กลายเป็นประเด็นขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่ออาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง
ออกมาโพสต์ข้อความติติงหน้าตาของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตใหม่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่ง
เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยระบุว่า
“จะทำให้อัตลักษณ์ของชาวจุฬาฯเป็นที่เคลือบเเคลงต่อสาธารณชน” ส่งผลให้ผู้คนตั้งคำถามว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกสำคัญขนาดไหน โดยเฉพาะในการเรียนการสอนระดับ
มหาวิทยาลัย และแวดวงวิชาการ
หนุ่ม สิว เหี่ยว ไม่เกี่ยว “ปัญญาชน”
ศาสตราภิชาน ล้อม เพ็งแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา วรรณคดี และประวัติศาสตร์ และอดีตครู ซึ่งได้รับคำ
นิยามว่า “ปราชญ์” คนหนึ่งของไทย ส่ายหน้าบอกว่า สำหรับแวดวงการศึกษา หน้าตาแบบไหน ไม่สำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือครูบาอาจารย์ แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระและศักยภาพของคนๆนั้นต่างหาก ใครนำเรื่อง
หน้าตามาเป็นสาระ ถือว่า “เพี้ยนชัดๆ”
“หน้าตาไม่เกี่ยวกับการเรียน ต้องดูว่าเขาเรียนได้หรือเปล่า และจะเรียนสถาบันไหนก็ได้ ไม่จำกัด
ส่วนผู้สอน จะหนุ่ม แก่ ฟันหลอ เป็นลุงหน้าเหี่ยวๆ ก็ไม่เกี่ยวกับวิชาการ เนื้อหาสาระที่สอนต่างหากที่
ต้องเอามาพิจารณาว่าถูกต้องไหม สอนใช้ได้ไหม ใครจำกัดคนจากเรื่องหน้าตา คนนั้นเพี้ยนชัดๆ
คนคิดอย่างนี้ ไม่มีสาระ” ปรามาจารย์ตอบสั้นๆ แต่ชัดเจน

ศาสตราภิชาน ล้อม เพ็งแก้ว ผู้ได้รับยกย่องเป็น “ปราชญ์” คนหนึ่งของเมืองไทย
ชนชั้น-อำนาจ-การศึกษา กำหนด “ทัศนะความงาม”
ด้าน ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง
อันดับต้นๆของเมืองไทย วิเคราะห์ว่า การศึกษากับชนชั้น เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ส่วนใหญ่คนเรียนดี คือคนที่มี
โอกาสในสังคมสูงกว่าคนอื่น อย่างนักศึกษาในมหาวิทยาลัยใหญ่แถวสามย่าน ซึ่งมักเป็นลูกหลานคนมีฐานะ
ซึ่งไม่ได้มีแต่อำนาจทางเศรษฐกิจ แต่มีอำนาจทางวัฒนธรรมด้วย นั่นคือ อำนาจในการกำหนด “ความงาม”
“การศึกษากับชนชั้นเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกอยู่แล้ว แล้วความงามกับชนชั้นก็เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกเช่นกัน มหาวิทยาลัยใหญ่แถวสามย่านมีลูกหลานคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถเข้าศึกษาได้ แน่นอนว่าพวกเขาเรียนดี
แต่ส่วนใหญ่ คนที่เรียนดีคือคนที่มีโอกาสทางสังคมมากกว่าคนอื่น ยิ่งการศึกษาไทยเป็นระบบที่บิดเบี้ยว แก้เท่าไหร่ก็ไม่ตกที่จะให้เกิดการกระจายของความรู้ไปในท้องถิ่น ความรู้สูงๆ คนมีความรู้ดีๆ ก็กระจุกตัวอยู่ในเขต
เมืองใหญ่ และจึงอยู่ในกลุ่มคนมีฐานะดีถึงดีมาก ทีนี้ คนมีฐานะ ไม่ได้มีแต่อำนาจทางเศรษฐกิจ เขามีอำนาจทาง
วัฒนธรรมด้วย มีอำนาจกำหนดความงามด้วย อะไรสวย ผิวพรรณแบบไหนที่เขาชอบ หน้าตาแบบไหนที่ดูดี มันถูก
กำหนดมาจากอำนาจทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นทัศนะต่อความงามที่ยึดเอาผิวพรรณขาว ซึ่งมีมาเนิ่นนานในสังคมไทย
จนทำให้ครีมเปลี่ยนสีผิว คือเปลี่ยนให้ขาว ขายได้น่ะ มันมีมาอยู่คู่กับสังคมไทยที่เป็นสังคมชนชั้น ผิวขาว ผิวนวล
ผิวสีทอง ผมตรง คือชนชั้นสูง ผิวคล้ำ ผิวดำ ผมหยิก คือชนชั้นล่าง” ยุกติกล่าว
ยุกติ ยังวิเคราะห์ถึงความ “ดูดี” ของนักศึกษาแถวสยามย่าน ว่า คนมีฐานะดี ก็มีโอกาสที่จะดูดีได้มากกว่าคนฐานะไม่ดี ทั้งข่าวสารข้อมูลการแต่งตัวตามแฟชั่นความงาม และโอกาสที่จะได้ซื้อเสื้อผ้าได้บ่อยๆ ด้วยเงินแม้จะไม่มาก แต่เมื่ออยู่
ใจกลางเมืองในย่านแฟชั่น ก็ยิ่งทำให้นักศึกษาแถวสามย่านมีโอกาสดูดีได้มากกว่าที่อื่น ทั้งหมดนั้นทำให้เกิดชุดความคิดเป็นความคาดหวังที่สังคมและที่คนในมหาวิทยาลัยนั้นเองคิดว่า นักศึกษาที่นั่นต้องหน้าตาดี

ผศ.ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์
หน้าตาดี แบบ "ตระกองขวัญ" น่าจะเหมาะกับ "จุฬา.." ไหม .../sao..เหลือ..noi
กลายเป็นประเด็นขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่ออาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง
ออกมาโพสต์ข้อความติติงหน้าตาของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตใหม่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่ง
เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยระบุว่า “จะทำให้อัตลักษณ์ของชาวจุฬาฯเป็นที่เคลือบเเคลงต่อสาธารณชน” ส่งผลให้ผู้คนตั้งคำถามว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกสำคัญขนาดไหน โดยเฉพาะในการเรียนการสอนระดับ
มหาวิทยาลัย และแวดวงวิชาการ
หนุ่ม สิว เหี่ยว ไม่เกี่ยว “ปัญญาชน”
ศาสตราภิชาน ล้อม เพ็งแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา วรรณคดี และประวัติศาสตร์ และอดีตครู ซึ่งได้รับคำ
นิยามว่า “ปราชญ์” คนหนึ่งของไทย ส่ายหน้าบอกว่า สำหรับแวดวงการศึกษา หน้าตาแบบไหน ไม่สำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือครูบาอาจารย์ แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระและศักยภาพของคนๆนั้นต่างหาก ใครนำเรื่อง
หน้าตามาเป็นสาระ ถือว่า “เพี้ยนชัดๆ”
“หน้าตาไม่เกี่ยวกับการเรียน ต้องดูว่าเขาเรียนได้หรือเปล่า และจะเรียนสถาบันไหนก็ได้ ไม่จำกัด
ส่วนผู้สอน จะหนุ่ม แก่ ฟันหลอ เป็นลุงหน้าเหี่ยวๆ ก็ไม่เกี่ยวกับวิชาการ เนื้อหาสาระที่สอนต่างหากที่
ต้องเอามาพิจารณาว่าถูกต้องไหม สอนใช้ได้ไหม ใครจำกัดคนจากเรื่องหน้าตา คนนั้นเพี้ยนชัดๆ
คนคิดอย่างนี้ ไม่มีสาระ” ปรามาจารย์ตอบสั้นๆ แต่ชัดเจน
ศาสตราภิชาน ล้อม เพ็งแก้ว ผู้ได้รับยกย่องเป็น “ปราชญ์” คนหนึ่งของเมืองไทย
ชนชั้น-อำนาจ-การศึกษา กำหนด “ทัศนะความงาม”
ด้าน ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง
อันดับต้นๆของเมืองไทย วิเคราะห์ว่า การศึกษากับชนชั้น เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ส่วนใหญ่คนเรียนดี คือคนที่มี
โอกาสในสังคมสูงกว่าคนอื่น อย่างนักศึกษาในมหาวิทยาลัยใหญ่แถวสามย่าน ซึ่งมักเป็นลูกหลานคนมีฐานะ
ซึ่งไม่ได้มีแต่อำนาจทางเศรษฐกิจ แต่มีอำนาจทางวัฒนธรรมด้วย นั่นคือ อำนาจในการกำหนด “ความงาม”
“การศึกษากับชนชั้นเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกอยู่แล้ว แล้วความงามกับชนชั้นก็เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกเช่นกัน มหาวิทยาลัยใหญ่แถวสามย่านมีลูกหลานคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถเข้าศึกษาได้ แน่นอนว่าพวกเขาเรียนดี
แต่ส่วนใหญ่ คนที่เรียนดีคือคนที่มีโอกาสทางสังคมมากกว่าคนอื่น ยิ่งการศึกษาไทยเป็นระบบที่บิดเบี้ยว แก้เท่าไหร่ก็ไม่ตกที่จะให้เกิดการกระจายของความรู้ไปในท้องถิ่น ความรู้สูงๆ คนมีความรู้ดีๆ ก็กระจุกตัวอยู่ในเขต
เมืองใหญ่ และจึงอยู่ในกลุ่มคนมีฐานะดีถึงดีมาก ทีนี้ คนมีฐานะ ไม่ได้มีแต่อำนาจทางเศรษฐกิจ เขามีอำนาจทาง
วัฒนธรรมด้วย มีอำนาจกำหนดความงามด้วย อะไรสวย ผิวพรรณแบบไหนที่เขาชอบ หน้าตาแบบไหนที่ดูดี มันถูก
กำหนดมาจากอำนาจทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นทัศนะต่อความงามที่ยึดเอาผิวพรรณขาว ซึ่งมีมาเนิ่นนานในสังคมไทย
จนทำให้ครีมเปลี่ยนสีผิว คือเปลี่ยนให้ขาว ขายได้น่ะ มันมีมาอยู่คู่กับสังคมไทยที่เป็นสังคมชนชั้น ผิวขาว ผิวนวล
ผิวสีทอง ผมตรง คือชนชั้นสูง ผิวคล้ำ ผิวดำ ผมหยิก คือชนชั้นล่าง” ยุกติกล่าว
ยุกติ ยังวิเคราะห์ถึงความ “ดูดี” ของนักศึกษาแถวสยามย่าน ว่า คนมีฐานะดี ก็มีโอกาสที่จะดูดีได้มากกว่าคนฐานะไม่ดี ทั้งข่าวสารข้อมูลการแต่งตัวตามแฟชั่นความงาม และโอกาสที่จะได้ซื้อเสื้อผ้าได้บ่อยๆ ด้วยเงินแม้จะไม่มาก แต่เมื่ออยู่
ใจกลางเมืองในย่านแฟชั่น ก็ยิ่งทำให้นักศึกษาแถวสามย่านมีโอกาสดูดีได้มากกว่าที่อื่น ทั้งหมดนั้นทำให้เกิดชุดความคิดเป็นความคาดหวังที่สังคมและที่คนในมหาวิทยาลัยนั้นเองคิดว่า นักศึกษาที่นั่นต้องหน้าตาดี
ผศ.ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์