คน 3 กลุ่มกับวัดพระธรรมกาย

คนที่ออกมาด่าวัดพระธรรมกายอยู่นี่แบ่งได้ 3 กลุ่มตามประสบการณ์ตรงที่มีกับวัด

กลุ่มที่ 1 ไม่เคยมาวัดเลย ไม่รู้ว่าวัดทำอะไร สอนอะไร ฟังแต่ข่าวแล้วก็ด่าๆๆ พวกนี้ไม่ทราบว่าคดีเก่าๆ ที่เคยเกิด ปรากฎว่าผู้กล่าวหามักจะลงเอยด้วยการแพ้คดีในศาล แล้วก็ลงขอโทษในหนังสือพิมพ์กรอบเล็กๆ หน้าในๆที่คนไม่สนใจอ่าน แต่ตอนกล่าวหานี่ลงหน้าหนึ่งพาดหัวไม้ หลังกรณีเหล่านี้วัดไม่เคยเอาเรื่องเอาราว จะมีก็แต่ขอให้ลงขอโทษดังกล่าว คนส่วนใหญ่ก็เลยเห็นแต่เรื่องที่ไม่จริงแต่ขายได้บนพาดหัวนสพ. พวกนี้จำนวนไม่น้อยกว่า 70-80% ของคนที่ออกมาด่าวัดตามโซเชียล ซึ่งคนพวกนี้ควรให้อภัยเพราะมีไม่น้อยที่ด่าด้วยใจบริสุทธิ์ และก็มีไม่น้อยที่ด่าแบบ "เอามันเฮ"

กลุ่มที่สอง เป็นพวกที่เคยมาวัดโดยตั้งใจไม่เกินห้าครั้ง ไม่ได้มาส่งเมีย หรือมาส่งแม่ แต่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม กลุ่มนี้อาจจะไม่ถูกจริตกับบรรยากาศในวัด การบอกบุญจำนวนมาก สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือไม่คุ้นกับโบสถ์ที่ไม่มีช่อฟ้าใบระกา ไม่มีงานเผาศพและไม่มีหมาวัด เวลากลุ่มนี้วิพากษ์วิจารย์จะมีน้ำหนักเพราะพอบอกว่าเคยมาวัดคนก็จะเชื่อทันที เนื่องจากไม่ชอบวัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้เสพข่าวลักษณะเดียวกับกลุ่มที่หนึ่ง ก็จะเข้าร่วมวงและวิจารณ์อย่างมีน้ำหนัก กลุ่มนี้เห็นว่าถ้าไม่ตรงกับสิ่งที่ตน "คิดว่า" ถูก ก็จะถือว่าผิด กลุ่มนี้อาจมีจำนวนถึง 20-30%

กลุ่มที่สามมาวัดต่อเนื่องหรือแม้กระทั่งอยู่วัดเป็นเวลานานๆ เคยเลื่อมใส แต่ต้องมีเหตุให้ไม่รักวัดต่อไป กลุ่มนี้มักจะเกิดความขัดแย้งอย่างใหญ่กับทางวัดทำให้ไม่สามารถไปด้วยกันต่อได้หรือจนกระทั่งเกลียดชังกัน ซึ่งน่าจะเป็นคน ที่เกลียดวัดเพราะไม่เคยเห็นวัดไปว่ากล่าวใครโดยเจตนาให้เขาพังพินาศ เราจะไม่พูดว่าคนผิดหรือวัดไม่ดีจริง เพราะต่างคนก็ต้องว่าตัวเองถูก แต่เราแน่ใจได้ว่าคนกลุ่มนี้มีจริง ด่าจริง ผมคำนวณว่ามีน้อยกว่า 1%

ความรู้สึกที่มีต่อคนกลุ่มแรกคิอเขาไม่ได้ผิดเลยในสังคมข่าวสารที่เป็นอยู่นี้ การจะต้องเดินทางไปพิสูจน์ทราบด้วยตนเองย่อมต้องไม่ใช่วิสัย นอกจากเป็นผู้ที่มีความเที่ยงธรรมจริงๆ ดังนั้นการเสพข่าวจากสื่อกระแสหลัก และอ่านบทความหรือหาฟังเรื่องราวที่ตัวเองเชื่อจึงเข้ากับวิถีชีวิตของเขา

ส่วนกลุ่มที่สอง เนื่องจากมีอิทธิพลกว่ากลุ่มแรก การวิพากษ์ก็ควรทำด้วยใจเป็นกลางให้ข้อมูลครบทั้งสองด้าน วัดใหญ่ แต่ เป็นระเบียบ, ไม่มีจิตรกรรมฝาผนัง แต่ ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน , บอกบุญเยอะ แต่ ก็เอาไปสร้างจริงตามที่สัญญาไว้ ถ้าทำได้แบบนี้ ผมถือว่ากลุ่มนี้  "แมน" มาก และน่านับถือในความเที่ยงตรง

กลุ่มสุดท้ายนี่เป็นพวกผูกปมแค้นฝังใจ แม้จะมีน้อยมาก แต่มีแรงมากเพราะเคยอยู่วัดมานาน รู้เรื่องของวัดมากมายเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง แต่เลือกตัดมาบางส่วนเอาเฉพาะที่สอดคล้องกับใจของคน และอาจจะตอบสนองกับเป้าหมายของตน

"คุณก็รู้ว่าลูกของเรามันตัวกลั่นเลย ก่อแต่เรื่อง ผมเบื่อพฤติกรรมของมัน ไม่เคยรู้สึกภูมิใจกับลูกคนนี้เลย"

หลายปีผ่านไป คนที่คุยกับพ่อตอนนั้น มาเล่าให้ลูกได้ฟัง ลูกถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก

"แล้วพ่อของหนูบอกต่อว่า" คนนั้นเล่าต่อ "แต่ถึงอย่างไรก็ลูกผม ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีผมเป็นคนผิดเอง ผมรักเขา และจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นคนดีให้ได้"

ถ้าคนเล่าเกลียดพ่อลูกคู่นี้ เขาอาจจะเลือกที่จะพูดเฉพาะส่วนแรก ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะพ่อพูดเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาไม่ได้เล่าด้วยใจที่เที่ยงธรรม ไม่ได้เล่าว่าพ่อมีสีหน้าอย่างไร เพราะเหตุใดจึงพูดเช่นนั้น และที่สำคัญที่สุดคือไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมด อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของพ่อ ไม่ได้พูดเพื่อสร้างสรรค์ แต่พูดเพื่อทำลาย

เรื่องเหล่านี้เราเห็นกันจนเป็นปกติ สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่เป็น Gate Keeper ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเที่ยงธรรม แต่มีการ "เลือก" ที่จะนำข้อมูลเพียงด้านใดด้านหนึ่งมาพูด ซึ่งปกติเรื่องที่เร้าอารมณ์คนในด้านลบจะมีผู้สนใจมากกว่า การจะนำเสนอด้านอื่นด้วยอาจจะทำให้ความเข้มข้นของข่าวหายไป ไม่มีช่องไหนเลยจริงๆที่นำเสนอว่าวัดทำอะไรมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ขอเพียงนำเสนอแบบตรงไปตรงมาก็จะมีประโยชน์มาก หรือสื่อมวลชนกำลังจะทำร้ายประชาชนด้วยการให้ข่าวสารที่ไม่ครบถ้วนเพียงด้านใดด้านหนึ่งอย่างเรื่องของพ่อลูกคู่นั้น?

ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะแสดงความรู้สึกอย่างไรต่อคนกลุ่มที่สามนี้ แต่ถ้าเป็นผม จะไม่เอาเรื่องความแค้นส่วนตัวมาทำให้เป็นประเด็นที่กระทบกระเทือนกับบ้านเมืองเช่นนี้ ผมคิดว่าน่าละอาย มันไม่แฟร์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่