Atukkit Sawangsuk ( ใบตองแห้ง )
บทเรียน Brexit ก๊อปมาจากนักกฎหมายท่านหนึ่ง
................................
ในวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมเคยบรรยายว่า Referendum เป็นเรื่องที่ serious ไม่ใช่นึกจะจัดก็จัด และผลของมันอาจสร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง ดูนักศึกษาไม่ค่อยเข้าใจ
เรื่อง Brexit นึ้เป็นตัวอย่างที่ดี
Référendum เป็นเรื่องของประชาธิปไตยทางตรง (Direct democracy)ส่วนการเลือกตั้งและการเมืองในสภา เป็นเรื่องของประชาธิปไตยทางผู้แทน (Representative democracy)
ประชาธิปไตยทางตรงนั้นมีความเสี่ยงตรงที่เป็นการจับประชาชนสองกลุ่มหรือหลายกลุ่มมาปะทะกันโดยตรง ผิดพลาดไปมันเกิดรอยแผลฝังลึกที่ยากต่อการเยียวยา
พวก NGO ที่ชอบเรียกร้อง"การเมืองภาคประชาชน" ควรตระหนักและเอา Brexit เป็นบทเรียนให้ดี
.................................
ในบรรดาความเห็นของชาว UK เกี่ยวกับ Brexit Referendum มีอยู่ความเห็นหนึ่งที่ตรงกับที่ผมคิดมาก นั่นคือคำอธิบายที่ว่าผลออกมาเช่นนี้เป็นเพราะชาว UK ไม่คุ้นเคยกับประชามติ และไม่เข้าใจนักกับผลที่จะตามมา ทั้งนี้เนื่องจากตลอดระยะเวลาพัฒนาการสถาบันการเมืองอันยาวนานของอังกฤษ ชาวอังกฤษคุ้นเคยกับหลัก Parliamentary sovereignty และประชาธิปไตยทางผู้แทน มีอะไรก็ไปว่ากันในสภา ไม่ใช่มาให้ประชาชนตัดสิน ประชาชนประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม หลากหลายผลประโยชน์ หลากหลายอุดมการณ์ ทุกคนต้องมาตอบคำถามๆเดียวกัน และตอบเพียงว่า YES หรือ No เท่านั้น
ในความเป็นจริง คำตอบของแต่ละคนต่อคำถามมันไม่ง่ายอย่างนั้น บางคนอาจจะตอบ Yes, but....
บางคนอาจจะตอบว่า No, but......
บางคนอาจจะตอบว่า Yes, no not yes, maybe...
เรื่องของประชาธิปไตยทางตรงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
.......................................
ที่ท่านพูดอย่างนี้ไม่ใช่ดูถูกประชาชนนะครับ แต่เรื่องอย่าง Brexit ซึ่งมีปมซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ควรตัดสินด้วยประชามติ ซึ่งบางคนก็ลงคะแนนง่ายๆ ด้วยอารมณ์ชาตินิยม เมื่อรณรงค์ฟาดฟันแล้วผลคะแนนออกมาสูสีอย่างนี้ ก็จะเกิดความแตกแยก เช่นใน 1-2 ปีข้างหน้าเมื่อประจักษ์ว่ามันส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจของอังกฤษเอง ฝ่าย Remain ก็จะกลับมาชี้หน้าด่าฝ่าย Brexit
ดูข่าวที่ตามมาก็ได้
คนอังกฤษแห่เสิร์ชกูเกิล ถาม”จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราออกจากอียู”พุ่งกระฉูดถึง 250 % (ทำไมเพิ่งถาม)
http://www.matichon.co.th/news/187428
ทีม’รีเมน’แห่ลงชื่อเรียกร้องรัฐบาลจัดประชามติ’เบร็กซิท’รอบ2
http://www.matichon.co.th/news/187616
Credit : Atukkit Sawangsuk ( ใบตองแห้ง )
------------------------------------------------------------------
อาจเห็นต่างบ้างเพราะการคิดแยกตัวมันก็มีมูลเหตุพอสมควรทีเดียว
-ส่วนในแง่ปรดชามติ ขนาด uk ที่เป็นต้นตำหรับประชาธิปไตย ยังมีสิ่งที่ประชาชนไม่เข้าใจผลที่ตามมาหลังลงประชามติ
ว่ามันจะผูกพัน ต่ออนาคต หน้าที่การงาน เศรษฐกิจ อย่างไร จนจะขอรอบ 2
ขนาดทั้งที่มีการเปิดเสรีในการ รณรงค์ leave or remain
อันดับต่อมา Scotland ก็เตรียมประชามติ เป็นเอกราชอีกรอบ
ไหนจะโควต้านักเตะฟุตบอลที่เป็น EU
รวมถึงอื่นๆที่จะตามมา ดูเหมือนอาจจะร้ายมากกว่าดี
*** คนริเริ่มก็คือ David Cameron ที่ประกาศจะประชามติ เพื่อปลุกชาตินิยม หวังผลในคะแนนเสียงเลือกตั้ง
(และสร้างอำนาจต่อรองกับ eu ) สุดท้ายกล้บคำอยากอยู่ และคุมกระแสไม่ได้
" ข้อดีในมุมของฝ่าน leave "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
9 เหตุผลทำไมอังกฤษต้องออกจากสหภาพยุโรป
ผ่านไปสดๆร้อนกับการลงประชามติออกจาก EU ของประชาชนในสหราชอาณาจักร ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 52 ต่อ 48 และนายเดวิต คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบหลังได้สนับสนุนให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้สหราชอาณาจักรอยู่กับสหภาพยุโรป
ซึ่งจากนี้ไปประเทศอังกฤษจะเดินไปในทิศทางใดและจะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นบ้างคงต้องเป็นเรื่องของอนาคตเพราะเป็นการตัดสินใจของชาวอังกฤษล้วนๆ ซึ่งคำถามคือเหตุใดชาวอังกฤษส่วนใหญ่ถึงตัดสินใจเช่นนี้
1.ไม่ต้องการอุ้มชูประเทศสมาชิกที่เศรษฐกิจตกต่ำ
2.เสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์
อังกฤษเป็นประเทศหนึ่งที่ต้องช่วยเหลือทางการเงินแก่ EU และต้องสูญเสียงบประมาณไปจำนวนมาก ทำให้ คนอังกฤษรู้สึกไม่พอใจ
3.ปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลาง
4.ปัญหาการก่อการร้าย
5.ปัญหาการว่างงาน
การไหลเข้ามาของแรงงานจากสมาชิกในกลุ่ม EU จำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาการแย่งงานของคนอังกฤษ และ การเข้ามาทำงานของคนนอกประเทศโดยเฉพาะคนจาก ยุโรปตะวันออกนั้น ยังได้รับสวัสดิการ การดูแล เหมือนกับแรงงานคนอังกฤษ
6.ความเป็นเสรีและประชาธิปไตย
7.นโยบายทางการเมือง
นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ได้หาเสียงเลือกตั้งไว้ว่าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะมีการจัดทำประชามติให้ประชาชนลงมติการแยกตัวออกจาก EU โดยไม่ได้บอกเหตุผล ซึ่งนโยบายนี้ทำให้เขาได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
และล่าสุดได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้วตามความคาดหมาย หลังจากที่ผลลงประชามติ ปรากฏว่าชาวอังกฤษต้องการออกจากสหภาพยุโรป ขณะที่นายคาเมรอนเป็นผู้นำรณรงค์ให้อังกฤษอยู่ต่อ
8.เสรีภาพในการจัดทำข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ
9.การก้าวเข้ามาเป็นผู้นำของโลกอีกครั้ง
Credit : sanook.com
- แล้วทำไมประเทศไทยถึงไม่สามารถถกเถียงถึงข้อดีข้อเสียให้เป็นเรื่องเป็นราว เปิดเสรี รณรงค์ รับไม่รับ
ประชาชนจะได้รู้ว่า รธน นี่ดีจริง หรือ ไม่ดีตรงไหน ติดขัดกับหลักสากลอย่างไร มีอุปสรรคต่อการบริหารอย่างไรหรือไม่
เพราะมันคือผลกระทบที่คนไทยทุกคนจะได้รับเพราะคงแก้ยากนอกจากฉีกทิ้งอีก ( ไม่ใช่คำว่าปราบโกงอย่างเดียว ต้องไม่เป็นตัวถ่วงประเทศด้วย )
- ในเมื่อไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน แต่เราสามารถประเมินและคาดเดาได้ ทุกอย่างไม่มีสิ่งไหนสมบูรณ์แบบได้อย่างก็อาจต้องเสียบางอย่าง ช่วงเวลาที่เหลือรัฐบาลก็ควรใจกว้างเปิดรับฟังทุกฝ่ายครับ
-- ประชามติ จาก UK ถึง Thailand ความจำเป็นสำหรับคำอธิบาย --
บทเรียน Brexit ก๊อปมาจากนักกฎหมายท่านหนึ่ง
................................
ในวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมเคยบรรยายว่า Referendum เป็นเรื่องที่ serious ไม่ใช่นึกจะจัดก็จัด และผลของมันอาจสร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง ดูนักศึกษาไม่ค่อยเข้าใจ
เรื่อง Brexit นึ้เป็นตัวอย่างที่ดี
Référendum เป็นเรื่องของประชาธิปไตยทางตรง (Direct democracy)ส่วนการเลือกตั้งและการเมืองในสภา เป็นเรื่องของประชาธิปไตยทางผู้แทน (Representative democracy)
ประชาธิปไตยทางตรงนั้นมีความเสี่ยงตรงที่เป็นการจับประชาชนสองกลุ่มหรือหลายกลุ่มมาปะทะกันโดยตรง ผิดพลาดไปมันเกิดรอยแผลฝังลึกที่ยากต่อการเยียวยา
พวก NGO ที่ชอบเรียกร้อง"การเมืองภาคประชาชน" ควรตระหนักและเอา Brexit เป็นบทเรียนให้ดี
.................................
ในบรรดาความเห็นของชาว UK เกี่ยวกับ Brexit Referendum มีอยู่ความเห็นหนึ่งที่ตรงกับที่ผมคิดมาก นั่นคือคำอธิบายที่ว่าผลออกมาเช่นนี้เป็นเพราะชาว UK ไม่คุ้นเคยกับประชามติ และไม่เข้าใจนักกับผลที่จะตามมา ทั้งนี้เนื่องจากตลอดระยะเวลาพัฒนาการสถาบันการเมืองอันยาวนานของอังกฤษ ชาวอังกฤษคุ้นเคยกับหลัก Parliamentary sovereignty และประชาธิปไตยทางผู้แทน มีอะไรก็ไปว่ากันในสภา ไม่ใช่มาให้ประชาชนตัดสิน ประชาชนประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม หลากหลายผลประโยชน์ หลากหลายอุดมการณ์ ทุกคนต้องมาตอบคำถามๆเดียวกัน และตอบเพียงว่า YES หรือ No เท่านั้น
ในความเป็นจริง คำตอบของแต่ละคนต่อคำถามมันไม่ง่ายอย่างนั้น บางคนอาจจะตอบ Yes, but....
บางคนอาจจะตอบว่า No, but......
บางคนอาจจะตอบว่า Yes, no not yes, maybe...
เรื่องของประชาธิปไตยทางตรงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
.......................................
ที่ท่านพูดอย่างนี้ไม่ใช่ดูถูกประชาชนนะครับ แต่เรื่องอย่าง Brexit ซึ่งมีปมซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ควรตัดสินด้วยประชามติ ซึ่งบางคนก็ลงคะแนนง่ายๆ ด้วยอารมณ์ชาตินิยม เมื่อรณรงค์ฟาดฟันแล้วผลคะแนนออกมาสูสีอย่างนี้ ก็จะเกิดความแตกแยก เช่นใน 1-2 ปีข้างหน้าเมื่อประจักษ์ว่ามันส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจของอังกฤษเอง ฝ่าย Remain ก็จะกลับมาชี้หน้าด่าฝ่าย Brexit
ดูข่าวที่ตามมาก็ได้
คนอังกฤษแห่เสิร์ชกูเกิล ถาม”จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราออกจากอียู”พุ่งกระฉูดถึง 250 % (ทำไมเพิ่งถาม)
http://www.matichon.co.th/news/187428
ทีม’รีเมน’แห่ลงชื่อเรียกร้องรัฐบาลจัดประชามติ’เบร็กซิท’รอบ2
http://www.matichon.co.th/news/187616
Credit : Atukkit Sawangsuk ( ใบตองแห้ง )
------------------------------------------------------------------
อาจเห็นต่างบ้างเพราะการคิดแยกตัวมันก็มีมูลเหตุพอสมควรทีเดียว
-ส่วนในแง่ปรดชามติ ขนาด uk ที่เป็นต้นตำหรับประชาธิปไตย ยังมีสิ่งที่ประชาชนไม่เข้าใจผลที่ตามมาหลังลงประชามติ
ว่ามันจะผูกพัน ต่ออนาคต หน้าที่การงาน เศรษฐกิจ อย่างไร จนจะขอรอบ 2
ขนาดทั้งที่มีการเปิดเสรีในการ รณรงค์ leave or remain
อันดับต่อมา Scotland ก็เตรียมประชามติ เป็นเอกราชอีกรอบ
ไหนจะโควต้านักเตะฟุตบอลที่เป็น EU
รวมถึงอื่นๆที่จะตามมา ดูเหมือนอาจจะร้ายมากกว่าดี
*** คนริเริ่มก็คือ David Cameron ที่ประกาศจะประชามติ เพื่อปลุกชาตินิยม หวังผลในคะแนนเสียงเลือกตั้ง
(และสร้างอำนาจต่อรองกับ eu ) สุดท้ายกล้บคำอยากอยู่ และคุมกระแสไม่ได้
" ข้อดีในมุมของฝ่าน leave "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- แล้วทำไมประเทศไทยถึงไม่สามารถถกเถียงถึงข้อดีข้อเสียให้เป็นเรื่องเป็นราว เปิดเสรี รณรงค์ รับไม่รับ
ประชาชนจะได้รู้ว่า รธน นี่ดีจริง หรือ ไม่ดีตรงไหน ติดขัดกับหลักสากลอย่างไร มีอุปสรรคต่อการบริหารอย่างไรหรือไม่
เพราะมันคือผลกระทบที่คนไทยทุกคนจะได้รับเพราะคงแก้ยากนอกจากฉีกทิ้งอีก ( ไม่ใช่คำว่าปราบโกงอย่างเดียว ต้องไม่เป็นตัวถ่วงประเทศด้วย )
- ในเมื่อไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน แต่เราสามารถประเมินและคาดเดาได้ ทุกอย่างไม่มีสิ่งไหนสมบูรณ์แบบได้อย่างก็อาจต้องเสียบางอย่าง ช่วงเวลาที่เหลือรัฐบาลก็ควรใจกว้างเปิดรับฟังทุกฝ่ายครับ