เรื่อง "หลักแห่งกาลามสูตร"
(วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่หา สุภโร)
เช้าวันหนึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อนำนักเรียนมาชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธร แล้วจึงพานักเรียนขึ้นมาวัดเพื่อมากราบหลวงพ่อบันดาล(พระพุทธบันดาลฤทธิผล) พระพุทธรูปโบราณคู่วัดสักกะวัน และเมื่อเห็นหลวงปู่นั่งอยู่จึงเข้ามาแวะกราบ สนทนากันได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยถามหลวงปู่ว่า
• อาจารย์ : หลวงปู่ครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสในกาลามสูตร ในสิ่งไม่ควรเชื่อ ๑๐ อย่าง ท่านให้พิสูจน์ทดลองก่อน จึงเชื่อ ผมไม่เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเราอยากรู้ว่า ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องพิสูจน์ ด้วยการตายก่อนหรือครับถึงจะทราบ ?
• หลวงปู่ : คุณมาจากไหน ?
• อาจารย์ : ร้อยเอ็ด ครับผม
• หลวงปู่ : ถ้าคนกาฬสินธุ์ เขามีพิธีกรรมบางอย่าง ที่คนร้อยเอ็ดไม่มี ไม่ทำ คุณว่าคนกาฬสินธุ์ของงมงาย เขาทำถูกหรือทำผิด
• อาจารย์ : ไม่งมงายไม่ผิดครับผมหลวงปู่ เพราะคนกาฬสินธุ์ ก็คือ คนกาฬสินธุ์ จะเอาคนความคิดคนร้อยเอ็ดมาตัดสินคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ครับผม
• หลวงปู่ : เออ ตอบคำถามสมกับเป็นครูคน ก็ในเมื่อเอาคนร้อยเอ็ดมาตัดสินความเป็นคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ ก็เอาคนกาลามะมาตัดสินคนไทยไม่ได้เหมือนกัน คนที่ศึกษาแต่ข้อความทั้ง๑๐ แล้วไม่ได้ดู "ที่ไปที่มาของเรื่อง" เลย จะสรุปว่าข้อความทั้ง๑๐ คือ ทั้งหมดไม่ได้ คนกาลามะเป็น "คนหัวอ่อนเชื่อง่าย" ใครสอนอะไร บอกอะไร "เชื่อหมด" ไม่ไตร่ตรองเสียก่อน พระองค์ท่านจึงให้ข้อตัดสินความเชื่อไว้อย่างนั้น ก็ในเมื่อเราไม่ได้มีจริตนิสัยเป็นอย่างนั้น เราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ศาสนธรรมคำสอนพระองค์เจ้า มี๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คุณอย่าเอามาใช้ทั้งหมด สมัยก่อนพระองค์เทศน์สอนใคร เทศน์เรื่องเดียว อย่างเดียวคนนั้นก็บรรลุธรรม คนทุกวันนี้ชอบแบกคัมภีร์แบกธรรม แบกจนหนักโดยไม่รู้ตัว มัววุ่นอยู่แต่กับหนังสือกับข้อความ รับมาก ฟังมาก แบกมาก หนักมาก เลยเอาหนังสือ เอาคัมภีร์มาข้องมาคา มาติดมาขัด ไปไหนก็ไม่ได้ มันติดคัมภีร์ มันติดความรู้ ความรู้ที่รู้เพื่อ หนักสมอง รกสมอง ใช้ประโยชน์ไม่ได้ สังเกตไหมว่า คนในสมัยพระพุทธเจ้า เขาปฏิบัติอย่างเดียว เอาธรรมตัวเดียว สิงคาลมาณพ เอาทิศ ๖ หลวงพ่อโมคคัลลา เอาความง่วง หลวงพ่อพาหิยะ ฟังธรรมสั้นๆ หลวงพ่อ นาลกะ เอาโมเนยยะ ท่านเหล่านี้ไม่ต้องแบกคัมภีร์ ไม่ต้องแบกความรู้ที่รกสมอง
จากเพจวัดป่า..
วิสัชนาธรรมเรื่อง หลักกาลามสูตร
(วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่หา สุภโร)
เช้าวันหนึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อนำนักเรียนมาชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธร แล้วจึงพานักเรียนขึ้นมาวัดเพื่อมากราบหลวงพ่อบันดาล(พระพุทธบันดาลฤทธิผล) พระพุทธรูปโบราณคู่วัดสักกะวัน และเมื่อเห็นหลวงปู่นั่งอยู่จึงเข้ามาแวะกราบ สนทนากันได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยถามหลวงปู่ว่า
• อาจารย์ : หลวงปู่ครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสในกาลามสูตร ในสิ่งไม่ควรเชื่อ ๑๐ อย่าง ท่านให้พิสูจน์ทดลองก่อน จึงเชื่อ ผมไม่เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเราอยากรู้ว่า ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องพิสูจน์ ด้วยการตายก่อนหรือครับถึงจะทราบ ?
• หลวงปู่ : คุณมาจากไหน ?
• อาจารย์ : ร้อยเอ็ด ครับผม
• หลวงปู่ : ถ้าคนกาฬสินธุ์ เขามีพิธีกรรมบางอย่าง ที่คนร้อยเอ็ดไม่มี ไม่ทำ คุณว่าคนกาฬสินธุ์ของงมงาย เขาทำถูกหรือทำผิด
• อาจารย์ : ไม่งมงายไม่ผิดครับผมหลวงปู่ เพราะคนกาฬสินธุ์ ก็คือ คนกาฬสินธุ์ จะเอาคนความคิดคนร้อยเอ็ดมาตัดสินคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ครับผม
• หลวงปู่ : เออ ตอบคำถามสมกับเป็นครูคน ก็ในเมื่อเอาคนร้อยเอ็ดมาตัดสินความเป็นคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ ก็เอาคนกาลามะมาตัดสินคนไทยไม่ได้เหมือนกัน คนที่ศึกษาแต่ข้อความทั้ง๑๐ แล้วไม่ได้ดู "ที่ไปที่มาของเรื่อง" เลย จะสรุปว่าข้อความทั้ง๑๐ คือ ทั้งหมดไม่ได้ คนกาลามะเป็น "คนหัวอ่อนเชื่อง่าย" ใครสอนอะไร บอกอะไร "เชื่อหมด" ไม่ไตร่ตรองเสียก่อน พระองค์ท่านจึงให้ข้อตัดสินความเชื่อไว้อย่างนั้น ก็ในเมื่อเราไม่ได้มีจริตนิสัยเป็นอย่างนั้น เราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ศาสนธรรมคำสอนพระองค์เจ้า มี๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คุณอย่าเอามาใช้ทั้งหมด สมัยก่อนพระองค์เทศน์สอนใคร เทศน์เรื่องเดียว อย่างเดียวคนนั้นก็บรรลุธรรม คนทุกวันนี้ชอบแบกคัมภีร์แบกธรรม แบกจนหนักโดยไม่รู้ตัว มัววุ่นอยู่แต่กับหนังสือกับข้อความ รับมาก ฟังมาก แบกมาก หนักมาก เลยเอาหนังสือ เอาคัมภีร์มาข้องมาคา มาติดมาขัด ไปไหนก็ไม่ได้ มันติดคัมภีร์ มันติดความรู้ ความรู้ที่รู้เพื่อ หนักสมอง รกสมอง ใช้ประโยชน์ไม่ได้ สังเกตไหมว่า คนในสมัยพระพุทธเจ้า เขาปฏิบัติอย่างเดียว เอาธรรมตัวเดียว สิงคาลมาณพ เอาทิศ ๖ หลวงพ่อโมคคัลลา เอาความง่วง หลวงพ่อพาหิยะ ฟังธรรมสั้นๆ หลวงพ่อ นาลกะ เอาโมเนยยะ ท่านเหล่านี้ไม่ต้องแบกคัมภีร์ ไม่ต้องแบกความรู้ที่รกสมอง
จากเพจวัดป่า..