มีใครมีความรัสึก หรือเคยรู้สึกแบบนี้บ้างมั๊ยคะ
คือ เบื่อ เบื่อ และก้เบื่องานประจำ หรือที่ต้องไปเปนลูกจ้างเขา
กลัวว่าต้องไปเจอแบบเจ้านายที่เราเคยเจอที่ผ่านมา
กระทู้นี้เราขอบ่น และขอคำแนะนำ หรือขอคำปรึกษา หน่อยนะคะ
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เราได้งานทำที่บริษัท บริษัทหนึ่งย่านดอนเมือง ก็เป็นประมาณบริษัทโฮมออฟฟิต ในบริษัทมีอยุ่ไม่กี่คน ประมาณ 2-3 คน
ซึ่งรวมเจ้านายด้วย ซึ่งเจ้านายคนนี้ช่วงแรกๆ จะดี ใจดีมากคอยพาไปกินอาหารข้างนอกบ้าง ซื้อมาฝากบ้างซื้อของมาตุนไว้ให้บ้าง คือมีตลอด
ตอนเราทำงานแรกๆ ก็พูดชมให้พ่อกับแม่เราในทางที่ดีตลอด ไม่ว่าจะใจดีมาก รู้สึกว่าเจ้านายคนนี้ดีกับลุกน้องเปนคนไม่งก ใจดีสปอตเลยล่ะ
คือทุ่มให้ตลอด พูดถึงเงินเดือนก็ถือว่าสูงพอสมควรที่เราได้รับแต่ชีวิตเรามันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น อาทิตย์แรกๆดีมากเลยค่ะ (ในความรู้สึกเรานะ) ถึงช่วงแรกๆ ก็มีเรื่องมาตลอด
คือเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เอามาให้เป็นเรื่อง เช่น เรื่องที่วางรองเท้า คือเรากับน้องอีกคนตอนนั้นก็เห้นว่าแค่ที่วางรองเท้า มีที่ว่างตรงไหนก็เหมือนกันหมด
เพราะอยู่ในตู้เหมือนกัน แต่สำหรับเจ้านายคนนี้ไม่ใช่แบบนั้นเดินเข้ามาต่อว่า เรากับน้องคนนั้นว่า
"คุณจะวางรองเท้ามั่วๆแบบนี้ไม่ได้ ที่วางรองเท้าของผม ผมไม่ได้มาเล่นเก้าอี้ดนตรีกับพวกคุณนะ"
เรากับน้องอีกคนก็นั่งงง คือ มันเป็นเพียงแค่ที่วางรองเท้าไม่ใช่หรือคือมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาเป็นเรื่องมาเป็นอารมณ์
เรื่องรองเท้านี้เราก็ตัดปัญหาโดยการทำป้ายชื่อติดเป็นชื่อให้เห็นกันชัดๆไปเลย เรื่องรองเท้าจบไป
พออีกไม่นาน เอาอีกแล้ว ทีนี้เรื่องบิลของบริษัท บริษัทหนึ่ง คือพอดีว่าที่อยู่เป็นที่อยู่เก่า และมีการงงรอบบิลกันเกิดขึ้น อ่ะไงล่ะงานนี้เป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราโดนอีกแล้วนะซิเรา ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนแรกที่เราเข้าไปทำงาน ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทำงานได้ประมาณ 10 กว่าวัน
เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ และรู้โปรเซสการทำงานของบริษัทนั้นเท่าที่ควรก็คนเพิ่งเข้าทำงานได้ประมาณ 10 วัน จะให้รู้เรื่องทั้งหมดมันคงเป็นไปไม่ได้อยุ่แล้ว
เจ้านายคนนี้ก็โทรไปต่อว่าพนักงานของบริษัทนั้นเป็นการใหญ่เลยค่ะ
รวมทั้งต่อว่าเราด้วยว่า "คุณเนี่ยไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเลย เรื่องแค่นี้ก้ไม่รู้เรื่อง ทำงานแค่นี้ก้ไม่ได้" คือประมาณนี้ แล้วอะไร บลาๆๆ อีกเยอะแยะมากมาย โดนยาววววว เลย
และหลังจากที่เจ้านายคนนี้โทรไปด่าพนักงานนั้นเสร็จ เหมือนฝ่ายโน้นพยายามจะอธิบาย
เหมือนเจ้านายเราพยายามจะเอาชนะ ก็บอกให้เราจัดทำตารางเรียงรอบบิลในแต่ละเดือนต่าง ๆ ที่ผ่านมา
สรุปรอบบิล คือ ครบตามที่พนักงานของบริษัทนั้นแจ้งไว้ แล้วเราก็แจ้งกับเจ้านายว่า ครบตามรอบบิลต่าง
คุณท่านก็ตอบกลับมาว่า ผมก็รู้แล้วล่ะว่ามันต้องครบ บริษัท.....เขาคงไม่มีอะไรหรอก
คิดในใจ เอ้าสัสแล้วจะโทรไปด่าไปว่าเขาทำไม แทนที่จะใจเย็นๆ ด่ากรูซะยับ แล้วทีนี้ก็บอกให้เราโทรไปติดต่อ
เพื่อกำหนดวันที่จะให้บริษัทนั้นเข้ามาเก็บเช็ค เพราะเจ้านายท่านไม่กล้าโทรไปเพราะโทรไปด่าเขาซะยับไงล่ะ
เลยให้ลูกน้องอย่างเราโทรไปรับหน้าแทน !!! คือตอนที่มันโวยวายอยู่ เราก็พยายามอธิบายนะคะว่าอะไรเปนอะไร
แต่มันก็ไม่ยอมฟังเอาแต่ด่าลูกเดียว รวมถึงพนักงานของบริษัทนั้นด้วยที่เราได้ยินมาจากโทรศัพท์ที่มันคุยอยู่
แต่มันก็ไม่ยอมฟัง คงเปนเพราะผีเข้าอยู่ล่ะมั๊งคะ ต้องรอผีออกซะก่อน
เรื่องต่อไป เป็นเรื่องผ้าพันคอ ที่เราเอาไปใช้คลุมไหล่ เพราะ ออฟฟิตเรามันเย็นมาก
คือก่อนหน้านั้นเราก็ใช้มาหลายวัน แล้วคุณท่านเจ้านายท่านก็ไม่พูดอะไร
พอดีวันนั้นเป็นวันที่น้องอีกคนลาไปทำธุระ เราก็เลยได้อยู่กับคุณท่านเจ้านายนี้สองคน
เราโดนอีกแล้วค่ะ คุณเอาผ้าพันคอนี้มาจากไหน คุณใช้ผ้าสีนี้เลยหรอ
คุณใช้ผ้าพันคอผืนนี้ไม่ได้ สีเหมือนของคนเก่าเลยนะ อย่าใช้อย่าทำอะไรเหมือนคนเก่า เพราะคนเก่าผมไม่ปลื้ม
แล้วเราก็พูดกลับไปว่า ก็หนูหนาวนี่คะ และก็ไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อ....มาก่อน (พนักงานคนเก่าที่มันบอกว่าไม่ปลื้มนั่นล่ะค่ะ)
แล้วมันก็พูดกลับมาอีกว่า แล้วที่ทำงานเก่าคุณเอาผ้ามาคลุมแบบนี้ปะ แล้วก็เดินขึ้นห้องไป
คิดในใจอีก เอ้าสัส ก็ที่ทำงานเก่ากรูมันไม่เย็นขนาดนี้ไงวะ เป็นบ้าอะไรนักหนา อุณหภูมิห้องปรับอยู่ ที่ 20 องศา
พอเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ทีนี้เรียกเราขึ้นไปคุย เรียกขึ้นไปด่าเรื่องผ้าพันคอ นี้ล่ะค่ะ ใช้เวลาไปประมาณ 3 ชม.
แค่เรื่องผ้าพันคอ และโยงไปอีกเรื่องหลายเรื่อง ทั้งพูดเรื่องพนักงานคนเก่า (ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน)
สรุปวันนั้นเราปวดหัว ไมเกรนขึ้นกลับบ้านไปค่ะ
พอวันรุ่งขึ้นเราก็ไปทำงานตามปกติ มันก็เดินเข้าออฟฟิตแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรื่องต่อไป เป็นเรื่องน้ำหมึกเครื่องถ่ายเอกสารค่ะ สีมันเข้มๆกว่าเดิม ออกมาแบบสีมันจะมืดๆกว่าเดิมนิดหน่อย
มันก็สั่งให้เราทำอีก ว่าให้เราแก้ไขปัญหานี้ เราก็พยายามกดๆอยู่หลายครั้ง แต่เราก็ทำไม่ได้
เราก็ไม่กล้าจะไป set ไปตั้งค่าอะไรเครื่องมากมาย เพราะเครื่องเอกสารนั้นมันต่อเข้ากับระบบเครือข่ายของบริษัท
เราก็กลัวนะซิ เกิดเราไปตั้งค่าหรือกดอะไรผิด ระบบของบริษัท ที่เคยตั้งค่าไว้ก่อนมันจะเพี้ยนไป หรือ ระบบการพริ้นมันจะใช้งานไม่ได้
หรืออาการหนักกว่าเดิม แล้วเราก็แจ้งมันว่าเครื่องถ่ายเอกสารเรายังแก้ไขไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักหลักการทำงานของเครื่อง
เราก็ถามว่าให้เรียกช่างเลยไหม มันก็บอกว่า เรียกทำไมล่ะช่างน่ะ แค่เรื่องเครื่องถ่ายเอกสารแค่นี้คุณแก้ไขยังไม่ได้
แล้วคุณจะทำอะไรได้บ้าง บลาๆๆๆๆ สุดท้ายก็เดินไปหาคู่มือการใช้งาน เพราะมันก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน แต่สุดท้ายคู่มือนั้นเป็นภาษาอังกฤษ
มันก็พูดว่า เอาน่าเดี๋ยวผมค่อยอ่านให้ เดี๋ยวผมจัดการเอง (มันพูดแบบนี้นะคะ)
พอเวลาผ่านไป 1 วัน ทีนี้ทวงงานค่ะ ถามเรื่องเครื่องถ่ายเอกสาร เราก็บอกไปว่ายังไม่ได้ ทีนี้ด่าเราอีกค่ะ บลาๆๆๆ เยอะแยะไปหมด
เราก้ได้แค่คิดในใจว่า ก็พูดว่าจะจัดการเอง แล้วมาด่ากรูนี่นะ สัส
แล้วมันก็พูดว่า คุณจะคอยที่จะพึ่งพาแต่ผมมันไม่ได้หรอกนะ ผมก็มีงานที่ผมต้องทำต้องรับผิดชอบ
ก็คิดในใจอีก เคยพูดว่าไงสัส เคยพูดว่าจะจัดการเองไม่ใช่หรอ กรูจะเรียกช่างก็ไม่ให้กรูเรียก ต้องการอะไรจากกรู
สุดท้าย เรื่องเครื่องถ่ายเอกสารนี้ ก็จบด้วยการเรียกช่างมาค่ะ เพราะมันก็ไม่มีปัญญาจัดการปัญหานั้น
ส่วนเรานะหรอตอนนั้นทำงานได้ประมาณ 1 เดือน ค่ะ
พอเริ่มจะเดือนที่ 2 เดือนที่ 3 เริ่มออกลายเยอะขึ้นทุกวัน สารพัดเรื่องราวต่าง
ทั้งหงุดหงิดมาจากข้างนอกบ้างล่ะ แล้วเอามาลงมาระบายกับเราบ้างล่ะ
บางทีบอกว่าขึ้นมาคุยเรื่องงานกันหน่อยซิ แต่พอขึ้นไปไม่ได้คุยเรื่องงานเลยค่ะ เรื่องด่าชาวบ้านบ้างล่ะ
ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ไม่พอใจคนข้างบ้านบ้างล่ะ สารพัดจริงๆ
และปัญหาแบบนี้ก็มีมาตลอดเกือบทุกวัน บางวันขึ้นไปตั้งแต่ประมาณบ่าย 2 ถึง 5 โมงครึ่งหรือเกือบ 6 โมงเยน
อาทิตย์หนึ่งทำงาน 5 วัน โดนแบบนี้ไปประมาณ 4 วัน เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆตลอด
โดนด่า โดนว่า โดนดูถูก ทุกวัน ขอย้ำว่าทุกวันจริงๆ ถ้าวันไหนเราไม่โดนสักหน่อยเนี่ยแบบว่าฝนตกหนักทุกที
และเรื่องพีคที่สุด ที่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่า ไม่ไหวแล้ว กรูไม่ไหวกับคนแบบนี้อีกแล้ว
คือ วันนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันศุกร์ เรื่องมันมีอยู่ว่า
คุณท่านเจ้านายคนนี้ล่ะค่ะ เดินเข้ามาในออฟฟิตนี่แหละค่ะ ก็เดินเข้ามาปกติเหมือนกับทุกวัน
เราก็ไม่รู้อ่ะเนอะว่าเขาจะหงุดหงิดอะไรมาจากไหนหรือเปล่า เราก็ทักทายไปตามปกติค่ะ
เราก็มองหน้าปกติ เพื่อที่จะชวนคุยเหมือนกับทุกวัน
แต่วันนั้นมันไม่เหมือนทุกวันนะซิคะ พอเรามองหน้ามันก็ไม่คุยด้วย แล้วมันก็จ้องหน้าเราเหมือนจะกินเรา
หรือเหมือนจะฆ่าเราให้ตายเลยวันนั้น มันพูดออกมาแบบน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว หรือเกลียดเรามาจากไหนก็ไม่รู้ว่า
B. : I คุณมองหน้าผมคุณมีอะไร
I : เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แล้วนั่งหันหลังให้ทำงานต่อ
B. : I คุณ มองหน้าผมมีอะไร (พูดเสียงดัง แบบตะคอก ตาแทบจะถลุนออกมาก็ว่าได้ สายตาที่มองเหมือนโคตรเกลียดแค้นมาจากไหนก็ไม่รู้)
I : ป่าวนี่คะไม่มีอะไร
B. : ไม่มีอะไรแล้วมองหน้าผมทำไม
I : เอ้าา!!!
คิดในใจ ไม่ให้กรูมองหน้า จะให้กรูมองหัวหรอ? (งงเลยกรู)
หลังจากที่โดนว่าไปเมื่อวันศุกร์นั้น วันจันทร์ ก็ ไม่อยากตื่นไปทำงานเลยค่ะ
แต่เราก็ใจพยายามจะสู้ไว้ เพราะเราก็ต้องหาเงินเพื่อไปช่วยแบ่งเบาพ่อกับแม่
เราลาออกไปก็สงสารพ่อกับแม่ เราก็ต้องมาขอเงินพ่อกับแม่แกใช้อีก จนกว่าจะได้งานใหม่
ซึ่งในแต่ละครั้งที่เราขอเงินพ่อกับแม่เราก็รู้สึกผิดทุกครั้ง
แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำแต่งตัว เดินออกไปขึ้นรถนั่งรถไปทำงาน
แต่ตอนนั้นที่นั่งรถไปคือใจน่ะ คือไม่อยากลงไปจากรถเลยจริง ๆ ไม่อยากเข้าไปยังที่ๆตรงนั้น
ไม่อยากเข้าไปพบหน้ามัน ไม่อยากเห็นหน้ามันคนนั้น ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยอะไรอีกแล้ว
แต่เราก็ตัดสินใจลงจากรถเพื่อเข้าไปที่ออฟฟิตนั้น แต่อารมณ์มันก็ไม่เย็นลง ความรู้สึกมันไม่ดีขึ้น
ตอนนั้นที่เข้าไป เรานั่งอยู่ประมาณ 2 ชม. ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร อยากทำอะไรเลย
แล้วก็ตัดสินใจเดินออกมา โดยที่ตัดสินใจคือ ออกจากงานนั้นเช่นเดียวกัน
พอตอนเยนมีน้องที่ออฟฟิตโทรมาคุย บอกให้ใจเยนๆ แต่ตอนนั้นเราก้ตัดสินใจไปแล้ว
และน้องคนนั้นก็บอกว่า พรุ่งนี้เจ้านายแกไม่อยู่
เราก็เออตัดสินใจเข้าไปอีกครั้ง ครั้งสุดท้าย งานของเราที่เรารับผิดชอบมันยังไม่เสร็จ จะเข้าไปเคลียร์งานให้เสร็จๆ และจบๆไป
รวมทั้งเขียนใบลาออก เซ็นใบลาออก วันนั้นก็วันสุดท้ายที่เราเข้าไปเหยียบบริษัทแห่งนั้น
พอตัดสินใจลาออกที่นี้เราก็เครียดมากอีก คือ คิดว่า จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าห้องที่พัก จ่ายค่าลงทะเบียน และค่าใช้จ่ายอีกมากมาย
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก อยู่ไปเราก็ก็ปวดหัว คือเรากลายเป็นคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดทุกวันไม่ค่อยยิ้มตั้งแต่เราเข้าทำงานที่นี่
เลยตัดสินใจลาออกดีกว่า ค่อยหางานใหม่เอา
แล้วก็ได้โทรหาแม่ ตลอดเวลาที่เราทำงานที่นี่ ส่วนมากแล้วเราก็จะโทรคุยโทรปรึกษากับพ่อกับแม่เราตลอด
หลังจากที่ลาออก เราก็โทรหาพ่อกับแม่เช่นเดียวกัน เล่าทุกอย่าง พูดทุกอย่างให้ท่านฟัง
แล้วเราก็พูดว่า แม่ลูกเครียด ลูกหนื่อยจังเลย ลูกอยากพัก ตอนแรกกพูดกับแม่ถึงขั้นอยากจะไปบวชชีอยากไปอยู่วัดเลยนะ 555++
(รู้สึกอาการตัวเองหนักมาก) แต่จะทำยังไงได้ละก็บ้านเรามันจนนี่นา
แม่ก็พูดกลับมาว่า กลับบ้านเราไหม?? เราก็บอกว่าถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวขอไปเก็บของก่อนนะ แล้วเราก็ขึ้นรถกลับบ้านเยนนั้นเลย
พอกลับบ้าน ถึงบ้าน แม่ก็พูดว่า ดีขึ้นหรือยัง อย่าไปเครียด ทุกเรื่องมีทางออกเสมอ
ถ้าหากเรื่องบางเรื่องเราคิดว่ามันไม่มีทางออก เราก็แค่ออกทางที่เราเข้า ยังไงแม่กับพ่อก็อยู่ข้างอยู่แล้ว เรานี้แบบว่าน้ำตาไหลพรากเลย
พอกลับไปอยู่บ้านได้อาทิตย์นึง เพราะคิดแต่เรื่องจะต้องขึ้นมาหางานทำ เพื่อที่จะเก็บเงินไว้จ่ายค่าเทอมและค่าห้อง
คือเราไม่อยากจะขอ อยากจะรบกวนเงินของพ่อกับแม่เลยจริงๆ เพราะท่านให้เงินเรามามากเหลือเกิน
เราอยากจะใช้หนี้สินของพ่อแม่ให้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเราเป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ความฝันเราจะเป็นจริง
ทั้งเรื่องค่าเทอมเรา และเราก็อยากให้น้องทั้งสองคนของเราได้เรียนต่อด้วย และอีกหลายเรื่องอีกมากมาย
แต่เราก็ตัดสินใจลาออกมาเพราะ ถ้าหากอยู่ต่อไปเราต้องเป้นบ้าแน่ๆ อยู่ไปมันก็เสียสุขภาพจิตไปป่าวๆ
จนบัดนี้เราก็ยังหางานใหม่ไม่ได้เลย เพราะความรู้สึกเบื่อในงานประจำนี่แหละ เราก็กลัวที่จะไปพบเจอเจ้านายเหมือนที่ผ่านมาอีก
จู้จี้จุกจิก ขี้บ่น ขี้โวยวาย ไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผล อารมณ์ขึ้นๆลงๆ หรือ แบบลักษณะข้างบนตามเรื่องราวต่างๆด้านบน
อ่า ลืมบอกไป เจ้านายเราคนนี้ อายุประมาณ 40 กว่าๆ ยังไม่มีลูกไม่มีเมีย เป็นผู้ชายค่ะ แท้หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ใครมีงานอะไร ช่วยแนะนำบ้างนะ หรือ งานออฟฟิต หรืองานอะไรก็ได้ค่ะ
เรื่องอาจจะวกวน หรือ มีข้อผิดพลาดประการใจต้องขอโทษด้วยนะคะ
เบื่องานประจำ,ระอางานประจำ จากที่ทำงานล่าสุด แต่ไม่รู้จะทำงานอะไรเนื่องจากไม่มีทุนสำรอง
คือ เบื่อ เบื่อ และก้เบื่องานประจำ หรือที่ต้องไปเปนลูกจ้างเขา
กลัวว่าต้องไปเจอแบบเจ้านายที่เราเคยเจอที่ผ่านมา
กระทู้นี้เราขอบ่น และขอคำแนะนำ หรือขอคำปรึกษา หน่อยนะคะ
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เราได้งานทำที่บริษัท บริษัทหนึ่งย่านดอนเมือง ก็เป็นประมาณบริษัทโฮมออฟฟิต ในบริษัทมีอยุ่ไม่กี่คน ประมาณ 2-3 คน
ซึ่งรวมเจ้านายด้วย ซึ่งเจ้านายคนนี้ช่วงแรกๆ จะดี ใจดีมากคอยพาไปกินอาหารข้างนอกบ้าง ซื้อมาฝากบ้างซื้อของมาตุนไว้ให้บ้าง คือมีตลอด
ตอนเราทำงานแรกๆ ก็พูดชมให้พ่อกับแม่เราในทางที่ดีตลอด ไม่ว่าจะใจดีมาก รู้สึกว่าเจ้านายคนนี้ดีกับลุกน้องเปนคนไม่งก ใจดีสปอตเลยล่ะ
คือทุ่มให้ตลอด พูดถึงเงินเดือนก็ถือว่าสูงพอสมควรที่เราได้รับแต่ชีวิตเรามันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น อาทิตย์แรกๆดีมากเลยค่ะ (ในความรู้สึกเรานะ) ถึงช่วงแรกๆ ก็มีเรื่องมาตลอด
คือเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เอามาให้เป็นเรื่อง เช่น เรื่องที่วางรองเท้า คือเรากับน้องอีกคนตอนนั้นก็เห้นว่าแค่ที่วางรองเท้า มีที่ว่างตรงไหนก็เหมือนกันหมด
เพราะอยู่ในตู้เหมือนกัน แต่สำหรับเจ้านายคนนี้ไม่ใช่แบบนั้นเดินเข้ามาต่อว่า เรากับน้องคนนั้นว่า
"คุณจะวางรองเท้ามั่วๆแบบนี้ไม่ได้ ที่วางรองเท้าของผม ผมไม่ได้มาเล่นเก้าอี้ดนตรีกับพวกคุณนะ"
เรากับน้องอีกคนก็นั่งงง คือ มันเป็นเพียงแค่ที่วางรองเท้าไม่ใช่หรือคือมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาเป็นเรื่องมาเป็นอารมณ์
เรื่องรองเท้านี้เราก็ตัดปัญหาโดยการทำป้ายชื่อติดเป็นชื่อให้เห็นกันชัดๆไปเลย เรื่องรองเท้าจบไป
พออีกไม่นาน เอาอีกแล้ว ทีนี้เรื่องบิลของบริษัท บริษัทหนึ่ง คือพอดีว่าที่อยู่เป็นที่อยู่เก่า และมีการงงรอบบิลกันเกิดขึ้น อ่ะไงล่ะงานนี้เป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราโดนอีกแล้วนะซิเรา ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนแรกที่เราเข้าไปทำงาน ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทำงานได้ประมาณ 10 กว่าวัน
เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ และรู้โปรเซสการทำงานของบริษัทนั้นเท่าที่ควรก็คนเพิ่งเข้าทำงานได้ประมาณ 10 วัน จะให้รู้เรื่องทั้งหมดมันคงเป็นไปไม่ได้อยุ่แล้ว
เจ้านายคนนี้ก็โทรไปต่อว่าพนักงานของบริษัทนั้นเป็นการใหญ่เลยค่ะ
รวมทั้งต่อว่าเราด้วยว่า "คุณเนี่ยไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเลย เรื่องแค่นี้ก้ไม่รู้เรื่อง ทำงานแค่นี้ก้ไม่ได้" คือประมาณนี้ แล้วอะไร บลาๆๆ อีกเยอะแยะมากมาย โดนยาววววว เลย
และหลังจากที่เจ้านายคนนี้โทรไปด่าพนักงานนั้นเสร็จ เหมือนฝ่ายโน้นพยายามจะอธิบาย
เหมือนเจ้านายเราพยายามจะเอาชนะ ก็บอกให้เราจัดทำตารางเรียงรอบบิลในแต่ละเดือนต่าง ๆ ที่ผ่านมา
สรุปรอบบิล คือ ครบตามที่พนักงานของบริษัทนั้นแจ้งไว้ แล้วเราก็แจ้งกับเจ้านายว่า ครบตามรอบบิลต่าง
คุณท่านก็ตอบกลับมาว่า ผมก็รู้แล้วล่ะว่ามันต้องครบ บริษัท.....เขาคงไม่มีอะไรหรอก
คิดในใจ เอ้าสัสแล้วจะโทรไปด่าไปว่าเขาทำไม แทนที่จะใจเย็นๆ ด่ากรูซะยับ แล้วทีนี้ก็บอกให้เราโทรไปติดต่อ
เพื่อกำหนดวันที่จะให้บริษัทนั้นเข้ามาเก็บเช็ค เพราะเจ้านายท่านไม่กล้าโทรไปเพราะโทรไปด่าเขาซะยับไงล่ะ
เลยให้ลูกน้องอย่างเราโทรไปรับหน้าแทน !!! คือตอนที่มันโวยวายอยู่ เราก็พยายามอธิบายนะคะว่าอะไรเปนอะไร
แต่มันก็ไม่ยอมฟังเอาแต่ด่าลูกเดียว รวมถึงพนักงานของบริษัทนั้นด้วยที่เราได้ยินมาจากโทรศัพท์ที่มันคุยอยู่
แต่มันก็ไม่ยอมฟัง คงเปนเพราะผีเข้าอยู่ล่ะมั๊งคะ ต้องรอผีออกซะก่อน
เรื่องต่อไป เป็นเรื่องผ้าพันคอ ที่เราเอาไปใช้คลุมไหล่ เพราะ ออฟฟิตเรามันเย็นมาก
คือก่อนหน้านั้นเราก็ใช้มาหลายวัน แล้วคุณท่านเจ้านายท่านก็ไม่พูดอะไร
พอดีวันนั้นเป็นวันที่น้องอีกคนลาไปทำธุระ เราก็เลยได้อยู่กับคุณท่านเจ้านายนี้สองคน
เราโดนอีกแล้วค่ะ คุณเอาผ้าพันคอนี้มาจากไหน คุณใช้ผ้าสีนี้เลยหรอ
คุณใช้ผ้าพันคอผืนนี้ไม่ได้ สีเหมือนของคนเก่าเลยนะ อย่าใช้อย่าทำอะไรเหมือนคนเก่า เพราะคนเก่าผมไม่ปลื้ม
แล้วเราก็พูดกลับไปว่า ก็หนูหนาวนี่คะ และก็ไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อ....มาก่อน (พนักงานคนเก่าที่มันบอกว่าไม่ปลื้มนั่นล่ะค่ะ)
แล้วมันก็พูดกลับมาอีกว่า แล้วที่ทำงานเก่าคุณเอาผ้ามาคลุมแบบนี้ปะ แล้วก็เดินขึ้นห้องไป
คิดในใจอีก เอ้าสัส ก็ที่ทำงานเก่ากรูมันไม่เย็นขนาดนี้ไงวะ เป็นบ้าอะไรนักหนา อุณหภูมิห้องปรับอยู่ ที่ 20 องศา
พอเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ทีนี้เรียกเราขึ้นไปคุย เรียกขึ้นไปด่าเรื่องผ้าพันคอ นี้ล่ะค่ะ ใช้เวลาไปประมาณ 3 ชม.
แค่เรื่องผ้าพันคอ และโยงไปอีกเรื่องหลายเรื่อง ทั้งพูดเรื่องพนักงานคนเก่า (ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน)
สรุปวันนั้นเราปวดหัว ไมเกรนขึ้นกลับบ้านไปค่ะ
พอวันรุ่งขึ้นเราก็ไปทำงานตามปกติ มันก็เดินเข้าออฟฟิตแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรื่องต่อไป เป็นเรื่องน้ำหมึกเครื่องถ่ายเอกสารค่ะ สีมันเข้มๆกว่าเดิม ออกมาแบบสีมันจะมืดๆกว่าเดิมนิดหน่อย
มันก็สั่งให้เราทำอีก ว่าให้เราแก้ไขปัญหานี้ เราก็พยายามกดๆอยู่หลายครั้ง แต่เราก็ทำไม่ได้
เราก็ไม่กล้าจะไป set ไปตั้งค่าอะไรเครื่องมากมาย เพราะเครื่องเอกสารนั้นมันต่อเข้ากับระบบเครือข่ายของบริษัท
เราก็กลัวนะซิ เกิดเราไปตั้งค่าหรือกดอะไรผิด ระบบของบริษัท ที่เคยตั้งค่าไว้ก่อนมันจะเพี้ยนไป หรือ ระบบการพริ้นมันจะใช้งานไม่ได้
หรืออาการหนักกว่าเดิม แล้วเราก็แจ้งมันว่าเครื่องถ่ายเอกสารเรายังแก้ไขไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักหลักการทำงานของเครื่อง
เราก็ถามว่าให้เรียกช่างเลยไหม มันก็บอกว่า เรียกทำไมล่ะช่างน่ะ แค่เรื่องเครื่องถ่ายเอกสารแค่นี้คุณแก้ไขยังไม่ได้
แล้วคุณจะทำอะไรได้บ้าง บลาๆๆๆๆ สุดท้ายก็เดินไปหาคู่มือการใช้งาน เพราะมันก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน แต่สุดท้ายคู่มือนั้นเป็นภาษาอังกฤษ
มันก็พูดว่า เอาน่าเดี๋ยวผมค่อยอ่านให้ เดี๋ยวผมจัดการเอง (มันพูดแบบนี้นะคะ)
พอเวลาผ่านไป 1 วัน ทีนี้ทวงงานค่ะ ถามเรื่องเครื่องถ่ายเอกสาร เราก็บอกไปว่ายังไม่ได้ ทีนี้ด่าเราอีกค่ะ บลาๆๆๆ เยอะแยะไปหมด
เราก้ได้แค่คิดในใจว่า ก็พูดว่าจะจัดการเอง แล้วมาด่ากรูนี่นะ สัส
แล้วมันก็พูดว่า คุณจะคอยที่จะพึ่งพาแต่ผมมันไม่ได้หรอกนะ ผมก็มีงานที่ผมต้องทำต้องรับผิดชอบ
ก็คิดในใจอีก เคยพูดว่าไงสัส เคยพูดว่าจะจัดการเองไม่ใช่หรอ กรูจะเรียกช่างก็ไม่ให้กรูเรียก ต้องการอะไรจากกรู
สุดท้าย เรื่องเครื่องถ่ายเอกสารนี้ ก็จบด้วยการเรียกช่างมาค่ะ เพราะมันก็ไม่มีปัญญาจัดการปัญหานั้น
ส่วนเรานะหรอตอนนั้นทำงานได้ประมาณ 1 เดือน ค่ะ
พอเริ่มจะเดือนที่ 2 เดือนที่ 3 เริ่มออกลายเยอะขึ้นทุกวัน สารพัดเรื่องราวต่าง
ทั้งหงุดหงิดมาจากข้างนอกบ้างล่ะ แล้วเอามาลงมาระบายกับเราบ้างล่ะ
บางทีบอกว่าขึ้นมาคุยเรื่องงานกันหน่อยซิ แต่พอขึ้นไปไม่ได้คุยเรื่องงานเลยค่ะ เรื่องด่าชาวบ้านบ้างล่ะ
ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ไม่พอใจคนข้างบ้านบ้างล่ะ สารพัดจริงๆ
และปัญหาแบบนี้ก็มีมาตลอดเกือบทุกวัน บางวันขึ้นไปตั้งแต่ประมาณบ่าย 2 ถึง 5 โมงครึ่งหรือเกือบ 6 โมงเยน
อาทิตย์หนึ่งทำงาน 5 วัน โดนแบบนี้ไปประมาณ 4 วัน เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆตลอด
โดนด่า โดนว่า โดนดูถูก ทุกวัน ขอย้ำว่าทุกวันจริงๆ ถ้าวันไหนเราไม่โดนสักหน่อยเนี่ยแบบว่าฝนตกหนักทุกที
และเรื่องพีคที่สุด ที่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่า ไม่ไหวแล้ว กรูไม่ไหวกับคนแบบนี้อีกแล้ว
คือ วันนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันศุกร์ เรื่องมันมีอยู่ว่า
คุณท่านเจ้านายคนนี้ล่ะค่ะ เดินเข้ามาในออฟฟิตนี่แหละค่ะ ก็เดินเข้ามาปกติเหมือนกับทุกวัน
เราก็ไม่รู้อ่ะเนอะว่าเขาจะหงุดหงิดอะไรมาจากไหนหรือเปล่า เราก็ทักทายไปตามปกติค่ะ
เราก็มองหน้าปกติ เพื่อที่จะชวนคุยเหมือนกับทุกวัน
แต่วันนั้นมันไม่เหมือนทุกวันนะซิคะ พอเรามองหน้ามันก็ไม่คุยด้วย แล้วมันก็จ้องหน้าเราเหมือนจะกินเรา
หรือเหมือนจะฆ่าเราให้ตายเลยวันนั้น มันพูดออกมาแบบน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว หรือเกลียดเรามาจากไหนก็ไม่รู้ว่า
B. : I คุณมองหน้าผมคุณมีอะไร
I : เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แล้วนั่งหันหลังให้ทำงานต่อ
B. : I คุณ มองหน้าผมมีอะไร (พูดเสียงดัง แบบตะคอก ตาแทบจะถลุนออกมาก็ว่าได้ สายตาที่มองเหมือนโคตรเกลียดแค้นมาจากไหนก็ไม่รู้)
I : ป่าวนี่คะไม่มีอะไร
B. : ไม่มีอะไรแล้วมองหน้าผมทำไม
I : เอ้าา!!!
คิดในใจ ไม่ให้กรูมองหน้า จะให้กรูมองหัวหรอ? (งงเลยกรู)
หลังจากที่โดนว่าไปเมื่อวันศุกร์นั้น วันจันทร์ ก็ ไม่อยากตื่นไปทำงานเลยค่ะ
แต่เราก็ใจพยายามจะสู้ไว้ เพราะเราก็ต้องหาเงินเพื่อไปช่วยแบ่งเบาพ่อกับแม่
เราลาออกไปก็สงสารพ่อกับแม่ เราก็ต้องมาขอเงินพ่อกับแม่แกใช้อีก จนกว่าจะได้งานใหม่
ซึ่งในแต่ละครั้งที่เราขอเงินพ่อกับแม่เราก็รู้สึกผิดทุกครั้ง
แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำแต่งตัว เดินออกไปขึ้นรถนั่งรถไปทำงาน
แต่ตอนนั้นที่นั่งรถไปคือใจน่ะ คือไม่อยากลงไปจากรถเลยจริง ๆ ไม่อยากเข้าไปยังที่ๆตรงนั้น
ไม่อยากเข้าไปพบหน้ามัน ไม่อยากเห็นหน้ามันคนนั้น ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยอะไรอีกแล้ว
แต่เราก็ตัดสินใจลงจากรถเพื่อเข้าไปที่ออฟฟิตนั้น แต่อารมณ์มันก็ไม่เย็นลง ความรู้สึกมันไม่ดีขึ้น
ตอนนั้นที่เข้าไป เรานั่งอยู่ประมาณ 2 ชม. ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร อยากทำอะไรเลย
แล้วก็ตัดสินใจเดินออกมา โดยที่ตัดสินใจคือ ออกจากงานนั้นเช่นเดียวกัน
พอตอนเยนมีน้องที่ออฟฟิตโทรมาคุย บอกให้ใจเยนๆ แต่ตอนนั้นเราก้ตัดสินใจไปแล้ว
และน้องคนนั้นก็บอกว่า พรุ่งนี้เจ้านายแกไม่อยู่
เราก็เออตัดสินใจเข้าไปอีกครั้ง ครั้งสุดท้าย งานของเราที่เรารับผิดชอบมันยังไม่เสร็จ จะเข้าไปเคลียร์งานให้เสร็จๆ และจบๆไป
รวมทั้งเขียนใบลาออก เซ็นใบลาออก วันนั้นก็วันสุดท้ายที่เราเข้าไปเหยียบบริษัทแห่งนั้น
พอตัดสินใจลาออกที่นี้เราก็เครียดมากอีก คือ คิดว่า จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าห้องที่พัก จ่ายค่าลงทะเบียน และค่าใช้จ่ายอีกมากมาย
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก อยู่ไปเราก็ก็ปวดหัว คือเรากลายเป็นคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดทุกวันไม่ค่อยยิ้มตั้งแต่เราเข้าทำงานที่นี่
เลยตัดสินใจลาออกดีกว่า ค่อยหางานใหม่เอา
แล้วก็ได้โทรหาแม่ ตลอดเวลาที่เราทำงานที่นี่ ส่วนมากแล้วเราก็จะโทรคุยโทรปรึกษากับพ่อกับแม่เราตลอด
หลังจากที่ลาออก เราก็โทรหาพ่อกับแม่เช่นเดียวกัน เล่าทุกอย่าง พูดทุกอย่างให้ท่านฟัง
แล้วเราก็พูดว่า แม่ลูกเครียด ลูกหนื่อยจังเลย ลูกอยากพัก ตอนแรกกพูดกับแม่ถึงขั้นอยากจะไปบวชชีอยากไปอยู่วัดเลยนะ 555++
(รู้สึกอาการตัวเองหนักมาก) แต่จะทำยังไงได้ละก็บ้านเรามันจนนี่นา
แม่ก็พูดกลับมาว่า กลับบ้านเราไหม?? เราก็บอกว่าถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวขอไปเก็บของก่อนนะ แล้วเราก็ขึ้นรถกลับบ้านเยนนั้นเลย
พอกลับบ้าน ถึงบ้าน แม่ก็พูดว่า ดีขึ้นหรือยัง อย่าไปเครียด ทุกเรื่องมีทางออกเสมอ
ถ้าหากเรื่องบางเรื่องเราคิดว่ามันไม่มีทางออก เราก็แค่ออกทางที่เราเข้า ยังไงแม่กับพ่อก็อยู่ข้างอยู่แล้ว เรานี้แบบว่าน้ำตาไหลพรากเลย
พอกลับไปอยู่บ้านได้อาทิตย์นึง เพราะคิดแต่เรื่องจะต้องขึ้นมาหางานทำ เพื่อที่จะเก็บเงินไว้จ่ายค่าเทอมและค่าห้อง
คือเราไม่อยากจะขอ อยากจะรบกวนเงินของพ่อกับแม่เลยจริงๆ เพราะท่านให้เงินเรามามากเหลือเกิน
เราอยากจะใช้หนี้สินของพ่อแม่ให้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเราเป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ความฝันเราจะเป็นจริง
ทั้งเรื่องค่าเทอมเรา และเราก็อยากให้น้องทั้งสองคนของเราได้เรียนต่อด้วย และอีกหลายเรื่องอีกมากมาย
แต่เราก็ตัดสินใจลาออกมาเพราะ ถ้าหากอยู่ต่อไปเราต้องเป้นบ้าแน่ๆ อยู่ไปมันก็เสียสุขภาพจิตไปป่าวๆ
จนบัดนี้เราก็ยังหางานใหม่ไม่ได้เลย เพราะความรู้สึกเบื่อในงานประจำนี่แหละ เราก็กลัวที่จะไปพบเจอเจ้านายเหมือนที่ผ่านมาอีก
จู้จี้จุกจิก ขี้บ่น ขี้โวยวาย ไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผล อารมณ์ขึ้นๆลงๆ หรือ แบบลักษณะข้างบนตามเรื่องราวต่างๆด้านบน
อ่า ลืมบอกไป เจ้านายเราคนนี้ อายุประมาณ 40 กว่าๆ ยังไม่มีลูกไม่มีเมีย เป็นผู้ชายค่ะ แท้หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ใครมีงานอะไร ช่วยแนะนำบ้างนะ หรือ งานออฟฟิต หรืองานอะไรก็ได้ค่ะ
เรื่องอาจจะวกวน หรือ มีข้อผิดพลาดประการใจต้องขอโทษด้วยนะคะ