแม่ว่า ต่างคนต่างอยู่มั้ย อย่างที่เคยเป็น
เราไม่ได้ไปรบกวนเขาแล้ว ปัญหาของใคร ใครแขวะใคร ใครว่าใคร ให้เขาไปจัดการกันเอง แม่ไม่ต้องไปออกรับ
สรุปแม่เราก็ไม่ยอม บอกว่าทำไมเขาต้องอดทน ทำไมต้องไม่มีสิทธิพูด เราก็ได้แต่ท้อ เมื่อก่อนแม่ไม่ใช่คนแบบนี้
แม่ไม่ฟัง ไม่รับรู้อะไรได้แต่ดื้อ ซึ่งเราได้แต่เดินหนี จนเรากลัวว่าเราหนีจนทำให้เวลาที่เราอยู่กับเขาน้อยลง
แต่แม่ไม่พยายามปรับ หรือลดอารมณ์ตัวเองเลย บ้านมันไม่ได้อบอุ่น ญาติพี่น้องไม่ได้รักกันจริงๆ เราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ห่วงยาย
บ้านก็อยู่ตรงนี้ เราไม่รู้ว่าเราจะหนีไปเพื่ออะไร เราแค่คิดว่าเมื่อทุกคนทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองดีที่สุดแล้ว มันก็พอแล้ว
แต่พอเริ่มละเลยหน้าที่ และสนใจแต่เรื่องคนอื่น มันทำให้มีแต่แย่ คนที่ไม่มีปัญหาก็ไม่มี คนที่สร้างปัญหาก็ถนัดสร้าง
จน ณ เวลานี้ที่พิมพ์อยู่ เรามีความรู้สึกว่า ต่อให้เราทำดีแค่ไหน พยายามแค่ไหน อยู่ในจุดที่สูงสุดแค่ไหน
เราโดนมองว่าเป็นเศษขยะ เราก็ยังเป็นเศษขยะอยู่ดี เราเรียนสูงหน้าที่การงานดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเศษกรวดอย่างเรา
จะกลายเป็นเพชรได้ ภายนอกที่คนมองอาจจจะมองว่าเราโชคดี เรายอมรับว่าเราโชคดี แต่ถ้าเรายังต้องอยู่แบบนี้
เราก็ไม่มีแรงจะทำให้มันดี เพราะพยายามไปมันไร้ค่า
แค่เราอยากให้พ่อแม่ภูมิใจ เราอยากมีสังคมที่ดี เราอยากเป็นคนที่มีค่า พร้อมที่จะยืนข้างใครซักคน ด้วยความภาคภูมิใจ
ว่าอย่างน้อยเศษกรวดอย่างเรา คนที่ไม่มีต้นทุนในชีวิตอย่างเรา มันมีค่านะ
สุดท้ายในระหว่างที่พยายาม เสียงก่นด่าและดูถูก การกระทำที่กดให้เราต่ำลง มันก็ยังมีอยู่
ป.ล. ปัญหาเรามันอาจจะดูเล็กน้อยในชีวิตใครบางคน แต่ตอนนี้เราว่ามันหนักมากสำหรับเรา
ไหนงานที่จะต้องทำ ไหนจะเรื่องที่บ้านที่ไม่รู้จะสงบได้กี่วัน ใช้ชีวิตแบบลุ้นๆในทุกๆวัน
ความสบายใจมันหาได้จากไหนกัน