ตั้งแต่ผมจำความได้ ยายมักเล่าเรื่องทางน้อยให้ผมฟังเสมอว่า เป็นถนนเก่าของคนสมัยก่อน ต่อมาเมื่อหมู่บ้านผมตัดถนนใหม่ ทางน้อยก็เหลือแค่เป็นเส้นทางเล็กๆที่พอหลงเหลือร่องรอยอยู่บ้าง แต่ที่เด่นชัดเลยก็คือ ข้างบ้านผมกับยายเหมย
เป็นเส้นทางเล็กๆพอให้คนเดินผ่านได้
มีหลักปักเขตเเดนของทั้งสองบ้าน โดยเหลือ
ทางน้อยไว้ตรงกลาง และบ้านผมกับยายเหมยจะมีรั้วล้อมรอบ แต่สามารถเดินข้ามไปหากันได้
โดยที่บ้านของยายเหมยอยู่ตรงหัวมุมของสามแยกพอดี ยายเล่าว่าทางน้อยเป็นทางที่ผีผ่าน และตอนกลางคืนก็น่ากลัวมาก และผมได้เดินสำรวจทางน้อยว่ามันไปสุดที่ไหนก็พบว่ามันบรรจบกันระหว่างทุ่งนาสองฝั่งของหมู่บ้านผม โดยผ่านรั้วบ้าน สวน และเลียบถนนของหมู่บ้าน
ยายเหมยแกจะอยู่กับหลานสองคน คือ พี่เอ๋ กับ พี่หนึ่ง ส่วนลูกแกอยู่กรุงเทพและสุรินทร์ แกจะไม่ชอบทำบุญตักบาตร และเฆี่ยนตีพี่ทั้งสองคนแรงๆจนพี่ทั้งสองคยต้องร้องไห้อยู่เสมอ ยายผมมักจบ่นว่าแกขี้เหนียว ไม่ชอบทำบุญ และสอนผมเสมอว่า ถ้าไม่ทำบุญตักบาตร ตายไปก็จะไม่มีอะไรกิน ต้องทนทุกข์ทรมาณ อย่าเอาแกเป็นเยี่ยงอย่าง
และเหตุการณ์ที่ผมจำได้แม่น ก็คือตอนผมอายุประมาณห้าหกขวบ วันนึงยายเหมยก็อาละวาดโวยวายใหญ่ ออกมาถนนใหญ่หน้าบ้าน แกตะโกนว่า ใครเอาไม้มาขวางทางกู ใครเอาไม้มาขวางทางกู ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด และเสียงแกได้เปลี่ยนเป็นเสียงผู้ชาย ชาวบ้านผู้ชาวสามสี่คนรุมจับตัวแกไว้แต่ก็เอาไม่อยู่ จากนั้นแกก็วิ่งไปทางน้อยไปยกท่อนไม้อันใหญ่ที่ขวางทางน้อยไว้ โดยคนแก่เกือบห้าสิบหกสิบสามารถยกท่อนไม้ที่หนักๆได้ มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก จากนั้นชาวบ้านก็นิมนต์พระมา แกอาละวาดอยู่ซักพักก็หมดสติไป พอแกพื้นอีกทีแกก็บอกว่า ทำไมชาวบ้านมามุงดูอะไรเยอะแยะ แกจำเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย ทำให้ผมกลัวมากไม่กล้าไปเล่นแถวนั้นอีก
ต่อมาพี่เอ๋จบม 6 ก็หนีไปกรุงเทพ ไม่กลับมาหาแกอีกเลย ส่วนพี่หนึ่งไม่จบ ม 3 ก็หนีไปกรุงเทพอีกคน ทำให้แกต้องอยู่คนเดียว
โดยตรงหลังบ้านผมจะมีกอไผ่อยู่สองสามกอติดกับทางน้อยซึ่งเป็นของตานากโดยที่ดินของตานากจะเป็นสวนกล้วยอยู่หลังบ้านยายเหมย โดยตอนนั้นผมอยู่ประมาณ ม ต้น ผมจำเหตุการณ์ความน่ากลัว ความหลอน ของยายเหมย ได้เป็นอย่างดี
ทางน้อย ถนนแห่งความทรงจำ
เป็นเส้นทางเล็กๆพอให้คนเดินผ่านได้
มีหลักปักเขตเเดนของทั้งสองบ้าน โดยเหลือ
ทางน้อยไว้ตรงกลาง และบ้านผมกับยายเหมยจะมีรั้วล้อมรอบ แต่สามารถเดินข้ามไปหากันได้
โดยที่บ้านของยายเหมยอยู่ตรงหัวมุมของสามแยกพอดี ยายเล่าว่าทางน้อยเป็นทางที่ผีผ่าน และตอนกลางคืนก็น่ากลัวมาก และผมได้เดินสำรวจทางน้อยว่ามันไปสุดที่ไหนก็พบว่ามันบรรจบกันระหว่างทุ่งนาสองฝั่งของหมู่บ้านผม โดยผ่านรั้วบ้าน สวน และเลียบถนนของหมู่บ้าน
ยายเหมยแกจะอยู่กับหลานสองคน คือ พี่เอ๋ กับ พี่หนึ่ง ส่วนลูกแกอยู่กรุงเทพและสุรินทร์ แกจะไม่ชอบทำบุญตักบาตร และเฆี่ยนตีพี่ทั้งสองคนแรงๆจนพี่ทั้งสองคยต้องร้องไห้อยู่เสมอ ยายผมมักจบ่นว่าแกขี้เหนียว ไม่ชอบทำบุญ และสอนผมเสมอว่า ถ้าไม่ทำบุญตักบาตร ตายไปก็จะไม่มีอะไรกิน ต้องทนทุกข์ทรมาณ อย่าเอาแกเป็นเยี่ยงอย่าง
และเหตุการณ์ที่ผมจำได้แม่น ก็คือตอนผมอายุประมาณห้าหกขวบ วันนึงยายเหมยก็อาละวาดโวยวายใหญ่ ออกมาถนนใหญ่หน้าบ้าน แกตะโกนว่า ใครเอาไม้มาขวางทางกู ใครเอาไม้มาขวางทางกู ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด และเสียงแกได้เปลี่ยนเป็นเสียงผู้ชาย ชาวบ้านผู้ชาวสามสี่คนรุมจับตัวแกไว้แต่ก็เอาไม่อยู่ จากนั้นแกก็วิ่งไปทางน้อยไปยกท่อนไม้อันใหญ่ที่ขวางทางน้อยไว้ โดยคนแก่เกือบห้าสิบหกสิบสามารถยกท่อนไม้ที่หนักๆได้ มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก จากนั้นชาวบ้านก็นิมนต์พระมา แกอาละวาดอยู่ซักพักก็หมดสติไป พอแกพื้นอีกทีแกก็บอกว่า ทำไมชาวบ้านมามุงดูอะไรเยอะแยะ แกจำเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย ทำให้ผมกลัวมากไม่กล้าไปเล่นแถวนั้นอีก
ต่อมาพี่เอ๋จบม 6 ก็หนีไปกรุงเทพ ไม่กลับมาหาแกอีกเลย ส่วนพี่หนึ่งไม่จบ ม 3 ก็หนีไปกรุงเทพอีกคน ทำให้แกต้องอยู่คนเดียว
โดยตรงหลังบ้านผมจะมีกอไผ่อยู่สองสามกอติดกับทางน้อยซึ่งเป็นของตานากโดยที่ดินของตานากจะเป็นสวนกล้วยอยู่หลังบ้านยายเหมย โดยตอนนั้นผมอยู่ประมาณ ม ต้น ผมจำเหตุการณ์ความน่ากลัว ความหลอน ของยายเหมย ได้เป็นอย่างดี