<<< เวทีถกแถลงประชามติ ภาค ปชช.. ร่างรธน "มีชัย" เขียนระบบประกันสุขภาพ "ไม่ถ้วนหน้า" >>>

กระทู้คำถาม
ภาคประชาชนติดตามระบบประกันสุขภาพ ระบุร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ เปลี่ยนเจตนารมณ์บัตรทอง กลายเป็นระบบสุขภาพไม่ถ้วนหน้า นักวิชาการมองภาพอนาคตหลังประชามติ ระบุหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านควรเปิดพื้นที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ "ฉันทามติ"

วันนี้ (20 ก.ค.2559) สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ร่วมกับสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเครือข่ายภาคีจากทั่วประเทศ จัดเวทีสาธารณะ ในหัวข้อ "ประชาชนถกแถลง มองไปข้างหน้า หลังประชามติ" เพื่อสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบเปิดกว้างต่อร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนถึงวันออกเสียงลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559

นายชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มองว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ จะไม่มีผลต่อช่วงเวลาการเลือกตั้ง แต่ทั้งนี้เห็นว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะมีผลกระทบในเชิงการเมืองอย่างมาก เนื่องจากรัฐเองได้ใช้กลไกทุกด้านเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ ทั้งนี้มองว่ารัฐบาล คสช.จะไม่นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 และ 50 มาใช้ แต่มองว่าอาจมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 57 เพื่อให้มีการเลือกตั้งได้ในปี 2560 เนื่องจาก คสช.ไม่ต้องการอยู่นาน

ด้านนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงภาพอนาคตหลังการลงประชามติว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติผ่าน ยังจะต้องมีการร่างกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญอีก 10 ฉบับ ซึ่งเป็นกฎหมายที่นัยยะสำคัญต่อการปฏิรูป เช่น กฎหมายการประเมินผลกระทบโครงการขนาดใหญ่ กฎหมายการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ในกรณีที่หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน นายบัณฑูร กล่าวว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมีกระบวนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นฉบับฉันทามติ ที่ทุกฝ่ายยอมรับเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ ต้องเปิดพื้นที่มีส่วนร่วมอย่างเช่น โมเดลการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ผ่าน สสร.นายบัณฑูร ยังเรียกร้องไปถึง กรธ.ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงประชามติแล้ว ในช่วงที่พ้นจากระยะการเปลี่ยนผ่านประเทศตามที่ กรธ.และรัฐบาล สนับสนุนให้ประชาชนลงประชามติรับร่าง หากประชาชนต้องการแก้ไขเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นจะมีกลไกใดที่เปิดช่องให้ทำได้

“ต้องการคำอธิบาย จาก กรธ.ว่าหากประชาชนโหวตให้ร่าง รธน.ผ่าน เพราะว่าเหตุผลคำอธิบายในระยะเปลี่ยนผ่าน แต่เมื่อถึงช่วงที่ประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญที่สอดคล้องความจริง เป็นประชาธิปไตยจะสามารถแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างไร ในเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้การแก้ไขแทบจะเป็นไปไม่ได้ ตรงนี้จะเป็นคำถามว่าเมื่อเราพ้นระยะการเปลี่ยนผ่านที่รัฐบาลพยามอธิบายพยายามโน้มน้าวให้ยอมรับ เมื่อเปลี่ยนผ่านจริงๆ จะทำอย่างไรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”นายบัณฑูร กล่าว


ขณะที่นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และอดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพสัดส่วนภาคประชาชน กล่าวว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในประเด็นสิทธิด้านสุขภาพในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะมีการลงประชามติ มาตรา 47 ที่ระบุว่า บุคคลยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุข โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เป็นการทำให้เปลี่ยนระบบประกันสุขภาพให้ไม่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม และเปลี่ยนเจตนารมณ์จากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบุคคลยากไร้ จากเดิมที่ให้สิทธิเสมอภาคแก่คนทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันมองว่า การบริการสาธารณสุขให้ประชาชนให้เป็นไปในลักษณะสงเคราะห์มากขึ้น

"รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 และ 50 มีการพูดถึงระบบประกันสุขภาพแก่ผู้ยากไร้เช่นกัน แต่ก็มีการรับรองสิทธิของทุกคน ร่างร้ฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ระบุไว้เพียงการรับร้องสิทธิของผู้ยากไร้ เป็นแนวคิดของกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขที่ยกเรื่องการร่วมจ่ายในการรับบริการสาธารณสุขจากรัฐ”


นายนิมิตร์ ยังเรียกร้องให้ กรธ.ชี้แจงความชัดเจนของเอกสารคำอธิบายร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ.ว่าข้อความที่ระบุว่า “บัตรทองไม่หายไปไหน” เนื่องจากในร่างรัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าต้องเป็นบุคคลยากไร้ “ประชาชนจะได้รับการคุ้มครองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นคำพูดที่เลื่อนลอยเหมือนขายฝัน หลอกให้ประชาชนไปลงประชามติ มันจะดีขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อสิทธิของประชาชนหายไป ส่วนที่เขียนว่าประชาชนจะได้รับการดูแลป้องกันโรคอันตรายฟรี ในระบบบัตรประกันสุขภาพทุกวันนี้จัดให้อยู่แล้ว และไม่ใช่แค่โรคอันตราย” นายนิมิตร์ ระบุ


นอกจากนี้ภาคประชาชนยังมีข้อกังวลเรื่องบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ บทบาทของการปกครองท้องถิ่น รวมถึงอำนาจขององค์กรอิสระที่กำกับควบคุมองค์กรที่มาจากการเลือกตั้ง

http://news.thaipbs.or.th/content/254183

เรื่องนี้ต้องขยาย

เครือข่ายนักวิชาการ-เอ็นจีโอ ออกแถลงการณ์ จี้รัฐบาลเปิดช่องรณรงค์ประชามติโค้งสุดท้าย

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1469011935

ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เครือข่ายประชาสังคมและนักวิชาการหลายสถาบัน อาทิ นายโคทม อารียา นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม นางสุนี ไชยรส นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองประธานมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ และอดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกันออกแถลงการณ์ในนาม เครือข่ายกลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย เพื่อเรียกร้องการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่โปร่งใสและชอบธรรม ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลครบถ้วน มีพื้นที่ถกแถลงอย่างรอบด้าน และรับรู้ถึงทางเลือกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ

ทั้งนี้ นายโคทม กล่าวว่า ตนห่วงใยทิศทางของบ้านเมือง เพราะขณะนี้เหลืออีกเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนจะลงประชามติ แต่ประชาชนยังไม่ทราบว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ประเทศจะไปทิศทางไหน ยืนยันว่าการรณรงค์และรับและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญทำได้โดยปลอดภัย แต่ถ้าไม่ผ่านประชามติแล้วจะทำอย่างไรต่อ ในสองสัปดาห์ต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อกำหนดทางออกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ถ้าคิดว่าไม่ทันก็สามารถประกาศ คสช.ก็ได้ ว่าถ้าไม่ผ่านจะเกิดกระบวนการอย่างไร จึงจะได้รัฐธรรมนูญฉับที่ 20

ด้านนายอนุสรณ์กล่าวว่า ผู้ที่ลงนามในแถลงการณ์ฉบับนี้รวมถึงองค์กรที่สนับสนุน มีมากกว่านี้มาก เนื่องจากจัดกิจกรรมภายใต้สภาวะข้อจำกัดด้านเสรีภาพ จึงทำให้นักวิชาการ นักธุรกิจ ปัญญาชน นักเคลื่อนไหว นักการเมืองจำนวนหนึ่งยังลังเลที่จะไม่อยากแสดงตัว แต่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครเห็นแย้ง เพราะเป็นหลักการสู่สันติธรรมที่ดีขึ้นของประเทศ หวังว่าการร่างรัฐธรรมนูญและการแสดงประชามติ เป็นการประชามติที่มีความหมายตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย เปิดกว้าง และให้ประชาชนที่มีความคิดเห็นหลากหลายได้แสดงออกเต็มที่ ไม่อยู่ภายใต้การกดดันใด ๆ และประชามติให้ประชาชนเห็นทางเลือก

"ห่วงใยประเทศและเศรษฐกิจของประเทศ เพราะสามารถชี้อนาคตเส้นทางของประเทศในอนาคต ขึ้นอยู่กับผลประชามติว่าเป็นอย่างไร  ดังนั้น ในเบื้องต้นเราเพียงเรียกร้องให้การแสดงประชามติ เป็นกระบวนการประชาธิปไตยเปิดกว้างให้มีความคิดเห็น แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ ขอให้เลื่อนประชามติ เพื่อไม่ให้เป็นพิธีกรรม ไม่อยากเห็นประชาธิปไตยหลังปี 2535 ต้องการประชาธิปไตยที่ดีกว่าเดิม ถ้าทำอย่างนั้นได้ จะเป็นโอกาสมหาศาลทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าทำไม่ได้ ประชามติที่มีปัญหาจะนำไปสู่กติกาสูงสุดที่มีปัญหา เกิดวิกฤตการเมืองอีกรอบหนึ่ง กระทบการทำงาน คสช.ที่ทำมา กระทบชีวิตผู้คน ถ้าไม่เลื่อนประชามติ ก็สองสามสัปดาห์ที่เหลือเปิดโอกาสให้ประชามติเต็มที่" นายอนุสรณ์ กล่าว  

ขณะที่นายบัณฑูรย์กล่าวว่า การทำประชามติต้องมีพื้นที่ถกแถลงรอบได้ เป็นอิสระขององค์กร และในรายชื่อที่มีอยู่ในปัจจุบันมีคนต้องการร่วมลงนามมากกว่านี้ แต่เวลารวบรวมรายชื่อจำกัด ในลำดับถัดไปสนับสนุนผ่าน change.org เพื่อให้คนที่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ และมีความประสงค์จะร่วมลงนามสนับสนุนสามารถร่วมลงชื่อได้ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่ชอบธรรม ทั้งเนื้อหาและกระบวนการ

"ส่วนกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง เตรียมจัดเวทีดีเบตให้ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญดีเบตได้ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสนั้น เห็นว่าเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลร่างรัฐธรรมนูญควรให้จัดดีเบตผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ ด้วย ไม่จำเป็นต้องไทยพีบีเอสเท่านั้น" นายบัณฑูรย์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในแถลงการณ์ของเครือข่ายกลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย ระบุว่า เพื่อให้การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 มีความชอบธรรม เป็นไปตามหลักการที่เป็นที่ยอมรับในทางสากล มีความครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งในเชิงเนื้อหาและกระบวนการ

ผู้ที่มีรายนามดังต่อไปนี้ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคมร่วมกันผลักดันให้ข้อเสนอดังต่อไปนี้เกิดขึ้นได้จริง

1.ให้ความเคารพในสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ โดยต้องเปิดให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้ถกแถลงด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนและรอบด้าน เอื้อให้มีพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยสำหรับทุกฝ่ายเพื่อการแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์

2.จำเป็นต้องมีการเสนอทางเลือกที่ชัดเจนให้กับประชาชน ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ว่ามีกระบวนการในการร่างรัฐธรรมนูญอย่างไรต่อไป

3.ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ ควรมีกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากฉันทามติผ่านกลไกที่ทุกกลุ่มทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการออกแบบกระบวนการ และกำหนดหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยเป็นไปตามกรอบเวลาที่มีการประกาศไว้ใน roadmap สู่การเลือกตั้งและตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว

4.หากหลักการตามข้อเรียกร้อง ข้อ 1 – ข้อ 3 ที่กล่าวมาข้างต้นเกิดขึ้นจริง ทุกกลุ่มทุกฝ่ายควรยอมรับในผลของการทำประชามติ โดยร่วมกันส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในสังคม

5.รัฐธรรมนูญที่จะได้มานั้นควรมีหลักการสำคัญ อาทิ การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิของประชาชนในด้านต่าง ๆ ที่ไม่ถดถอยไปจากเดิม การตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจอธิปไตยของกลไกทางการเมืองที่มีความสมดุล การกำหนดให้มีการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่มีความพร้อมในการจัดการตนเอง การกำหนดมาตรการในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น และมาตรการในการป้องกันความขัดแย้งไม่ให้ขยายผลไปสู่การใช้ความรุนแรง รวมทั้งมีบทบัญญัติที่เอื้อให้สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ยากเกินไป เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงของสังคมตามความจำเป็นและตามกรอบของกฎหมาย

ทั้งนี้ มีผู้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์จำนวน 115 คน และ 16 องค์กร โดยบุคคลที่น่าสนใจมีนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยร่วมลงชื่อด้วย อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายเกียรติ สิทธีอมร นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายธนา ชีรวินิจ นายสาธิต ปิตุเตชะ ดร.รัชดา ธนาดิเรก

ขณะที่พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์  รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย  นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรค

OK
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่