เปิดกลยุทธ์ "แซตทีอี"เร่งสร้างแบรนด์
ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
แม้ว่าชื่อแบรนด์อย่าง 'แซตทีอี' (ZTE) จะยังไม่เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์สมาร์ทโฟนในประเทศไทยมากนัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสมาร์ทโฟนที่โอเปอเรเตอร์นำมาวางจำหน่ายด้วยการเป็นผู้ผลิต (OEM) จนมีส่วนแบ่งในตลาดประเทศไทยกว่า 9% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้เมื่อแซตทีอีต้องการรุกหนักภายใต้แบรนด์ตนเองมากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการวางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดไทยเพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 5 ในตลาดสมาร์ทโฟนให้ได้
เจเรมี จ้าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร แซตทีอี คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ที่ผ่านมาแซตทีอีทำตลาดดีไวซ์ในประเทศไทยมา ประมาณ 5 ปี แล้ว เพียงแต่ในช่วงแรกจะเน้นเป็นผู้ผลิตให้แก่โอเปอเรเตอร์มากกว่า ก่อนจะหันมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ "แซตทีอี" ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนรายได้หลักของแซตทีอียังมาจากการเป็นผู้ผลิตอยู่
"ในปีที่ผ่านมาถ้านับส่วนแบ่งตลาดในมุมของการจัดส่งสมาร์ทโฟนที่รวมทั้งแบรนด์แซตทีอี และที่เป็นผู้ผลิต OEM จะมีส่วนแบ่งที่ราว 8-9% และหวังว่าในปีนี้ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 9-10% ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ แต่ถ้าแบ่ง เฉพาะสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์แซตทีอี จะมีส่วนแบ่งที่ราว 2-3% เท่านั้น ทำให้ในปีนี้แซตทีอีจำเป็นต้องทำตลาดให้มากขึ้น ด้วยเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ 5-6% หรือราว 9 แสนเครื่องในสิ้นปีนี้"
โดยกลยุทธ์หลักที่แซตทีอีมองไว้ในการทำตลาดสมาร์ทโฟนให้ได้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าวเริ่มจากการเปลี่ยนสัดส่วนจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่ผลิตมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์แซตทีอีให้มากขึ้น ถัดมาคือการเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้หลากหลายขึ้น จากปัจจุบันที่มีหน้าร้านอยู่ราว 1,000 ร้านค้า ก็จะเพิ่มเป็น 2,000 แห่งภายในสิ้นปี
"จุดแข็งที่สำคัญของแซตทีอีคือการจับมือกับโอเปอเรเตอร์รายใหญ่อย่างเอไอเอส ทำให้แซตทีอีสามารถเข้าถึงช่องทางจำหน่ายสมาร์ทโฟนของเอไอเอสที่มีทั้งหน้าร้านภายใต้แบรนด์เอไอเอส และเทเลวิซที่มีกว่า 450 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ เมื่อรวมกับช่องทางจำหน่ายอื่นๆ ก็ทำให้สามารถเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงได้มากขึ้น"
ส่วนในมุมของบริการหลังการขาย แซตทีอี ได้จับมือกับ เอเซิร์ฟ ของ แอดไวซ์ ในการให้บริการรับซ่อมเครื่องที่มีปัญหาซึ่งปัจจุบันมีจุดให้บริการ 120 แห่ง และจะเพิ่ม เป็น 220 สาขาภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดแบรนด์ชอป 1 แห่งภายในปีนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสถึงประสบการณ์ในการใช้งาน เพราะนอกเหนือจากสมาร์ทโฟนแล้ว แซตทีอี ยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของสมาร์ทโฮม และแว่นวีอาร์ (VR) ที่มีโอกาสนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมาให้ผู้บริโภคได้ลองใช้ และมีโอกาสที่จะเปิดแบรนด์ชอปเพิ่มอีก 2 แห่งในปีหน้า
ต่อมาคือการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยการใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงช่องทางสื่อสารอื่นๆ ร่วมด้วย ในการจัดกิจกรรมโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนคือตัวผลิตภัณฑ์ ที่ต้องมีประสิทธิภาพ และที่จำเป็นมากที่สุดคือระดับราคาต้องจับต้องได้
"การที่แซตทีอีเป็นหนึ่งใน 3 แบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีการจดสิทธิบัตรสูงที่สุดในปีที่ผ่านมา ทำให้ช่วยยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของแซตทีอีมีประสิทธิภาพ และมีฟังก์ชันที่เหมาะกับการใช้งานของผู้บริโภค ดังนั้นก็เหลือที่การวางระดับราคา และผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด"
ในส่วนของการทำตลาดสมาร์ทโฟน แซตทีอี แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 ส่วนหลักด้วยกันในปีนี้คือ ซีรีส์ Axon 2 รุ่น ที่จะมีทั้งรุ่นที่เป็นแฟลกชิป และรุ่น Mini ที่จะเข้ามาจำหน่ายในช่วงเดือนสิงหาคม ถัดมาคือ Blade V ซีรีส์ 2 รุ่นที่เปิดตัวแล้วคือรุ่น Lite และ Max และยังมี Blade A ซีรีส์อีก 3 รุ่น ที่จะทยอยตามออกมาภายในปลายปีนี้
"ผลิตภัณฑ์ของแซตทีอีจะครอบคลุมฐานลูกค้าในทุกช่วงราคา เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้มากที่สุดตั้งแต่เครื่องราคาต่ำกว่า 5,000 บาทไปจนถึงหมื่นบาทกลางๆ ไม่นับ รวมการทำโปรโมชันพิเศษอย่าง Blade V7 Lite ที่ร่วมจำหน่าย กับทางเอไอเอส เมื่อลูกค้าสมัครแพกเกจล่วงหน้าจะเหลือราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,990 บาท จากราคาเต็มที่ 4,990 บาท"
โดยก่อนหน้านี้ทางแซตทีอี เคยให้ข้อมูลไว้ว่าจะ ใช้งบในการทำตลาดในประเทศไทยที่ 12 ล้านเหรียญ ในการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าว ซึ่งมีการใช้จ่ายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกๆไตรมาส เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งก็ยังคงงบประมาณดังกล่าวไว้ ไม่ได้มีการปรับลดหรือเพิ่มแต่อย่างใด
ขณะที่ในมุมความต้องการในตลาดสมาร์ทโฟนของประเทศไทยแซตทีอีมองว่า มีอยู่ 3 ปัจจัยหลักๆคือ เครื่องต้องมีความสวยงาม ตอบโจทย์ความบันเทิงในการใช้ดูหนัง ฟังเพลง จากจอขนาดใหญ่ และระบบเสียงที่ดี สุดท้าย คือเรื่องของระดับราคาที่ต้องจับต้องได้ โดยการเติบโตของสมาร์ทโฟนในตลาดโลกตอนนี้อยู่ที่ 3-5% ในขณะที่ตลาดประเทศไทยเติบโตเกิน 20%
ปีที่ผ่านมา ยอดรวมสมาร์ทโฟนในประเทศไทย จะอยู่ที่ราว 12 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญจะมาจากการที่โอเปอเรเตอร์ ทำแคมเปญแจกเครื่องในการเปลี่ยนผ่าน 2G เป็น 3G หรือ 4G ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกค้ามาใช้งานสมาร์ทโฟนมากขึ้น
"ในจุดที่แซตทีอีเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนให้แก่ โอเปอเรเตอร์ก็ได้รับประโยชน์จากแคมเปญดังกล่าว แต่ ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่จะสร้างความมั่นใจจากลูกค้า ที่ได้ใช้งาน และมีความมั่นใจในสินค้า ในกรณีที่มีการ เปลี่ยนเครื่องใหม่ในอนาคต แบรนด์ของแซตทีอีก็จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกต่อไป"
จับมือเอไอเอส ช่วยขยายลูกค้า
ถกลรัตน์ แก้วกาญจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเหตุที่เอไอเอสเลือก แซตทีอี เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟน ที่มาทำแพกเกจ Smart Deal เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนได้ง่ายขึ้น มาจากการที่แซตทีอีนำเสนอเครื่อง ที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันราคาก็สามารถจับต้องได้ ที่ไม่เกิน 5,000 บาท
'ราคาเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ และดีไซน์ตัวเครื่องคือประเด็นหลักที่เอไอเอสเลือก Blade V7 Lite มาจำหน่ายพร้อมให้สิทธิ Smart Deal ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าแลกซื้อเครื่องราคาพิเศษที่ 1,990 บาท เมื่อสมัครแพกเกจพร้อมจ่ายค่าบริการล่วงหน้า ซึ่งก่อนหน้าที่ทางเอไอเอสเคยนำ Blacd V6 มาจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี'
แน่นอนว่า การนำสมาร์ทโฟนของแซตทีอีเข้ามา จะช่วยเสริมไลน์สมาร์ทโฟนของเอไอเอสให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ไล่ตั้งแต่มีเครื่อง AIS Lava ให้แก่ลูกค้าที่เพิ่งใช้งานสมาร์ทโฟนจนมาถึงสมาร์ทโฟนระดับกลางอย่าง แซตทีอี และแบรนด์อื่นๆในท้องตลาด ไปจนถึงสมาร์ทโฟนระดับบน
อย่างไรก็ตาม การจะขึ้นมาเป็นเบอร์ 5 ในตลาด สมาร์ทโฟนของแซตทีอี ก็จำเป็นต้องผ่านคู่แข่งสำคัญ ที่เป็นแบรนด์จากประเทศจีนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหัวเว่ย ออปโป้ ขึ้นมา ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์ก็ได้เริ่มสร้างจุดแข็งในตลาดมาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่ที่ความเชื่อมั่นในแบรนด์ของผู้บริโภคอยู่ดี.
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 12)
เปิดกลยุทธ์ "แซตทีอี"เร่งสร้างแบรนด์
เปิดกลยุทธ์ "แซตทีอี"เร่งสร้างแบรนด์
ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
แม้ว่าชื่อแบรนด์อย่าง 'แซตทีอี' (ZTE) จะยังไม่เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์สมาร์ทโฟนในประเทศไทยมากนัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสมาร์ทโฟนที่โอเปอเรเตอร์นำมาวางจำหน่ายด้วยการเป็นผู้ผลิต (OEM) จนมีส่วนแบ่งในตลาดประเทศไทยกว่า 9% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้เมื่อแซตทีอีต้องการรุกหนักภายใต้แบรนด์ตนเองมากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการวางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดไทยเพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 5 ในตลาดสมาร์ทโฟนให้ได้
เจเรมี จ้าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร แซตทีอี คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ที่ผ่านมาแซตทีอีทำตลาดดีไวซ์ในประเทศไทยมา ประมาณ 5 ปี แล้ว เพียงแต่ในช่วงแรกจะเน้นเป็นผู้ผลิตให้แก่โอเปอเรเตอร์มากกว่า ก่อนจะหันมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ "แซตทีอี" ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนรายได้หลักของแซตทีอียังมาจากการเป็นผู้ผลิตอยู่
"ในปีที่ผ่านมาถ้านับส่วนแบ่งตลาดในมุมของการจัดส่งสมาร์ทโฟนที่รวมทั้งแบรนด์แซตทีอี และที่เป็นผู้ผลิต OEM จะมีส่วนแบ่งที่ราว 8-9% และหวังว่าในปีนี้ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 9-10% ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ แต่ถ้าแบ่ง เฉพาะสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์แซตทีอี จะมีส่วนแบ่งที่ราว 2-3% เท่านั้น ทำให้ในปีนี้แซตทีอีจำเป็นต้องทำตลาดให้มากขึ้น ด้วยเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ 5-6% หรือราว 9 แสนเครื่องในสิ้นปีนี้"
โดยกลยุทธ์หลักที่แซตทีอีมองไว้ในการทำตลาดสมาร์ทโฟนให้ได้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าวเริ่มจากการเปลี่ยนสัดส่วนจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่ผลิตมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์แซตทีอีให้มากขึ้น ถัดมาคือการเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้หลากหลายขึ้น จากปัจจุบันที่มีหน้าร้านอยู่ราว 1,000 ร้านค้า ก็จะเพิ่มเป็น 2,000 แห่งภายในสิ้นปี
"จุดแข็งที่สำคัญของแซตทีอีคือการจับมือกับโอเปอเรเตอร์รายใหญ่อย่างเอไอเอส ทำให้แซตทีอีสามารถเข้าถึงช่องทางจำหน่ายสมาร์ทโฟนของเอไอเอสที่มีทั้งหน้าร้านภายใต้แบรนด์เอไอเอส และเทเลวิซที่มีกว่า 450 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ เมื่อรวมกับช่องทางจำหน่ายอื่นๆ ก็ทำให้สามารถเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงได้มากขึ้น"
ส่วนในมุมของบริการหลังการขาย แซตทีอี ได้จับมือกับ เอเซิร์ฟ ของ แอดไวซ์ ในการให้บริการรับซ่อมเครื่องที่มีปัญหาซึ่งปัจจุบันมีจุดให้บริการ 120 แห่ง และจะเพิ่ม เป็น 220 สาขาภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดแบรนด์ชอป 1 แห่งภายในปีนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสถึงประสบการณ์ในการใช้งาน เพราะนอกเหนือจากสมาร์ทโฟนแล้ว แซตทีอี ยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของสมาร์ทโฮม และแว่นวีอาร์ (VR) ที่มีโอกาสนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมาให้ผู้บริโภคได้ลองใช้ และมีโอกาสที่จะเปิดแบรนด์ชอปเพิ่มอีก 2 แห่งในปีหน้า
ต่อมาคือการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยการใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงช่องทางสื่อสารอื่นๆ ร่วมด้วย ในการจัดกิจกรรมโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนคือตัวผลิตภัณฑ์ ที่ต้องมีประสิทธิภาพ และที่จำเป็นมากที่สุดคือระดับราคาต้องจับต้องได้
"การที่แซตทีอีเป็นหนึ่งใน 3 แบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีการจดสิทธิบัตรสูงที่สุดในปีที่ผ่านมา ทำให้ช่วยยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของแซตทีอีมีประสิทธิภาพ และมีฟังก์ชันที่เหมาะกับการใช้งานของผู้บริโภค ดังนั้นก็เหลือที่การวางระดับราคา และผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด"
ในส่วนของการทำตลาดสมาร์ทโฟน แซตทีอี แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 ส่วนหลักด้วยกันในปีนี้คือ ซีรีส์ Axon 2 รุ่น ที่จะมีทั้งรุ่นที่เป็นแฟลกชิป และรุ่น Mini ที่จะเข้ามาจำหน่ายในช่วงเดือนสิงหาคม ถัดมาคือ Blade V ซีรีส์ 2 รุ่นที่เปิดตัวแล้วคือรุ่น Lite และ Max และยังมี Blade A ซีรีส์อีก 3 รุ่น ที่จะทยอยตามออกมาภายในปลายปีนี้
"ผลิตภัณฑ์ของแซตทีอีจะครอบคลุมฐานลูกค้าในทุกช่วงราคา เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้มากที่สุดตั้งแต่เครื่องราคาต่ำกว่า 5,000 บาทไปจนถึงหมื่นบาทกลางๆ ไม่นับ รวมการทำโปรโมชันพิเศษอย่าง Blade V7 Lite ที่ร่วมจำหน่าย กับทางเอไอเอส เมื่อลูกค้าสมัครแพกเกจล่วงหน้าจะเหลือราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,990 บาท จากราคาเต็มที่ 4,990 บาท"
โดยก่อนหน้านี้ทางแซตทีอี เคยให้ข้อมูลไว้ว่าจะ ใช้งบในการทำตลาดในประเทศไทยที่ 12 ล้านเหรียญ ในการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าว ซึ่งมีการใช้จ่ายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกๆไตรมาส เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งก็ยังคงงบประมาณดังกล่าวไว้ ไม่ได้มีการปรับลดหรือเพิ่มแต่อย่างใด
ขณะที่ในมุมความต้องการในตลาดสมาร์ทโฟนของประเทศไทยแซตทีอีมองว่า มีอยู่ 3 ปัจจัยหลักๆคือ เครื่องต้องมีความสวยงาม ตอบโจทย์ความบันเทิงในการใช้ดูหนัง ฟังเพลง จากจอขนาดใหญ่ และระบบเสียงที่ดี สุดท้าย คือเรื่องของระดับราคาที่ต้องจับต้องได้ โดยการเติบโตของสมาร์ทโฟนในตลาดโลกตอนนี้อยู่ที่ 3-5% ในขณะที่ตลาดประเทศไทยเติบโตเกิน 20%
ปีที่ผ่านมา ยอดรวมสมาร์ทโฟนในประเทศไทย จะอยู่ที่ราว 12 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญจะมาจากการที่โอเปอเรเตอร์ ทำแคมเปญแจกเครื่องในการเปลี่ยนผ่าน 2G เป็น 3G หรือ 4G ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกค้ามาใช้งานสมาร์ทโฟนมากขึ้น
"ในจุดที่แซตทีอีเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนให้แก่ โอเปอเรเตอร์ก็ได้รับประโยชน์จากแคมเปญดังกล่าว แต่ ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่จะสร้างความมั่นใจจากลูกค้า ที่ได้ใช้งาน และมีความมั่นใจในสินค้า ในกรณีที่มีการ เปลี่ยนเครื่องใหม่ในอนาคต แบรนด์ของแซตทีอีก็จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกต่อไป"
จับมือเอไอเอส ช่วยขยายลูกค้า
ถกลรัตน์ แก้วกาญจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเหตุที่เอไอเอสเลือก แซตทีอี เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟน ที่มาทำแพกเกจ Smart Deal เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนได้ง่ายขึ้น มาจากการที่แซตทีอีนำเสนอเครื่อง ที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันราคาก็สามารถจับต้องได้ ที่ไม่เกิน 5,000 บาท
'ราคาเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ และดีไซน์ตัวเครื่องคือประเด็นหลักที่เอไอเอสเลือก Blade V7 Lite มาจำหน่ายพร้อมให้สิทธิ Smart Deal ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าแลกซื้อเครื่องราคาพิเศษที่ 1,990 บาท เมื่อสมัครแพกเกจพร้อมจ่ายค่าบริการล่วงหน้า ซึ่งก่อนหน้าที่ทางเอไอเอสเคยนำ Blacd V6 มาจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี'
แน่นอนว่า การนำสมาร์ทโฟนของแซตทีอีเข้ามา จะช่วยเสริมไลน์สมาร์ทโฟนของเอไอเอสให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ไล่ตั้งแต่มีเครื่อง AIS Lava ให้แก่ลูกค้าที่เพิ่งใช้งานสมาร์ทโฟนจนมาถึงสมาร์ทโฟนระดับกลางอย่าง แซตทีอี และแบรนด์อื่นๆในท้องตลาด ไปจนถึงสมาร์ทโฟนระดับบน
อย่างไรก็ตาม การจะขึ้นมาเป็นเบอร์ 5 ในตลาด สมาร์ทโฟนของแซตทีอี ก็จำเป็นต้องผ่านคู่แข่งสำคัญ ที่เป็นแบรนด์จากประเทศจีนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหัวเว่ย ออปโป้ ขึ้นมา ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์ก็ได้เริ่มสร้างจุดแข็งในตลาดมาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่ที่ความเชื่อมั่นในแบรนด์ของผู้บริโภคอยู่ดี.
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 12)