เปิดฉากละครได้อลัง แอบขัดใจเล็กๆฉากที่เซ็นเซอร์ขโมยตอนขโมยของ
แต่ไม่ว่าจะฉากรบ ฉากรำ มันใช่ ขนลุก อลัง
คุณอุบล คุณนุ่นเลอค่ามาก มีร้อยให้ร้อยเลย ยิ่งฉากรำยิ่งใช่ พอฉากถูกตัดคอแสดงอารมณ์ขนลุกสุด
คุณพระ พี่ป้องโดนมาก เชื่อว่าเป็นทหารจริงๆ ดูตอนแรกจบ เกลียดคุณพระเลย 555+
ใครยังไม่ดู ดูเถอะ ละครดี แม้จะไม่ใช่ช่องหลักแต่งานละเมียดจริงๆ
แอบแปะความอาถรรพ์ของละคร


คลิปสัมตั้งแต่ นาทีที่ 15.11
เพิ่มเติมเกร็ดความรู้ (เคดิตFB คุณ Ju Nkt และคุณ Ju Jamนะคะ)
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม “พิษสวาท” ตอน ๑ เรื่องของพระเจ้าเอกทัศน์
พระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์ที่ ๓๔ แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา พระองค์เป็นพระโอรสของ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับพระพันวสาน้อย และเป็นพี่ชายของพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร
ย้อนไปเมื่อครั้งที่ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงครองราชย์ บ้านเมืองถูกขนานนามว่าเป็นยุคทองของกรุงศรีฯ แต่ภายใต้ความรุ่งเรืองนั้น ก็มีความขัดแย้งกันอยู่ โดยเฉพาะในสมัยปลายรัชกาล นั่นเพราะพระโอรสที่ต่างได้รับแต่งตั้งทรงกรมต่างๆ ต่างก็มีความกระหายในอำนาจ
เจ้าฟ้ากุ้ง หรือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ (พระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับพระพันวสาใหญ่) รัชทายาทที่ถูกกำหนดให้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ถูกใส่ร้ายโดยเจ้าสามกรม (น้องชายต่างมารดา) ว่าคบชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลย์ พระสนมเอก (เจ้าฟ้าสังวาล มีธิดากับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 2 พระองค์คือ เจ้าฟ้าหญิงมงกุฏ และเจ้าฟ้าหญิงกุณฑล ) ทั้งคู่ถูกทำโทษจนสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
เมื่อเจ้าฟ้ากุ้งสิ้นลง พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็ตั้งพระทัยให้เจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์ เมื่อพระองค์สวรรคต เหล่าเสนาอมาตย์ ก็สถาปนา เจ้าฟ้าอุทุมพร ขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร ทุกคนต่างก็มาแสดงตนเพื่อความภักดีและยอมรับ ยกเว้นพระเชษฐา คือเจ้าฟ้าเอกทัศน์
มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งเจ้าฟ้าเอกทัศน์ เดินเข้ามาในพระราชมณเฑียรของพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรพร้อมด้วยดาบ เจ้าฟ้าอุทุมพร ซึ่งไม่อยากหักหาญน้ำใจกับพี่ชาย ก็เลยยกราชบัลลังก์ให้แต่โดยดี แล้วหนีไปผนวช
เจ้าฟ้าเอกทัศน์ จึงทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อยุธยาองค์ต่อมา ซึ่ง ในพงศาวดารบางฉบับเรียก พระเจ้าเอกทัศน์ มีที่มาจากพระนามเดิมในสมัยเป็นเจ้าฟ้า เหตุที่ชื่อเอกทัศน์ เชื่อว่า พระองค์ทรงมีพระเนตรบอดไปหนึ่งข้าง บางฉบับ เรียกพระองค์ว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินททร์ ที่เรียกดังนี้ เพราะ พระองค์ทรงโปรดที่จะประทับอยู่ที่พระที่นั่งนี้ และอีกชื่อ ปรากฏใน คำให้การชาวกรุงเก่า ที่บันทึกโดยพม่า เรียกพระองค์ว่า ขุนหลวงขี้เรื้อน คำนี้ นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า มาจากพระองค์ป่วยเป็นโรคเรื้อน แต่บางท่าน เชื่อว่า มาจากการที่พระองค์มักไม่ปรากฏพระองค์ ราวกับทรงป่วยเป็นโรคเรื้อน หรือเรียกง่ายๆ ว่าทรงเก็บตัวจนชาวบ้านนินทาว่าเป็นโรคร้าย
ในสมัยของพระองค์ แรกๆ เปลือกนอกของบ้านเมืองยังดีอยู่ หากว่า พม่าไม่เข้มแข็งและพยายามขยายอำนาจเข้ามาเราจะไม่เห็นถึงความเปราะบางของกรุงศรีฯ จุดอ่อนของความสงบสุขที่ยาวนาน คือ ความนิ่งนอนใจ ทหารไม่ได้พัฒนาฝีมือ ขุนนางใหญ่โตจนผูกขาดอำนาจ ซึ่งนำมาซึ่งการคอรัปชั่นในรูปแบบต่างๆ กระทั่ง วันหนึ่ง พระเจ้าอลองพญา บุกตีอยุธยา ถึงกำแพงเมือง ขุนนางที่เชื่อในฝีมือของพระเจ้าอุทุมพร ก็ขอให้พระเจ้าเอกทัศน์ไปทูลเชิญให้ลาผนวช ซึ่งพระเจ้าอุทุมพรก็ลาผนวชมาสู้กับพม่า โดยหวังว่า พี่ชายจะยกสมบัติคืนให้
อาจจะด้วยชะตาของอยุธยายังไม่เสียทีต่อพม่า พระเจ้าอลองพญาป่วย (บ้างว่าป่วยเอง บ้างว่าต้องปืนใหญ่) จึงยกทัพกลับ อยุธยาชนะศึก ผู้คนก็ยังหลงระเริงอำนาจต่อ ขณะที่...พระเจ้าอุทุมพร จะเดินไปรับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ เพราะชนะศึกแล้ว พระเจ้าเอกทัศน์กลับนั่งที่บัลลังค์และวางพระขรรค์พาดไว้ที่พระชานุ พระเจ้าอุทุมพรเลยออกผนวชอีกครั้ง
เหตุการณ์จากวรรณกรรม “พิษสวาท” ทำให้การเขียนบทโทรทัศน์ เริ่มขึ้นตรงนี้ ในช่วงที่ บ้านเมืองกำลังเกิดศึก อลองพญา เราจับเหตุการณ์จากพงศาวดารว่า พม่ายิงปืนใหญ่ถูกยอดปราสาทของพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์หักพังลงมา ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับคนกรุงศรีฯ รายละเอียดของวัฒนธรรมในช่วงนั้น ในบันทึกพงศาวดารระบุอยู่บ้างว่า อยุธยามีพิธีกรรมในการออกศึก ดังนั้น เราจะเห็นตัวเอกรำบวงสรวงในระหว่างที่กำลังเกิดศึกสงคราม
นักประวัติศาสตร์หลายท่าน มองว่า พระเจ้าเอกทัศน์คือจุดอ่อนของกรุงศรีฯ นำพาให้บ้านเมืองย่อยยับ แต่ก็ไม่นักประวัติศาสตร์ไม่น้อย ที่บอกว่า ระบบการปกครองและคนกรุงศรีฯ เองต่างหากที่พากันทำให้แผ่นดินย่อยยับร่วมกัน ดังเช่น สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน
วรรณกรรมเรื่อง “พิษสวาท” ระบุบุคลิกของพระเจ้าเอกทัศน์ไว้ในช่วงหนึ่ง เมื่อตอนที่สั่งเสียให้ตัวเอก รักษาสมบัติของแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน คำพูดที่แทรกไว้เพียง สี่ห้าบรรทัดนั้น มันแสดงให้เห็นว่า ไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่อยากจะให้บ้านเมืองล่มจมลง ทุกพระองค์ล้วนรักแผ่นดินและลูกหลานของพระองค์เสมอ
ในบทโทรทัศน์ มีฉากของพระองค์ไม่มาก แต่ทีมบทก็ต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก ทั้งสอบถามผู้รู้ อาจารย์และนักวิชาการ เพื่อให้เหมาะสมกับพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน เราทราบในพงศาวดารว่า กษัตริย์ในสมัยกรงศรีฯ ถูกเอ่ยพระนามว่า “พ่ออยู่หัว” (ในปัจจุบัน พระราชินี ก็ทรงเรียกในหลวงว่า พระเจ้าอยู่หัว) แต่ในบันทึกคำให้การชาวกรุงเก่า ปรากฏว่า มีการเรียกกษัตริย์ในสมัยอยุธยา ๒ พระองค์ว่า ขุนหลวงหาวัด (พระเจ้าอุทุมพร เพราะผนวชและเปลี่ยนวัดบ่อย) และขุนหลวงขี้เรือน
ความรู้ตรงนี้ มันทำให้เรามองภาพรวมของชาวกรุงเก่า กับราชสำนักกรุงเก่า เท่าๆ กับยุคปัจจุบัน ในราชสำนักยังคงเรียก พระเจ้าอยู่หัว ว่า “พระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งในสมัยอยุธยา ก็คงเรียก “พ่ออยู่หัว” ในราชสำนักเช่นกัน แต่ชาวบ้าน น่าจะเรียก กษัตริย์ของพวกเขา เช่นเดียวกับยุคเรา คือเรียกในหลวง... เป็น ขุนหลวง ก็ได้
พิษสวาท ไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ไกลไปถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตัวละครที่พูดถึงมีเพียงพระเจ้าเอกทัศน์เท่านั้น แต่การได้เรียนรู้ ประวัติของตัวละครที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง แม้เพี้ยงเสียวเดียวของฉาก มันจะขยายเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมีเหตุและผล
เดี๋ยวพรุ่งนี้ มาดูกันว่า เหตุและผลจากการร่ายยาวไปถึงประวัติของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มันมีเหตุและผลอย่างไรกับตัวละครอื่นๆ ... วันนี้ แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ อยากรู้เพิ่มเติมสอบถามได้ค่ะ ถ้าตอบไม่ได้จะสอบถามผู้รู้ให้ค่ะ
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม “พิษสวาท” (บทประพันธ์โดย ทมยันตี) ตอน ๒ เรื่องของพระอรรคราชบดินทร์ ตัวเอกในเรื่อง
หลังจากที่เมื่อวานนี้ ได้เล่าถึงพระเจ้าเอกทัศน์ ตัวละครสำคัญที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมแค่ ๔-๕ บรรทัด วันนี้มาดูเรื่องราวของ พระอรรคราชบดินทร์ ดูว่า มันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงอยุธยาตอนปลายอย่างไร
ในหนังสือนิยาย ระบุว่า อัคนี ตัวเอกของเรื่อง มีอดีตเป็นขุนศึก และไม่ได้ระบุชื่อ เราจึงใช้ชื่อ “อรรค” ในภาคอดีตของตัวเอก แล้วตัวเอกที่เป็นขุนศึก มันมีที่ไปที่มาอย่างไร ในหนังสือมีกล่าวถึงตระกูลฝ่ายขุนศึกตัวนี้ ในหน้าที่ ๑๙๕ ของหนังสือนิยายพิษสวาท พิมพ์ครั้งที่ ๔ ปี ๒๕๓๔ สรุปความว่า มีห้องหนังสือเก็บตำราต่างๆ ไว้มากมาย ตระกูลขุนศึกผู้นี้ทำงานในส่วนของ กรมศักดิ์ หลักชัย พระอัยการ
จากข้อความสองบรรทัดนี้ เล่นเอามึน พระอัยการคือใคร... สืบค้นไปได้ว่า ตระกูลของขุนศึกคนนี้ เกี่ยวข้องกับกรมวัง ซึ่งเจ้ากรมคือ พระยาธรรมาธิกรณ์ ซึ่งทำหน้าที่ในการตัดสินคดี และการตัดสินคดีในสมัยอยุธยา มีลูกขุน ณ ศาลหลวง อยู่ด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ของลูกขุน ณ ศาลหลวง คือ พราหมณ์ ซึ่งถือเป็นปราชญ์ในสมัยนั้น
โอเค....เป็นอันว่า ตระกูลของขุนศึกผู้นี้ เกี่ยวข้องกับกรมวัง เราจึงอนุมานพ่อของขุนศึกผู้นี้ เป็นพระยาธรรมาธิกรณ์ ซึ่งน่าจะมีเชื้อสายตระกูลเป็นพราหมณ์มาก่อน
จากสองบรรทัดนี้ เราขยายตัวละครได้ ๒ ตัว คือ พระอรรคราชบดินทร์ และ พระโหราจารย์ผู้เป็นพราหมณ์
(เราสร้างตัวละคร พระโหราจารย์ขึ้นมาเพื่อ ให้ตัวละครนี้ใกล้ชิดกับพระเจ้าเอกทัศน์ เพื่อจะนำไปสู่ ความใกล้ชิดของตัวเอกกับพระเจ้าแผ่นดิน แต่ตัด พ่อของตัวเอกไป ไม่กล่าวถึง)
และความใกล้ชิดนี้ มาจากที่เราค้นประวัติศาสตร์ของพระเจ้าเอกทัศน์ แล้วพบว่า พระพันวสาน้อย พระมารดาของพระเจ้าเอกทัศน์ คือ กรมหลวงพิพิธมนตรี เป็นบุตรีนายทรงบาศก์ขวากรมช้าง มีตำแหน่งเป็นพระบำเรอภูธร รับราชการมาตั้งแต่สมัยพระเพทราชา แต่ถูกประหารในสมัยพระเจ้าเสือ ส่วนมารดาของท่าน (ยายของพระเจ้าเอกทัศน์) มีเชื้อสายพราหมณ์บ้านสมอพลือ เมืองเพชรบุรี
นี่เป็นความลงตัวอย่างเหลือเชื่อ เมื่อความเกี่ยวพันระหว่าง พระเจ้าเอกทัศน์กับตัวละครที่เราสร้างขึ้น (พระโหราจารย์) จากสองบรรทัดในหนังสือ ทำให้ได้รับคำตอบว่า เพราะเหตุใด พระเจ้าเอกทัศน์ จึงเลือกขุนศึกผู้นี้ ให้รับผิดชอบเก็บรักษาทรัพย์แผ่นดิน หรือจะพูดให้ชัดยิ่งขึ้นคือ พระโหราจารย์ และขุนศึกตัวละครเอก ซึ่งเราตั้งชื่อว่า พระอรรคราชบดินทร์ คือ ญาติทางฝั่งพระมารดาของพระเจ้าเอกทัศน์นั่นเอง
เพราะความเป็นพระญาตินี้เอง ทำให้เรากระจ่างในหลายๆ เรื่อง ว่า เหตุใด ขุนศึกผู้นี้ มีที่ดินใกล้วัง ตามบทประพันธ์ และเหตุใดขุนศึกผู้นี้มีวัดประจำตระกูลตามบทละครโทรทัศน์ และเหตุใดขุนศึกผู้นี้เลื่อนยศแบบก้าวกระโดด เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ จากเหตุและผลที่กล่าวมา
มีต่อที่คห.
พิษสวาท .... ด้วยความรัก ความแค้น (พร้อมเกร็ดความรู้เพิ่มเติมจากละครนะคะ)
แต่ไม่ว่าจะฉากรบ ฉากรำ มันใช่ ขนลุก อลัง
คุณอุบล คุณนุ่นเลอค่ามาก มีร้อยให้ร้อยเลย ยิ่งฉากรำยิ่งใช่ พอฉากถูกตัดคอแสดงอารมณ์ขนลุกสุด
คุณพระ พี่ป้องโดนมาก เชื่อว่าเป็นทหารจริงๆ ดูตอนแรกจบ เกลียดคุณพระเลย 555+
ใครยังไม่ดู ดูเถอะ ละครดี แม้จะไม่ใช่ช่องหลักแต่งานละเมียดจริงๆ
แอบแปะความอาถรรพ์ของละคร
คลิปสัมตั้งแต่ นาทีที่ 15.11
เพิ่มเติมเกร็ดความรู้ (เคดิตFB คุณ Ju Nkt และคุณ Ju Jamนะคะ)
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม “พิษสวาท” ตอน ๑ เรื่องของพระเจ้าเอกทัศน์
พระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์ที่ ๓๔ แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา พระองค์เป็นพระโอรสของ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับพระพันวสาน้อย และเป็นพี่ชายของพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร
ย้อนไปเมื่อครั้งที่ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงครองราชย์ บ้านเมืองถูกขนานนามว่าเป็นยุคทองของกรุงศรีฯ แต่ภายใต้ความรุ่งเรืองนั้น ก็มีความขัดแย้งกันอยู่ โดยเฉพาะในสมัยปลายรัชกาล นั่นเพราะพระโอรสที่ต่างได้รับแต่งตั้งทรงกรมต่างๆ ต่างก็มีความกระหายในอำนาจ
เจ้าฟ้ากุ้ง หรือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ (พระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับพระพันวสาใหญ่) รัชทายาทที่ถูกกำหนดให้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ถูกใส่ร้ายโดยเจ้าสามกรม (น้องชายต่างมารดา) ว่าคบชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลย์ พระสนมเอก (เจ้าฟ้าสังวาล มีธิดากับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ 2 พระองค์คือ เจ้าฟ้าหญิงมงกุฏ และเจ้าฟ้าหญิงกุณฑล ) ทั้งคู่ถูกทำโทษจนสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
เมื่อเจ้าฟ้ากุ้งสิ้นลง พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็ตั้งพระทัยให้เจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์ เมื่อพระองค์สวรรคต เหล่าเสนาอมาตย์ ก็สถาปนา เจ้าฟ้าอุทุมพร ขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร ทุกคนต่างก็มาแสดงตนเพื่อความภักดีและยอมรับ ยกเว้นพระเชษฐา คือเจ้าฟ้าเอกทัศน์
มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งเจ้าฟ้าเอกทัศน์ เดินเข้ามาในพระราชมณเฑียรของพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรพร้อมด้วยดาบ เจ้าฟ้าอุทุมพร ซึ่งไม่อยากหักหาญน้ำใจกับพี่ชาย ก็เลยยกราชบัลลังก์ให้แต่โดยดี แล้วหนีไปผนวช
เจ้าฟ้าเอกทัศน์ จึงทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อยุธยาองค์ต่อมา ซึ่ง ในพงศาวดารบางฉบับเรียก พระเจ้าเอกทัศน์ มีที่มาจากพระนามเดิมในสมัยเป็นเจ้าฟ้า เหตุที่ชื่อเอกทัศน์ เชื่อว่า พระองค์ทรงมีพระเนตรบอดไปหนึ่งข้าง บางฉบับ เรียกพระองค์ว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินททร์ ที่เรียกดังนี้ เพราะ พระองค์ทรงโปรดที่จะประทับอยู่ที่พระที่นั่งนี้ และอีกชื่อ ปรากฏใน คำให้การชาวกรุงเก่า ที่บันทึกโดยพม่า เรียกพระองค์ว่า ขุนหลวงขี้เรื้อน คำนี้ นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า มาจากพระองค์ป่วยเป็นโรคเรื้อน แต่บางท่าน เชื่อว่า มาจากการที่พระองค์มักไม่ปรากฏพระองค์ ราวกับทรงป่วยเป็นโรคเรื้อน หรือเรียกง่ายๆ ว่าทรงเก็บตัวจนชาวบ้านนินทาว่าเป็นโรคร้าย
ในสมัยของพระองค์ แรกๆ เปลือกนอกของบ้านเมืองยังดีอยู่ หากว่า พม่าไม่เข้มแข็งและพยายามขยายอำนาจเข้ามาเราจะไม่เห็นถึงความเปราะบางของกรุงศรีฯ จุดอ่อนของความสงบสุขที่ยาวนาน คือ ความนิ่งนอนใจ ทหารไม่ได้พัฒนาฝีมือ ขุนนางใหญ่โตจนผูกขาดอำนาจ ซึ่งนำมาซึ่งการคอรัปชั่นในรูปแบบต่างๆ กระทั่ง วันหนึ่ง พระเจ้าอลองพญา บุกตีอยุธยา ถึงกำแพงเมือง ขุนนางที่เชื่อในฝีมือของพระเจ้าอุทุมพร ก็ขอให้พระเจ้าเอกทัศน์ไปทูลเชิญให้ลาผนวช ซึ่งพระเจ้าอุทุมพรก็ลาผนวชมาสู้กับพม่า โดยหวังว่า พี่ชายจะยกสมบัติคืนให้
อาจจะด้วยชะตาของอยุธยายังไม่เสียทีต่อพม่า พระเจ้าอลองพญาป่วย (บ้างว่าป่วยเอง บ้างว่าต้องปืนใหญ่) จึงยกทัพกลับ อยุธยาชนะศึก ผู้คนก็ยังหลงระเริงอำนาจต่อ ขณะที่...พระเจ้าอุทุมพร จะเดินไปรับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ เพราะชนะศึกแล้ว พระเจ้าเอกทัศน์กลับนั่งที่บัลลังค์และวางพระขรรค์พาดไว้ที่พระชานุ พระเจ้าอุทุมพรเลยออกผนวชอีกครั้ง
เหตุการณ์จากวรรณกรรม “พิษสวาท” ทำให้การเขียนบทโทรทัศน์ เริ่มขึ้นตรงนี้ ในช่วงที่ บ้านเมืองกำลังเกิดศึก อลองพญา เราจับเหตุการณ์จากพงศาวดารว่า พม่ายิงปืนใหญ่ถูกยอดปราสาทของพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์หักพังลงมา ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับคนกรุงศรีฯ รายละเอียดของวัฒนธรรมในช่วงนั้น ในบันทึกพงศาวดารระบุอยู่บ้างว่า อยุธยามีพิธีกรรมในการออกศึก ดังนั้น เราจะเห็นตัวเอกรำบวงสรวงในระหว่างที่กำลังเกิดศึกสงคราม
นักประวัติศาสตร์หลายท่าน มองว่า พระเจ้าเอกทัศน์คือจุดอ่อนของกรุงศรีฯ นำพาให้บ้านเมืองย่อยยับ แต่ก็ไม่นักประวัติศาสตร์ไม่น้อย ที่บอกว่า ระบบการปกครองและคนกรุงศรีฯ เองต่างหากที่พากันทำให้แผ่นดินย่อยยับร่วมกัน ดังเช่น สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน
วรรณกรรมเรื่อง “พิษสวาท” ระบุบุคลิกของพระเจ้าเอกทัศน์ไว้ในช่วงหนึ่ง เมื่อตอนที่สั่งเสียให้ตัวเอก รักษาสมบัติของแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน คำพูดที่แทรกไว้เพียง สี่ห้าบรรทัดนั้น มันแสดงให้เห็นว่า ไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่อยากจะให้บ้านเมืองล่มจมลง ทุกพระองค์ล้วนรักแผ่นดินและลูกหลานของพระองค์เสมอ
ในบทโทรทัศน์ มีฉากของพระองค์ไม่มาก แต่ทีมบทก็ต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก ทั้งสอบถามผู้รู้ อาจารย์และนักวิชาการ เพื่อให้เหมาะสมกับพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน เราทราบในพงศาวดารว่า กษัตริย์ในสมัยกรงศรีฯ ถูกเอ่ยพระนามว่า “พ่ออยู่หัว” (ในปัจจุบัน พระราชินี ก็ทรงเรียกในหลวงว่า พระเจ้าอยู่หัว) แต่ในบันทึกคำให้การชาวกรุงเก่า ปรากฏว่า มีการเรียกกษัตริย์ในสมัยอยุธยา ๒ พระองค์ว่า ขุนหลวงหาวัด (พระเจ้าอุทุมพร เพราะผนวชและเปลี่ยนวัดบ่อย) และขุนหลวงขี้เรือน
ความรู้ตรงนี้ มันทำให้เรามองภาพรวมของชาวกรุงเก่า กับราชสำนักกรุงเก่า เท่าๆ กับยุคปัจจุบัน ในราชสำนักยังคงเรียก พระเจ้าอยู่หัว ว่า “พระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งในสมัยอยุธยา ก็คงเรียก “พ่ออยู่หัว” ในราชสำนักเช่นกัน แต่ชาวบ้าน น่าจะเรียก กษัตริย์ของพวกเขา เช่นเดียวกับยุคเรา คือเรียกในหลวง... เป็น ขุนหลวง ก็ได้
พิษสวาท ไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ไกลไปถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตัวละครที่พูดถึงมีเพียงพระเจ้าเอกทัศน์เท่านั้น แต่การได้เรียนรู้ ประวัติของตัวละครที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง แม้เพี้ยงเสียวเดียวของฉาก มันจะขยายเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมีเหตุและผล
เดี๋ยวพรุ่งนี้ มาดูกันว่า เหตุและผลจากการร่ายยาวไปถึงประวัติของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มันมีเหตุและผลอย่างไรกับตัวละครอื่นๆ ... วันนี้ แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ อยากรู้เพิ่มเติมสอบถามได้ค่ะ ถ้าตอบไม่ได้จะสอบถามผู้รู้ให้ค่ะ
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม “พิษสวาท” (บทประพันธ์โดย ทมยันตี) ตอน ๒ เรื่องของพระอรรคราชบดินทร์ ตัวเอกในเรื่อง
หลังจากที่เมื่อวานนี้ ได้เล่าถึงพระเจ้าเอกทัศน์ ตัวละครสำคัญที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมแค่ ๔-๕ บรรทัด วันนี้มาดูเรื่องราวของ พระอรรคราชบดินทร์ ดูว่า มันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงอยุธยาตอนปลายอย่างไร
ในหนังสือนิยาย ระบุว่า อัคนี ตัวเอกของเรื่อง มีอดีตเป็นขุนศึก และไม่ได้ระบุชื่อ เราจึงใช้ชื่อ “อรรค” ในภาคอดีตของตัวเอก แล้วตัวเอกที่เป็นขุนศึก มันมีที่ไปที่มาอย่างไร ในหนังสือมีกล่าวถึงตระกูลฝ่ายขุนศึกตัวนี้ ในหน้าที่ ๑๙๕ ของหนังสือนิยายพิษสวาท พิมพ์ครั้งที่ ๔ ปี ๒๕๓๔ สรุปความว่า มีห้องหนังสือเก็บตำราต่างๆ ไว้มากมาย ตระกูลขุนศึกผู้นี้ทำงานในส่วนของ กรมศักดิ์ หลักชัย พระอัยการ
จากข้อความสองบรรทัดนี้ เล่นเอามึน พระอัยการคือใคร... สืบค้นไปได้ว่า ตระกูลของขุนศึกคนนี้ เกี่ยวข้องกับกรมวัง ซึ่งเจ้ากรมคือ พระยาธรรมาธิกรณ์ ซึ่งทำหน้าที่ในการตัดสินคดี และการตัดสินคดีในสมัยอยุธยา มีลูกขุน ณ ศาลหลวง อยู่ด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ของลูกขุน ณ ศาลหลวง คือ พราหมณ์ ซึ่งถือเป็นปราชญ์ในสมัยนั้น
โอเค....เป็นอันว่า ตระกูลของขุนศึกผู้นี้ เกี่ยวข้องกับกรมวัง เราจึงอนุมานพ่อของขุนศึกผู้นี้ เป็นพระยาธรรมาธิกรณ์ ซึ่งน่าจะมีเชื้อสายตระกูลเป็นพราหมณ์มาก่อน
จากสองบรรทัดนี้ เราขยายตัวละครได้ ๒ ตัว คือ พระอรรคราชบดินทร์ และ พระโหราจารย์ผู้เป็นพราหมณ์
(เราสร้างตัวละคร พระโหราจารย์ขึ้นมาเพื่อ ให้ตัวละครนี้ใกล้ชิดกับพระเจ้าเอกทัศน์ เพื่อจะนำไปสู่ ความใกล้ชิดของตัวเอกกับพระเจ้าแผ่นดิน แต่ตัด พ่อของตัวเอกไป ไม่กล่าวถึง)
และความใกล้ชิดนี้ มาจากที่เราค้นประวัติศาสตร์ของพระเจ้าเอกทัศน์ แล้วพบว่า พระพันวสาน้อย พระมารดาของพระเจ้าเอกทัศน์ คือ กรมหลวงพิพิธมนตรี เป็นบุตรีนายทรงบาศก์ขวากรมช้าง มีตำแหน่งเป็นพระบำเรอภูธร รับราชการมาตั้งแต่สมัยพระเพทราชา แต่ถูกประหารในสมัยพระเจ้าเสือ ส่วนมารดาของท่าน (ยายของพระเจ้าเอกทัศน์) มีเชื้อสายพราหมณ์บ้านสมอพลือ เมืองเพชรบุรี
นี่เป็นความลงตัวอย่างเหลือเชื่อ เมื่อความเกี่ยวพันระหว่าง พระเจ้าเอกทัศน์กับตัวละครที่เราสร้างขึ้น (พระโหราจารย์) จากสองบรรทัดในหนังสือ ทำให้ได้รับคำตอบว่า เพราะเหตุใด พระเจ้าเอกทัศน์ จึงเลือกขุนศึกผู้นี้ ให้รับผิดชอบเก็บรักษาทรัพย์แผ่นดิน หรือจะพูดให้ชัดยิ่งขึ้นคือ พระโหราจารย์ และขุนศึกตัวละครเอก ซึ่งเราตั้งชื่อว่า พระอรรคราชบดินทร์ คือ ญาติทางฝั่งพระมารดาของพระเจ้าเอกทัศน์นั่นเอง
เพราะความเป็นพระญาตินี้เอง ทำให้เรากระจ่างในหลายๆ เรื่อง ว่า เหตุใด ขุนศึกผู้นี้ มีที่ดินใกล้วัง ตามบทประพันธ์ และเหตุใดขุนศึกผู้นี้มีวัดประจำตระกูลตามบทละครโทรทัศน์ และเหตุใดขุนศึกผู้นี้เลื่อนยศแบบก้าวกระโดด เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ จากเหตุและผลที่กล่าวมา
มีต่อที่คห.