พุทธศาสนาเข้าถึงดินแดนสยามประเทศหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไม่นาน จริงหรือ?

...
          ตปุสสะและภัลลิกะ ชาวอุกกลาปชนบท ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค (4/6/8) กล่าวถึงพ่อค้าสองพี่น้องไว้ว่า
          “ครั้นล่วง 7 วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น แล้วเสด็จจากควงไม้มุจจลินท์ เข้าไปยังต้นไม้ราชายตนะ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้ราชายตนะ ตลอด 7 วัน สมัยนั้น พ่อค้าชื่อตปุสสะ และภัลลิกะเดินทางไกลจากอุกกลาปชนบท ถึงตำบลนั้น ครั้งนั้นเทพยดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตปุสสะ ภัลลิกะสอง พ่อค้า ได้กล่าวคำนี้กะ 2 พ่อค้านั้นว่า ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสองจงไปบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น ด้วยสัตตุผง และ สัตตุก้อน การบูชาของท่านทั้งสองนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน  พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะจึงถือสัตตุผงและสัตตุก้อนเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วถวายบังคม ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  สองพ่อค้านั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงสัตตุก้อนของข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนาน
          ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงปริวิตกว่า พระตถาคตทั้งหลาย ไม่รับวัตถุด้วยมือ เราจะพึงรับสัตตุผง และสัตตุก้อนด้วยอะไรหนอ  ขณะนั้น ท้าวมหาราชทั้ง 4 องค์ทรงทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาค ด้วยใจของตนแล้ว เสด็จมาจาก 4 ทิศ ทรงนำบาตรที่สำเร็จด้วยศิลา 4 ใบเข้าไปถวายพระผู้มี พระภาคกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยบาตรนี้ พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงใช้บาตรสำเร็จด้วยศิลาอันใหม่เอี่ยม รับสัตตุผงและสัตตุก้อนแล้วเสวย
          ครั้งนั้น พ่อค้าตปุสสะและภัลลิกะ ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่า เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่าเป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็นายพาณิชสองคนนั้น ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้างสองรัตนะ เป็นชุดแรกในโลก

          ในอรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวรรค หน้า 29 มีบันทึกไว้ว่า “สองพานิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบายสกอย่างนั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่าพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร  พระเกศาติดพระหัตถ์ ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้นแก่เขาทั้งสองด้วยตรัสว่าท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้  สองพานิชนั้นได้พระเกศธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรม รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป  (อรรถกถา วินัยมหาวรรค,หน้า 29)

***********************


1. เรื่องราวนี้อยู่ในพระไตรปิฎกจริงหรือ?
2. อุกกลาปชนบทตั้งอยู่ที่ไหนหรือ?
3. ตปุสสะและภัลลิกะ เป็นชาวอุกกลาปชนบทจริงหรือ?
4. พระเกศาธาตุถูกประดิษฐานไว้ที่ไหนหรือ?
5. มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ไหม?
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 55
ขอบคุณคราบที่ให้เกียรติผมครับคุณจขกท ว่างๆผมจะมาตอบอย่างละเอียดอีกทีหนึ่งนะครับ ผมแปลให้แล้วนะครับ ผมฝนสีไว้ให้ เพื่อจะได้อ่านง่ายขึ้นครับ สีขาวคือพยัญชนะต้น สีเทาคือสระ และสีส้มคืออักษรตามหรืออักษรแขวน รายละเอียค่อยว่ากันอีกทีครับ ดูผิวเผินแล้ว น่าจะอ่านได้ดังนี้นะครับ "ปุมยคิริ" แต่ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไปอย่างละเอียดละก็อาจจะแตกต่างจากที่นักโบราณคดีอ่านก็ได้นะครับ คุณจขกทวิเคราะห์ได้ดีมากเลยครับ ผมเห็นด้วยครับ เป็นอักษรหลังปัลลวะก็ว่าได้ เป็นอักษรมอญโบราณก็ว่าได้ เป็นอักษรขอมก็ว่าได้ เป็นอักษรมอญ-ขแมก็ว่าได้ หรือ เป็นอักษรมอญแบบปัลลวะก็ว่าได้ แล้วแต่จะบัญญัติครับ ผู้เขียนตำรามีสิทธิที่จะบัญญัติให้สอดคล้องกับนิยามของตนได้ทั้งนั้นแหละครับ ขึ้นอยู่กับเหตุผลของคนอ้างแหละครับ สำหรับผม เห็นด้วยกับจขกทตรงที่ว่า ตัวอักษรเป็นอักษรมอญโบราณครับ เพราะลักษณะรูปร่างเหมือนกับตัวอักษรมอญโบราณมากกว่าอักษรอื่น ๆ ครับ

เนื่องจากรอยแกะสลักไม่ค่อยชัด อาจทำให้ถอดอักษรมาคลาดเคลื่อนก็ได้นะครับ ผมเห็นตรงบริเวณปลายตัวอักษนำหรือพยัญชนะต้นตามที่วงไว้หมายเลข 1 ที่อยู่บนตัวพยัญชนะตามหรืออักษรแขวน"ยอยักษ์" ปลายของอักษรแหลมขึ้นไปจนเจื่อจางลง ไม่ลึกและไม่หนักแน่นเท่ากับส่วนอื่น ทั้ง ๆ ที่ส่วนอื่น ๆ นั้น ร่องของรอยแกะสลักลึกและหนักแน่นตลอด ร่องตัวอักษรในบริเวณนี้ อยู่บนเนินของหิน น่าจะถูกกัดกร่อนไปบางส่วน ทำให้ปลายอักษรส่วนนี้จางลงไป
สระที่ผสมกับอักษรตัวแรกนั้น น่าจะเป็นสระ "อู" แทนที่จะเป็นสระ "อุ" เพราะมีร่องรอยสระอูโบราณตื้นๆนอนอยู่ข้างๆ ตามบริเวณที่วงไว้หมายเลข 2 ครับ
ตัวอักษรที่มีลักษณะตัว E กลมๆ น่าจะเป็นตัวอักษรมอญโบราณ "เจียะ" ถ้าเทียบกับอักษรไทยก็เป็นตัว "ช" แล้วก็จุดที่แตะกันระหว่างตัว "เจียะ" กับตัว "เหยียะ" เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้มันแคบ ดูเหมือนกระเทาะออกตอนสลัก บริเวณนี้ทำให้สับสนในการถอดอักษร ทำให้ดูเหมือนเป็นตัวอักษรมอญโบราณ "ม" หรือทำให้ดูเหมือนเป็นตัวอักษรขอมโบราณ "ษ" แต่ไม่มีความใกล้เคียงกับ "ษ" เลยครับ สังเกตจากลักษณะตัวอักษรแล้ว ไม่น่าจะเก่าแก่กว่าอักษรที่พบบนจารึกวัดโพธิ์ร้างที่จารึกเป็นภาษามอญโบราณ ซึ่งมีอายุราวๆพุทธศตวรรษ 12 ครับ ผมถอดอักษรตามมุมมองของผมดังที่ผมแสดงไว้ในภาพประกอบที่สองนะครับ





อ่านออกเสียงเป็นสำเนียงมอญ "ป้าว เจียะเหยียะ กิ หริ"
อ่านออกเสียงเป็นสำเนียงไทย "บูชยะคิริ" หรือ "ปูชยะคิริ"
แปลเป็นไทย "ภูเขาบูชยะ" หรือ "ภูเขาสถานที่บูชา"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่