รายงานพิเศษ
Forbes Thailand Forum 2016: Self-Made Success
กว่าจะถึงทุกวันนี้ นักธุรกิจชั้นนำของไทยหลายรายต้องเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่สร้างรากฐาน ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ แต่ด้วยไฟของความมุ่งมั่นที่ลุกโชนในตัว ทำให้พวกเขาไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ กระทั่งสามารถผงาดขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ และนำองค์กรสู่การเป็นบริษัทมหาชน ควบคู่กับขยายการลงทุนไปต่างประเทศ
Forbes Thailand เชิญนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขา ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม เครื่องดื่มชูกำลัง บรรจุภัณฑ์เมลามีน คลังสินค้า การพิมพ์และอุปกรณ์ไอทีและสื่อสาร และรับเหมาก่อสร้าง มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การดำเนินธุรกิจ ในงาน Forbes Thailand Forum 2016: Self-Made Success เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ใฝ่ความสำเร็จ
Panel 1 : Idea Motivation Action
วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คือผู้สั่งสมประสบการณ์ธุรกิจมาอย่างเข้มข้น พร้อมขยายอาณาจักรของตนไปต่างประเทศ
วิกรม ออกไปดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมอมตะที่เวียดนามเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เพราะเป็นประเทศที่มีอนาคตสดใสทางเศรษฐกิจ เมื่อธุรกิจของอมตะไปได้ดี วิกรมจึงนำองค์กรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้เขาต้องปรับตัวพอสมควร
“ผมเป็นเถ้าแก่น้อยมาตั้งแต่เด็ก คุ้นกับการทำอะไรตามใจ เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องปรับตัวเยอะ เพราะมีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ก็ทำให้ผมมีวินัยมากขึ้น และทำให้ดำเนินธุรกิจโปร่งใส ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมอมตะทำได้ดีมาตลอด”
เขาจะยังคงปักหลักในภูมิภาคนี้ เพราะมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ วิกรมวางแผนจะขยายนิคมอุตสาหกรรมอมตะที่เวียดนาม จากเกือบ 100 ตารางกิโลเมตรในปัจจุบัน เป็น 300-400 ตารางกิโลเมตร ในอีก 5-6 ปีนี้ และต้องการรุกเมียนมา “ที่นั่นจะเป็นฐานใหญ่สุดของอมตะในอนาคต และน่าจะมีพื้นที่มากกว่าเวียดนาม” วิกรมบอก
ด้าน สนั่น ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์เมลามีนรายใหญ่ของโลก เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างในบริษัทเยอรมัน ต่อมาก็เข้าทำงานที่ หจก.ศรีไทยพลาสติก ซึ่งเป็นชื่อเดิมของศรีไทยซุปเปอร์แวร์ แม้จะเจอปัญหาต่างๆ แต่สนั่นก็ไม่ท้อ เพราะเขามั่นใจว่าตลาดพลาสติกและเมลามีนต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2540 บริษัทต้องฟื้นฟูกิจการ สนั่นจึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด
หลังวิกฤตผ่านพ้น เขาเริ่มคิดถึงทิศทางขององค์กรว่าควรมุ่งหน้าไปทางใด ในที่สุดจึงตัดสินใจครั้งสำคัญปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้ก้าวสู่ระดับโลก เขาวางกลยุทธ์ขยายการส่งออกสินค้ายังต่างประเทศ และเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี ทำให้ขณะนี้ศรีไทยซุปเปอร์แวร์มีสำนักงานในต่างประเทศ 4-5 แห่ง และมีสินค้าจำหน่ายใน 120 ประเทศทั่วโลก
“สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจคือคน ต้องเตรียมคนให้พร้อมที่สุดในการเจาะตลาดต่างประเทศ องค์กรของเราหาผู้เชี่ยวชาญพลาสติกระดับโลกมาร่วมงาน เพื่อถ่ายทอดความรู้และสร้างบุคลากรของเราให้โต”
ขณะที่ เสถียร กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างเขากับ ยืนยง โอภากุล หรือ “แอ๊ด คาราบาว” ซึ่งต้องการทำธุรกิจร่วมกัน เสถียรที่เห็นพลังของแบรนด์คาราบาว จึงบอกว่าต้องเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะจะได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่นิยมเครื่องดื่มประเภทนี้อยู่แล้วและแฟนเพลงที่เหนียวแน่นของวง เกิดเป็นแบรนด์ “คาราบาวแดง” ที่ขณะนี้เป็นเบอร์ 2 ในตลาด เมื่อธุรกิจเติบโตไม่หยุดยั้ง ผู้ก่อตั้งทั้งหมดจึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้เกิดการจัดสรรปันผลอย่างยุติธรรม และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทำให้คู่ค้ามั่นใจในการร่วมงานกับคาราบาวกรุ๊ป
ปัจจุบัน คาราบาวแดงวางจำหน่ายทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน เอเชีย ตะวันออกกลาง และขณะนี้กำลังบุกยุโรป หนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้คือการเซ็นสัญญามูลค่า 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) เป็นพันธมิตรหลักกับสโมสรฟุตบอลเชลซี ด้วยตลาดเครื่องดื่มชูกำลังทั่วโลกมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ทำให้เสถียรเดินเส้นทางนี้อย่างแน่วแน่ เพราะเห็นโอกาสของความสำเร็จ
“นอกจากการมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรักษาไว้คือจิตใจที่เป็นหนุ่มสาว” คือคำกล่าวปิดท้ายของเสถียร
Panel 2 : Reaping the Rewards
จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) สุพันธุ์ มงคลสุธี รองประธานกรรมการ บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และ สมัย ลี้สกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นอีกกลุ่มนักธุรกิจชาวไทยที่ประสบความสำเร็จ บริษัทของพวกเขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง 3 มุ่งมั่นหาทางสร้างการเติบโตให้แข็งแกร่งกับธุรกิจที่ตนเองสร้างมา โดยมองหาโอกาสใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนเช่น การร่วมลงทุน และการควบรวมกิจการ
จรีพร นักธุรกิจสตรีคนเดียวของฟอรั่ม ทำธุรกิจสร้างคลังสินค้าทั้งรูปแบบปกติและตามความต้องการของลูกค้า เธอบอกว่าบริษัทมีแผนการเติบโตในระยะยาว แต่ระหว่างทางนั้น บริษัทก็มีปรับแผนย่อยๆ รองรับ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญที่สุด บริษัทพยายามสร้างทีมเวิร์คให้แข็งแกร่งเพื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรค ซึ่งอุปสรรคในมุมมองของจรีพรคือเรื่องท้าทายและต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ อีกด้าน บริษัทมุ่งมั่นการขยายงานอย่างต่อเนื่อง และเส้นทางลัดที่จะโตคือการเข้าซื้อกิจการ อย่างปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าซื้อ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งการเข้าซื้อครั้งนี้ ทำให้บริษัทมีโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจในอนาคต
สำหรับ สุพันธุ์ ผู้บุกเบิกและพัฒนาธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย บอกว่า แนวทางการขยายธุรกิจของบริษัท จะเน้นการหาผู้ร่วมทุนที่มีศักยภาพเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง อย่างที่ผ่านมาก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทย่อย คือ คอมแพค (ประเทศไทย) ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Synnex จากไต้หวัน จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วง ซอฟท์แวร์ ระบบสารสนเทศ และอุปกรณ์สื่อสาร แม้การร่วมทุนครั้งนั้น บริษัทจากไต้หวันจะซื้อหุ้นได้ค่อนข้างถูกก็ตามที แต่บริษัทก็ยินดีเพราะต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กรและสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน เพื่อทำโครงการใหญ่ในระยะยาว
สุพันธุ์ กล่าวว่า การขยายธุรกิจไปต่างประเทศจะเป็นไปตามแนวทางนี้ เนื่องจากการมีผู้ร่วมทุนที่เป็นคนท้องถิ่น จะทำให้เข้าถึงตลาดนั้นได้ง่าย และยังก่อเกิดความร่วมมือทำธุรกิจแขนงอื่นตามมา ปัจจุบัน บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัทที่ลาว และยังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับนักลงทุนในกัมพูชา รวมถึงมองหาโอกาสการควบรวมกิจการ (M&A) ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร
ด้าน สมัย ผู้ดำเนินธุรกิจรับวางระบบท่อและรับเหมาก่อสร้างโรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่บุกเบิกสร้างธุรกิจจนสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทต่อไป โดยเฉพาะการเพิ่มไลน์อุตสาหกรรมของทีอาร์ซีจากการเป็นผู้พัฒนาโครงการ มาเป็นการมองหาผู้ร่วมทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ให้เป็นเลขสองหลัก แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาผู้ร่วมทุนที่ “ใช่” และมีแนวทางที่สอดคล้องกับบริษัท ดังนั้น ทีอาร์ซีจะพยายามเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้ตัวเอง โดยสร้างบุคลากรที่มีความสามารถขึ้นมา แม้พนักงานคนไทยอาจมีข้อจำกัดเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ แต่สมัยก็แก้ปัญหาด้วยการจ้างพนักงานจากสิงคโปร์หรือบรูไนเข้ามาเสริมทีม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ทีมในการคว้าโอกาสงานโครงการใหม่ๆ ทั้งในและนอกประเทศ
6 ผู้นำธุรกิจศรีไทยฯ คาราบาวแดง อมตะฯ WHA การพิมพ์ และรับเหมารง.อุตสาหกรรม แย้มโมเดลสร้างธุรกิจหมื่นล้าน
Forbes Thailand Forum 2016: Self-Made Success
กว่าจะถึงทุกวันนี้ นักธุรกิจชั้นนำของไทยหลายรายต้องเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่สร้างรากฐาน ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ แต่ด้วยไฟของความมุ่งมั่นที่ลุกโชนในตัว ทำให้พวกเขาไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ กระทั่งสามารถผงาดขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ และนำองค์กรสู่การเป็นบริษัทมหาชน ควบคู่กับขยายการลงทุนไปต่างประเทศ
Forbes Thailand เชิญนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขา ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม เครื่องดื่มชูกำลัง บรรจุภัณฑ์เมลามีน คลังสินค้า การพิมพ์และอุปกรณ์ไอทีและสื่อสาร และรับเหมาก่อสร้าง มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การดำเนินธุรกิจ ในงาน Forbes Thailand Forum 2016: Self-Made Success เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ใฝ่ความสำเร็จ
Panel 1 : Idea Motivation Action
วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คือผู้สั่งสมประสบการณ์ธุรกิจมาอย่างเข้มข้น พร้อมขยายอาณาจักรของตนไปต่างประเทศ
วิกรม ออกไปดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมอมตะที่เวียดนามเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เพราะเป็นประเทศที่มีอนาคตสดใสทางเศรษฐกิจ เมื่อธุรกิจของอมตะไปได้ดี วิกรมจึงนำองค์กรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้เขาต้องปรับตัวพอสมควร
“ผมเป็นเถ้าแก่น้อยมาตั้งแต่เด็ก คุ้นกับการทำอะไรตามใจ เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องปรับตัวเยอะ เพราะมีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ก็ทำให้ผมมีวินัยมากขึ้น และทำให้ดำเนินธุรกิจโปร่งใส ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมอมตะทำได้ดีมาตลอด”
เขาจะยังคงปักหลักในภูมิภาคนี้ เพราะมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ วิกรมวางแผนจะขยายนิคมอุตสาหกรรมอมตะที่เวียดนาม จากเกือบ 100 ตารางกิโลเมตรในปัจจุบัน เป็น 300-400 ตารางกิโลเมตร ในอีก 5-6 ปีนี้ และต้องการรุกเมียนมา “ที่นั่นจะเป็นฐานใหญ่สุดของอมตะในอนาคต และน่าจะมีพื้นที่มากกว่าเวียดนาม” วิกรมบอก
ด้าน สนั่น ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์เมลามีนรายใหญ่ของโลก เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างในบริษัทเยอรมัน ต่อมาก็เข้าทำงานที่ หจก.ศรีไทยพลาสติก ซึ่งเป็นชื่อเดิมของศรีไทยซุปเปอร์แวร์ แม้จะเจอปัญหาต่างๆ แต่สนั่นก็ไม่ท้อ เพราะเขามั่นใจว่าตลาดพลาสติกและเมลามีนต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2540 บริษัทต้องฟื้นฟูกิจการ สนั่นจึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด
หลังวิกฤตผ่านพ้น เขาเริ่มคิดถึงทิศทางขององค์กรว่าควรมุ่งหน้าไปทางใด ในที่สุดจึงตัดสินใจครั้งสำคัญปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้ก้าวสู่ระดับโลก เขาวางกลยุทธ์ขยายการส่งออกสินค้ายังต่างประเทศ และเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี ทำให้ขณะนี้ศรีไทยซุปเปอร์แวร์มีสำนักงานในต่างประเทศ 4-5 แห่ง และมีสินค้าจำหน่ายใน 120 ประเทศทั่วโลก
“สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจคือคน ต้องเตรียมคนให้พร้อมที่สุดในการเจาะตลาดต่างประเทศ องค์กรของเราหาผู้เชี่ยวชาญพลาสติกระดับโลกมาร่วมงาน เพื่อถ่ายทอดความรู้และสร้างบุคลากรของเราให้โต”
ขณะที่ เสถียร กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างเขากับ ยืนยง โอภากุล หรือ “แอ๊ด คาราบาว” ซึ่งต้องการทำธุรกิจร่วมกัน เสถียรที่เห็นพลังของแบรนด์คาราบาว จึงบอกว่าต้องเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะจะได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่นิยมเครื่องดื่มประเภทนี้อยู่แล้วและแฟนเพลงที่เหนียวแน่นของวง เกิดเป็นแบรนด์ “คาราบาวแดง” ที่ขณะนี้เป็นเบอร์ 2 ในตลาด เมื่อธุรกิจเติบโตไม่หยุดยั้ง ผู้ก่อตั้งทั้งหมดจึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้เกิดการจัดสรรปันผลอย่างยุติธรรม และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทำให้คู่ค้ามั่นใจในการร่วมงานกับคาราบาวกรุ๊ป
ปัจจุบัน คาราบาวแดงวางจำหน่ายทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน เอเชีย ตะวันออกกลาง และขณะนี้กำลังบุกยุโรป หนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้คือการเซ็นสัญญามูลค่า 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) เป็นพันธมิตรหลักกับสโมสรฟุตบอลเชลซี ด้วยตลาดเครื่องดื่มชูกำลังทั่วโลกมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ทำให้เสถียรเดินเส้นทางนี้อย่างแน่วแน่ เพราะเห็นโอกาสของความสำเร็จ
“นอกจากการมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรักษาไว้คือจิตใจที่เป็นหนุ่มสาว” คือคำกล่าวปิดท้ายของเสถียร
Panel 2 : Reaping the Rewards
จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) สุพันธุ์ มงคลสุธี รองประธานกรรมการ บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และ สมัย ลี้สกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นอีกกลุ่มนักธุรกิจชาวไทยที่ประสบความสำเร็จ บริษัทของพวกเขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง 3 มุ่งมั่นหาทางสร้างการเติบโตให้แข็งแกร่งกับธุรกิจที่ตนเองสร้างมา โดยมองหาโอกาสใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนเช่น การร่วมลงทุน และการควบรวมกิจการ
จรีพร นักธุรกิจสตรีคนเดียวของฟอรั่ม ทำธุรกิจสร้างคลังสินค้าทั้งรูปแบบปกติและตามความต้องการของลูกค้า เธอบอกว่าบริษัทมีแผนการเติบโตในระยะยาว แต่ระหว่างทางนั้น บริษัทก็มีปรับแผนย่อยๆ รองรับ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญที่สุด บริษัทพยายามสร้างทีมเวิร์คให้แข็งแกร่งเพื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรค ซึ่งอุปสรรคในมุมมองของจรีพรคือเรื่องท้าทายและต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ อีกด้าน บริษัทมุ่งมั่นการขยายงานอย่างต่อเนื่อง และเส้นทางลัดที่จะโตคือการเข้าซื้อกิจการ อย่างปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าซื้อ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งการเข้าซื้อครั้งนี้ ทำให้บริษัทมีโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจในอนาคต
สำหรับ สุพันธุ์ ผู้บุกเบิกและพัฒนาธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย บอกว่า แนวทางการขยายธุรกิจของบริษัท จะเน้นการหาผู้ร่วมทุนที่มีศักยภาพเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง อย่างที่ผ่านมาก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทย่อย คือ คอมแพค (ประเทศไทย) ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Synnex จากไต้หวัน จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วง ซอฟท์แวร์ ระบบสารสนเทศ และอุปกรณ์สื่อสาร แม้การร่วมทุนครั้งนั้น บริษัทจากไต้หวันจะซื้อหุ้นได้ค่อนข้างถูกก็ตามที แต่บริษัทก็ยินดีเพราะต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กรและสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน เพื่อทำโครงการใหญ่ในระยะยาว
สุพันธุ์ กล่าวว่า การขยายธุรกิจไปต่างประเทศจะเป็นไปตามแนวทางนี้ เนื่องจากการมีผู้ร่วมทุนที่เป็นคนท้องถิ่น จะทำให้เข้าถึงตลาดนั้นได้ง่าย และยังก่อเกิดความร่วมมือทำธุรกิจแขนงอื่นตามมา ปัจจุบัน บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัทที่ลาว และยังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับนักลงทุนในกัมพูชา รวมถึงมองหาโอกาสการควบรวมกิจการ (M&A) ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร
ด้าน สมัย ผู้ดำเนินธุรกิจรับวางระบบท่อและรับเหมาก่อสร้างโรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่บุกเบิกสร้างธุรกิจจนสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทต่อไป โดยเฉพาะการเพิ่มไลน์อุตสาหกรรมของทีอาร์ซีจากการเป็นผู้พัฒนาโครงการ มาเป็นการมองหาผู้ร่วมทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ให้เป็นเลขสองหลัก แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาผู้ร่วมทุนที่ “ใช่” และมีแนวทางที่สอดคล้องกับบริษัท ดังนั้น ทีอาร์ซีจะพยายามเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้ตัวเอง โดยสร้างบุคลากรที่มีความสามารถขึ้นมา แม้พนักงานคนไทยอาจมีข้อจำกัดเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ แต่สมัยก็แก้ปัญหาด้วยการจ้างพนักงานจากสิงคโปร์หรือบรูไนเข้ามาเสริมทีม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ทีมในการคว้าโอกาสงานโครงการใหม่ๆ ทั้งในและนอกประเทศ