เมื่อฉันบาดเจ็บและหลงป่าไปกับคนแปลกหน้าในงานวิ่งเทรล

จขกท. จะกล่าวถึงงาน Columbia Trail Master XI เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา งานวิ่งขึ้นเขาที่เต็มไปด้วยโคลน

ที่จะเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของนักวิ่งแนวหน้า ที่พิชิต 50 กม.ได้
แต่เป็นเรื่องของนักวิ่งแนวหลัง ที่วิ่งไม่จบ ไม่มีแม้แต่เวลาอยู่บนชิฟ แทบจะถูกลืมโดยสิ้นเชิง
แต่มีความประทับใจ ให้เป็นความประทับใจต้นๆของงานวิ่งทั้งหมดที่วิ่งมา กว่า 30 รายการ
อยากเอามาแชร์ให้ฟัง อมยิ้ม04



จขกท.มีอาการปวด ITB จากงาน Active Run ก่อนหน้างานนั้นประมาณ 20 วัน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เวลาวิ่งจะรู้สึกแปล๊บๆเสียวๆที่เข่า อาการนี้เกิดจากตอนลงเนินยาวๆ
ด้วยความดื้อ คิดว่าพักขา 20 วันก็หาย ไม่ยอมไปหาหมอกายภาพ คิดแค่ว่าสมัครไปนานแล้ว จะมาถอดใจตอนนี้ได้ไง พักคงหายทันแหละ

พอถึงวันจริง
การพักกลายเป็นทำให้เราเครื่องสตาร์ทไม่ติด แถมกลายเป็นเจ็บเรื้อรังเพราะมาซ้ำ
รู้ตัวว่าวิ่งไม่ไหว เลยขอกึ่งไล่ ให้เพื่อนที่กะวิ่งไปด้วยกันวิ่งไปก่อน อย่างน้อยเราไม่จบ เพื่อนมีโอกาสจบก็ยังดี



ตอนนั้นความเจ็บมันทำให้คิดอยู่สองอย่าง วิ่งต่อหรือ DNF ไปเลยที่จุดน้ำหน้าดีนะ
ไอ้ที่เค้าบอกกันว่า ถ้าเจ็บไม่ควรฝืน อาการจะหนักกว่าเดิม เพราะอาการนี้มันไม่ได้เป็นอาการเจ็บกล้ามเนื้อธรรมดาๆนะเห้ย
ก็เข้าใจนะ แต่แบบ วิ่งมาแค่ 10 กม. กว่า เองป่าว มันใช่หรอวะ สับสนหนักมาก
ไอ้ที่เมื่อคืนพูดไว้ดิบดีว่าจะสู้สุดใจ จะวิ่งไปฟังเพลงเล่นของสูง ของพี่ Big Ass คืออะไร เม่าตาสว่าง
ฟังเพลงคลิกที่นี่[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วที่คิดไว้ว่าจะจบงานวิ่งระยะไกลปีนี้สวยๆด้วยระยะอัลตร้าล่ะ อมยิ้ม08
ชั้นทำอะไรอยู่ มาราธอนก็จบมาแล้ว จะมาอะไรกะอีแค่เพิ่มมา 10 กม. แบบวิ่งขึ้นเขา ลุยโคลนเอ้งงง (เหรอออออ)
ประมาทอะไรอย่างนี้
ขณะที่กำลังพึมพำกับตัวเอง นางฟ้าปีกขาว กับนางฟ้าปีกดำ ทะเลาะกันอยู่ในหัวว่าจะยอมแพ้ไม่ยอมแพ้
ล้มจิ้มโคลนไปสองรอบ
คนก็แซงไปแล้วไปเล่า เราอยากวิ่งนะ แต่มันไปไม่ได้แล้วจริงๆ เห้ออออออออออออ อมยิ้ม08

สุดท้ายไปเจอพี่คนนึง ความเร็วพอกันเลย งงมาก 555
เฮียมาทำไรคะเฮีย เฮียย้อมผมสีฟ้า เฮียจะแนวไปไหน เฮียชิวมาก



ทักทายกันตามประสาคน Slow Life เค้าบอกเคยวิ่ง 50 กม.ปีก่อนแต่ขาดซ้อมนานแล้ว ที่ทำงานพากันมาเป็นกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่ลง 25 กม.กัน
สรุปเลยมา Slow Life กันอยู่สองคน เลยคิดว่าเอาวะ พยายามวิ่งงอกแงกๆไปเหอะ ได้แค่ไหนกะเอาแค่นั้น ไหนๆก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วนี่หว่า
พลังงานมี แต่ขาไม่ไปเลย

จนมาถึงจุดน้ำที่ 3 เรายังไม่ใช่คนสุดท้ายนี่หว่า รู้สึกดี 55555 แต่คนปะหลอมปะแหลมมาก

วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนเจอมาจุดที่สวยมาก เป็นจุดโล่งๆ มีสวน และล้อมรอบด้วยภูเขา



แต่วิ่งมาจนสุดทาง แต่ไม่มีทางไปต่อ เอาแล้วไง ตรูหลง!!!!!
พวกเราหลงมาผิดทางกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ??????? สรุปที่สวยๆนี่ไม่ใช่ทางที่ต้องวิ่ง
เลยต้องย้อนกลับไปอีก 2-3 กม. ตรูจะบ้าาาา ช้าแล้วยังหลงอีก
ตอนนั้นคิดว่า เราหลงได้ไง แล้วป้ายสีขาวลูกศรแดงที่มันชี้มาเรื่อยๆ มันก็มีนี่???

พอย้อนมาเจอจุดทางแยกต้นเหตุที่เราหลงไป เห้ย ป้ายเล็กๆสีส้มตรงทางแยกมันก็มีชัดนี่
แต่ตอนเราขึ้นมา เราต้องเห็นแต่เส้นใหญ่ด้านซ้ายที่มีต้นไม้บัง จนไม่ทันเห็นทางด้านขวาแน่ๆ
แล้วที่ตามป้ายขาวลูกศรไป มันก็เป็นป้ายของชาวสวนทำไว้บอกทางกันเอง โอ้ยเวรกำ

ณ จุดนี้ พวกเราเป็นคนสุดท้ายโดยเรียบร้อย เป็นคนที่ถูกลืมไปโดยเรียบร้อย
ไม่มี Sweeper ตามเพราะเราวิ่งตาม Sweeper 555 (เราผิดเอง ไม่ขอโทษใคร)
เค้าคงวิ่งตามคนสุดท้ายตอนแรกไป แต่ไม่รู้ว่ามีตอนนี้มีคนท้ายกว่าไปหลงมา
ไม่มีคนที่จุดน้ำหน้า มีแต่ซากอารยธรรมและขวดน้ำทิ้งไว้ให้ เอาวะ ก็ยังดี มีเสบียง

ตอนล้มดันเผลอหยุดเวลาการ์มินซะงั้น ป้ายบอกระยะแทบไม่มี
งงมากว่า สรุปเราวิ่งกันกี่โลแล้วนะนี่ พอถึงป้าย 20 กม.ก็ตกใจ
เห้ย เราว่าเราวิ่งกันมานานมากเลย ณ จุดนี้ วิ่งไม่ทันจุด Cut Off ให้ไปต่อที่ กม. 33 แน่นอน

พลังงานปากเยอะกว่าขามาก สุดท้ายเลยเมาท์มอยกันไปตลอดทาง คุยสัพเพเหระไปเรื่อย ให้กำลังใจกันเองไปเรื่อย
ดีเหมือนกัน มีคนช่วยถ่ายรูปให้



" นี่รู้มั้ย ถ้าเราไม่หลงกันเมื่อกี้นะ เราก็ไม่ได้เห็นวิวที่สวยขนาดนั้นใช่ป่ะ "
แล้วเราก็ไม่ได้รูปสวยแบบที่ไม่ติดคนแบบนี้เลยนะ (มันก็จริงนะ)
ปัญหาน่ะมันสร้างเรื่องราวเด็ดๆที่น่าจดจำเสมอ ถ้าวิ่งจบ ก็แค่ดีใจ ภูมิใจ แล้วยังไงล่ะ
ถ้าเราวิ่งเร็วๆ เราคงไม่ทันสังเกตพวกสัตว์ที่อยู่บนพื้น มันอาจจะถูกพวกเราเหยียบตายเอาก็ได้ จริงปะ
ชีวิตบางครั้งเราก็ต้องเจอทางแยก อาจจะเลือกทางผิดเสียเวลา ช้าไปบ้าง แต่ถ้าเรายังพยายาม เราก็จะไปถึง "


บรรลุสัจธรรมชีวิตกันเลยทีเดียว เพื่อนหลายคน รู้จักมายังไม่ได้มาคุยปรัชญาอะไรเยอะขนาดนี้เลยอ่ะ
ถ้าจะขนาดนี้เลิกอ่านหนังสือธรรมะ แล้วมาวิ่งเหอะ มองโลกปลงงดงามดั่งวิ่งบนทุ่งลาเวนเดอร์ แต่จริงๆคือวิ่งบนเขา

เอาจริงๆไม่เหมือนมาวิ่งแล้วอ่ะ นี่เหมือนมาเดินป่า ตามหาสมบัติชื่อจุดน้ำ



พวกเราหวังจะเจอคนที่จุดน้ำหน้าซึ่งค่อนข้างไกลไปกว่า 5 กม. แต่พอวิ่งไปผ่าน 2 จุดน้ำ ก็ไม่เจอใครเลย
เราคิดถึง เราอยากเห็นหน้าคนอื่นมาก ใครก็ได้!!!!
นี่ยังดีที่มีคนอยู่ด้วย ไม่งั้นคงจิตตกแย่ เรากลัวติดต่อใครไม่ได้ กลัวจะไม่มีใครย้อนกลับมารับเรา กลัวจะต้องติดแหงกอยู่ในป่านี่
ถ้ามีสัตว์ร้ายมาโจมตีเราล่ะจะทำยังไง เราอาจจะงอแง วิ่งไป ลากขาเป๋ไป ร้องไห้ไปแล้วก็ได้
ต้องมาเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวในป่า ไม่อยากคิดสภาพเลย

" ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่จบก็ไม่จบด้วยกัน "
" ยังไงก็ต้องไปต่อ "


เดินๆวิ่งๆไปซักพักพวกเราก็เริ่มล้า พูดไม่ค่อยออกกันแล้ว ฝนเริ่มตกสลับกับแดดออก ก็ถือโอกาสพักใต้ร่มไม้ใหญ่กัน เป็นจุดเนินสูง เห็นวิวเขาด้านล่าง เหยดด วิวอย่างแจ่มอ่าา หยิบขนมปัง หยิบเจลพลังงานมากิน ปิคนิคกันไปอีก



ในที่สุดเราก็เจอป้าย 25 กม.



แต่พอวิ่งไปจนถึงเวลา Cut Off แรกแล้ว แต่เรายังไม่เจอใครเลย
ไม่มีรถไหนผ่านทางนี้เพื่อมาเก็บ สงสัยรถจะมาจากทางอื่นแน่ๆ ไม่ได้ขับมาจาก กม. 1 อย่างที่คิด

สุดท้ายจึงตัดสินใจมายืน Stand By ที่จุดน้ำที่ 5 ที่ร้างผู้คน หาสัญญาณโทรศัพท์กัน



มันตลกมากที่ต้องคอยภาวนาให้สัญญาณขึ้น 1 ขีด ทำท่าสารพัดลีลาหาสัญญาณ
และต้องยืนตรงนั้นตลอดห้ามเคลื่อนที่ เลยเอาเก้าอี้มาตั้งไว้นั่งรอเลย
สัญญาณของพี่คนนั้นเค้าไม่มี ดีที่สัญญาณเราพอมี 1 ขีดให้เห็นบ้าง

มีคนเดียวที่จะช่วยเราได้ คือพ่อค่าาา พ่อคือทุกสิ่ง มีปัญหาพ่อช่วยหนูได้เสมอ



โทรไปหาพ่อที่รอเราอยู่ที่งาน ให้ช่วยบอกสตาฟว่าให้มารับกลับหน่อยแถวจุดน้ำ 5
พ่อดูไม่ตื่นตกใจ กลับขำ 5555 บอก "อ้าว หลงป่า หรอจ้ะ ดีๆมีประสพการณ์" สมเป็นพ่อเราจริงจิ๊ง
สตาฟเค้าจะวอกันรัวๆ งงว่า อิ2 ตัวนี่อยู่ที่ไหนกัน แล้วให้เบอร์พี่ที่จะไปหาเอาไว้ แต่ไม่มีสัญญาณเลยจริงๆ
เค้าบอกให้เราไม่ต้องตื่นตกใจ เดี่ยวจะส่งคนไปรับ พร้อมให้เบอร์คนที่จะไปรับมา

จริงๆคือไม่ตื่นตกใจเท่าไหร่ พวกเราชินกันแล้ว 55555

เลยส่งข้อความไปหาพี่คนที่จะมารับ  เผื่อว่าพอสัญญาณมา มันจะส่งไปหาทันที โทรเข้าออกยากมาก
สุดท้ายพี่เค้า แว้นมอไซด์วิบากบิดมาอย่างเท่



ตอนแรกพี่เค้าบอกจะมี 4WD มารับ
แต่ซักพักมีรถกระบะคันใหญ่ของกรมป่าไม้ กับพี่กรมป่าไม้ 3 คนมาเก็บของที่จุดน้ำ เลยติดคันนี้ไปแทน



เรานั่งล้างรองเท้ากัน จากแทงค์น้ำในจุดน้ำตรงนั้นน่ะแหละ กลัวรถพี่เขาเปื้อน

ตอนขึ้นไปนั่งบนรถพี่กรมป่าไม้
ปกติไปเที่ยว เช่ารถ ขึ้นอุทยานนี่แพงมากเลยนะ พี่กรมป่าไม้บอก เนี่ยบริการให้ฟรีเลย
รู้สึก VIP มาก 555555 คุยกันกับพี่ๆเขาเรื่องป่า ได้ความรู้มากมาย อบอุ่นมากๆ พี่เค้ามาส่งให้ถึงหน้าเส้นชัยเลย
ขอบคุณมากจริงๆที่มารับ และขอบคุณที่มีคนอยู่เป็นเพื่อน



ถ้าไม่มีปัญหา ก็คงไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้
ไม่ได้เห็นวิวสวยๆตอนหลงทาง ไม่ได้นั่งรถของกรมป่าไม้
เป็นงานวิ่งที่ได้เจอบัดดี้คนแปลกหน้า เป็นครั้งแรก

ปกติวิ่งคนเดียวตลอดทางเลย แล้วก็จะไปเจอเพื่อนอีกทีที่เส้นชัย
จบด้วยความประทับใจ มีคนที่ยอมฟังเราบ่น ทนสภาพแย่ๆของเราจนจบจริงๆด้วย
ไม่รู้สึกเสียใจเลยที่วิ่งไม่จบ ดีใจที่ได้งานนี้เป็นงานที่ DNF (วิ่งไม่จบ) ครั้งแรก

สุดท้ายหันไปบอกพี่ที่วิ่งด้วยกันมาตลอด หลายชม.

" เราคิดท่าเข้าเส้นชัยไว้แล้วนะ
แม้จะวิ่งไม่จบก็ตาม
แต่เดี๋ยวเราไปวิ่งเข้าเส้นด้วยกันนะ"

เดินไปขออนุญาติทีมงานก่อนวิ่งผ่านหน้าเส้นชัย

สุดท้ายก็ได้มาท่านี้ ท่าที่เหมาะกับพวกเรา



ท่าพยุงขาเป๋ !!!! เท่านั้น หัวเราะ



ภูกระดึง คนว่าให้ไปพิสูจน์รัก ที่ระยะทาง 13 กม.
วิ่งเทรล ถ้าให้ไปพิสูจน์มิตรภาพ คงต้องไปหาบนเส้นทาง 50 กม.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่