พาณิชย์พบภาคประชาสังคม ถกปม TPP

ประชาชาติรายงาน นางอภิรดี  ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการศึกษาความพร้อมของไทยต่อความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์รับทราบประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวล และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญภายใต้ความตกลง TPP ได้แก่ ทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งในเรื่องสิทธิบัตรยา การคุ้มครองข้อมูลการทดสอบยา การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ การให้สิทธินักลงทุนฟ้องรัฐ ซึ่งกระทรวงฯ ยินดีและพร้อมรับข้อเสนอแนะของทุกกลุ่มไปประกอบการศึกษาในรายละเอียดอย่างรอบคอบและรอบด้าน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ

"ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วม TPP หรือไม่ จึงจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับผลดีผลเสีย และประเมินความพร้อมของไทยอย่างรอบคอบ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมของไทยต่อความตกลง TPP โดยเฉพาะภาคส่วนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เราจะรับฟังประเด็นปัญหาและหารือเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด"

อย่างไรก็ดี การที่ TPP เป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีมาตรฐานสูงที่สุดในโลก โดยมีมูลค่า GDP ของประเทศสมาชิกรวมกัน 27.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 39.3 ของมูลค่า GDP โลก และมีมูลการค้ารวม TPP ต่อโลกประมาณ 8.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 26.17 ของมูลค่าการค้าโลก ดังนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ทั้งในแง่ของการส่งออก ซึ่งเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออกถึงร้อยละ 60 และการเป็นข้อต่อสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานโลก หากประเทศสมาชิก TPP มุ่งเน้นทำการค้าระหว่างกันมากขึ้น

"ในกรณีของ TPP ขณะนี้มีหลายประเทศที่แสดงความต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮอนดูรัส และโคลัมเบีย ถึงแม้ว่าไทยจะพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลง TPP หรือไม่ก็ตาม แต่ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 เพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศให้สามารถแข่งขันกับประเทศสมาชิก TPP และกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่นับวันจะยิ่งขยายเพิ่มขึ้น"

............................

นอกจากนี้สำนักข่าวบีบีซีประจำประเทศไทยยังเปิดเผยบทสัมภาษณ์ น.ส. กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญกลุ่มฯ มาหารือ ในฐานะที่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และพบว่าที่ผ่านมารัฐไม่ได้รับฟังผลกระทบจากกลุ่มต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

“จะต้องมีการชี้แจงในระดับนโยบายว่าหากไทยเข้าร่วมทีพีพี สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหนึ่งก็คือการจำต้องยอมรับระยะเวลาผูกขาดตลาดยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 1-10 ปี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเองประเมินว่า จะต้องเตรียมงบประมาณรองรับตั้งแต่ 2,835 – 288,266 ล้านบาทต่อปี แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของไทย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเตรียมการรองรับอย่างไร และหากเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับซึ่งสถาบันปัญญาภิวัฒน์ ศึกษาพบว่าจะทำให้จีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น 0.77% เท่านั้น”

ทั้งนี้ เอฟทีเอ ว็อทช์ ได้เรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ได้ทบทวนเรื่องนี้ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรม การนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในวันจันทร์หน้า นอกจากนี้จะต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนเพื่อให้สังคมและแวดวงวิชาการได้ร่วมตรวจสอบ และในระหว่างนี้ให้หยุดกระบวนการแก้กฎหมาย ประกาศและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ฯลฯ เอาไว้ก่อน

ด้านนายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ทางกระทรวงฯ รับเรื่องที่เป็นข้อกังวลไว้พิจารณาทั้งหมด ส่วนจะนำเสนอต่อที่ประชุมกนศ.ในวันจันทร์หน้าหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจตอบได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่