
ปี พ.ศ.๒๔๒๙ พม่าเสียเมืองให้อังกฤษ ถูกยึดโดยกำลังทหารที่เหนือกว่า พม่าทั้งประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ พระเจ้าธีบอและครอบครัวถูกเนรเทศไปอยู่บริติชอินเดีย ซึ่งพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร จำนวน ๘๐ คน และกุลีนับร้อยคน แบกหีบห่อของใช้ต่างๆ ของพระองค์ตามเสด็จมาเมืองย่างกุ้ง
แต่สุดท้ายเมื่อทราบว่าพระองค์จะต้องไปประทับอยู่ที่อินเดีย พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารจำนวนมากปฏิเสธที่จะตามเสด็จ จึงมีเพียงพระเจ้าธีบอ พระมเหสี ๒ พระองค์ พระราชธิดา ๒ พระองค์ ข้าราชบริพาร ๒ คน ล่าม ๑ คน และนางกำนัลรุ่นเยาว์ ๑๗ คน

พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัต ถูกอังกฤษเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ของบริติชอินเดีย ที่อังกฤษปกครอง บั้นปลายชีวิตของพระองค์ และพระนางศุภยาลัตที่วังในรัตนคีรี แม้ไม่โหดร้าย แต่ก็ระทมขมขื่นด้วยความเครียดจัด
ภายในตำหนัก พระเจ้าธีบออยู่ที่นั่นในแต่ละวันด้วยความโดดเดี่ยวหงอยเหงาและเบื่อหน่ายอย่างที่สุด พระองค์ก็ไม่ได้ลำบากตรากตรำ ไม่ต้องตักน้ำ ฝ่าฟืน หรือไถนาปลูกข้าวกินเอง ยังดำรงพระยศอย่างกษัตริย์ มีข้าราชบริพารรับใช้ คล้ายๆ กับเมื่ออยู่ในพม่า

เมื่อพระองค์ทรงเครียดจัดกับชีวิตแบบนี้ ทรงระดมส่งจดหมายจำนวนนับไม่ถ้วนถึงไวซรอยหรือผู้สำเร็จราชการแห่งบริติชอินเดียซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการเนรเทศพระองค์มาที่นี่ ในจดหมายเหล่านั้น ทรงเรียกร้องให้ผู้สำเร็จราชการเชิญเสด็จพระองค์กลับบ้านเกิดเมืองนอนตามเดิม เรียกร้องแล้วเรียกร้องอีกแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะอังกฤษเกรงว่าถ้าเอากษัตริย์พม่ากลับไปจะเป็นชนวนก่อความยุ่งยากทางการเมืองขึ้นในพม่า จึงไม่เสี่ยง
ปัญหาที่สองของพระเจ้าธีบอคือค่าใช้จ่าย พระองค์ไม่ใช่ชาวบ้าน ที่มีหลังคาคุ้มหัวกับข้าววันละสามมื้อก็พอ แต่ทรงอยู่อย่างกษัตริย์ มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย เบี้ยเลี้ยงที่รัฐบาลอังกฤษในพม่าจ่ายให้ ก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับพระเกียรติยศ
ทรงได้รับเงินเดือนที่ฝรั่งทูลเกล้าฯ ถวาย ตอนที่ประทับอยู่ที่รัตนคีรี ตอนแรกก็ ๑๐๐,๐๐๐ รูปี แล้วก็ลดมาเป็น ๖๐,๐๐๐ รูปี และเหมาเพิ่มให้ตามเทศกาลต่างๆ อีกราวปีละ ๙,๕๐๐ รูปี
จึงต้องทรงนำพระราชทรัพย์อันได้แก่เครื่องเพชรนิลจินดา ที่พระนางศุภยาลัตนำติดตัวมา ออกขายในราคาถูกกดมหาโหดจากพ่อค้าอินเดีย คำพังเพยที่ว่าเคราะห์ร้ายไม่ได้มาหนเดียว เป็นความจริงในชีวิตพระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัต
บริติชอินเดียก็มิได้อินังขังขอบเจ้านายพลัดถิ่น พระนางสุภยาลัตมีพระประสูติกาลพระราชธิดาอีก ๒ พระองค์ พระนางไม่อนุญาตให้เจ้าหญิงทั้งสี่ไปโรงเรียน หรือคบหากับเด็กชาวบ้าน พระราชธิดาทั้งสี่ จึงใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจากสังคมภายนอก
โชคชะตาฟ้าลิขิตให้เจ้าหญิงพระธิดาก่อเรื่อง ให้พระบิดามารดาเกิดอาการเครียดเข้าไปอีก เหตุพระธิดาองค์ใหญ่ ความเป็นสตรีทำให้เจ้าหญิงประกอบอาชีพอะไรก็ไม่ได้ และหาพระสวามีไม่ได้ ไม่มีใครวิวาห์ด้วยเพราะถือว่าเป็นคนต่างชาติต่างภาษา

เจ้าหญิงองค์ใหญ่ หลังจากอยู่เป็นสาวใหญ่มาจนอายุได้ ๒๔ ปี เธอก็ได้สามีเป็นสารถีขับรถและยามเฝ้าประตูของตำหนักในรัตนคีรีนั่นเอง นายคนนี้เป็นชาวอินเดียชื่อ นายโคปาล สาวันต์ จนมีลูกสาวเชื้อชาติครึ่งอินเดีย-พม่ามาคนหนึ่งชื่อว่า "ตูตู"
ตอนแรกพระเจ้าธีบอ กับพระนางศุภยาลัตก็กริ้วโกรธ หากว่ายังทรงมีอำนาจเต็มเหมือนเมื่อครั้งนั่งบัลลังก์ เห็นทีลูกเขยจะต้องถูกประหารชีวิตเป็นแน่แท้
แต่บัดนี้สิ้นยศสิ้นอำนาจวาสนา จะทำอะไรก็ไม่ได้ ขืนเฉดหัวพระธิดาไป เธอก็ตกระกำลำบาก พระเจ้าธีบอ กับพระนางศุภยาลัตก็เลยกลืนเลือด ยอมคืนดีกับลูกสาว รับหลานสาวตัวน้อยๆ "ตูตู" มาเลี้ยงไว้ในตำหนักรัตนคีรี ความบาดหมางก็เบาบางลงไป แต่เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ก็ไม่ได้เสกสมรสกับนายโคปาลอยู่ดี ตูตู จึงเป็นลูกนอกสมรส และไร้วรรณะในสังคมฮินดู

เจ้าฟ้าหญิงองค์ที่สองชื่อ Myat Paya Lat ทรงหัวดื้อ ไม่ค่อยจะอยู่ในโอวาทพ่อแม่ เธอเกิดสร้างตำนานรักขึ้นมาอีก ไม่ใช่ชาวอินเดียอย่างพี่เขย แต่เป็นหนุ่มพม่าชื่อ ขิ่น เมือง คยี ที่เป็นชนชาติเดียวกัน แต่พระเจ้าสีป่อ ก็ต่อต้านเต็มที่ เพราะเขาไม่ใช่ใครอื่น เป็นข้ารับใช้ในตำหนักนั่นเอง ไม่ได้โก้หรูและมีเกียรติตามทางของเจ้าหญิง ก็มีทางเดียวคือทรงหอบผ้าหนีออกจากวังไปพร้อมกับคนรัก เพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่ต้องมีชนชั้นวรรณะกีดขวาง เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระธิดาหนีไปไม่มีวันกลับ พระองค์ก็ทั้งกริ้วทั้งโทมนัสอย่างหนัก พระชนม์ก็มากแล้ว

ในการเสด็จประพาสยุโรปทั้ง ๒ ครั้งของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีการตัดสินอนุญาตให้ส่งหนังสือพิมพ์จากบอมเบย์ ไปยังเคหาสน์เอาท์แรม พร้อมกับเที่ยวเรือขนส่งเนื้อหมูของพระเจ้าสีป่อ หนังสือพิมพ์ปึกแรก ทำให้จิตใจพระเจ้าธีบอ จดจ่อหมกมุ่น คือข่าวบรรยายการเสด็จประพาสยุโรปของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์แห่งกรุงสยาม"
นับเป็นครั้งแรกที่พระราชวงศ์เอเชีย เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ การเสด็จประพาสกินเวลานานหลายสัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดครอบงำความสนพระทัยของพระเจ้าธีบอได้อีกเลย

ที่กรุงลอนดอน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์ประทับ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม , พระองค์ทรงรับการถวายการต้อนรับสู่ออสเตรีย โดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ , ทรงรับการถวายพระราชไมตรีโดยกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ณ กรุงโคเปนเฮเกน , ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ถวายพระราชทานเลี้ยง ณ กรุงปารีส

ที่ประเทศเยอรมนี พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม ทรงยืนคอยรับเสด็จที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งขบวนรถไฟพระที่นั่งของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แล่นเข้าเทียบ
พระเจ้าธีบออทรงอ่านรายงานข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งทรงจดจำขึ้นพระทัย
วันหนึ่งพระองค์ทรงรับสั่งกับเหล่าพระราชธิดาว่า “ บัดนี้ พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบักกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบ อยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้ “
..........................................
ข้อมูลจาก facebook "แฉ...ความลับ"
กระทู้ยามบ่าย (๑๔๒)
ปี พ.ศ.๒๔๒๙ พม่าเสียเมืองให้อังกฤษ ถูกยึดโดยกำลังทหารที่เหนือกว่า พม่าทั้งประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ พระเจ้าธีบอและครอบครัวถูกเนรเทศไปอยู่บริติชอินเดีย ซึ่งพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร จำนวน ๘๐ คน และกุลีนับร้อยคน แบกหีบห่อของใช้ต่างๆ ของพระองค์ตามเสด็จมาเมืองย่างกุ้ง
แต่สุดท้ายเมื่อทราบว่าพระองค์จะต้องไปประทับอยู่ที่อินเดีย พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารจำนวนมากปฏิเสธที่จะตามเสด็จ จึงมีเพียงพระเจ้าธีบอ พระมเหสี ๒ พระองค์ พระราชธิดา ๒ พระองค์ ข้าราชบริพาร ๒ คน ล่าม ๑ คน และนางกำนัลรุ่นเยาว์ ๑๗ คน
พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัต ถูกอังกฤษเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ของบริติชอินเดีย ที่อังกฤษปกครอง บั้นปลายชีวิตของพระองค์ และพระนางศุภยาลัตที่วังในรัตนคีรี แม้ไม่โหดร้าย แต่ก็ระทมขมขื่นด้วยความเครียดจัด
ภายในตำหนัก พระเจ้าธีบออยู่ที่นั่นในแต่ละวันด้วยความโดดเดี่ยวหงอยเหงาและเบื่อหน่ายอย่างที่สุด พระองค์ก็ไม่ได้ลำบากตรากตรำ ไม่ต้องตักน้ำ ฝ่าฟืน หรือไถนาปลูกข้าวกินเอง ยังดำรงพระยศอย่างกษัตริย์ มีข้าราชบริพารรับใช้ คล้ายๆ กับเมื่ออยู่ในพม่า
เมื่อพระองค์ทรงเครียดจัดกับชีวิตแบบนี้ ทรงระดมส่งจดหมายจำนวนนับไม่ถ้วนถึงไวซรอยหรือผู้สำเร็จราชการแห่งบริติชอินเดียซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการเนรเทศพระองค์มาที่นี่ ในจดหมายเหล่านั้น ทรงเรียกร้องให้ผู้สำเร็จราชการเชิญเสด็จพระองค์กลับบ้านเกิดเมืองนอนตามเดิม เรียกร้องแล้วเรียกร้องอีกแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะอังกฤษเกรงว่าถ้าเอากษัตริย์พม่ากลับไปจะเป็นชนวนก่อความยุ่งยากทางการเมืองขึ้นในพม่า จึงไม่เสี่ยง
ปัญหาที่สองของพระเจ้าธีบอคือค่าใช้จ่าย พระองค์ไม่ใช่ชาวบ้าน ที่มีหลังคาคุ้มหัวกับข้าววันละสามมื้อก็พอ แต่ทรงอยู่อย่างกษัตริย์ มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย เบี้ยเลี้ยงที่รัฐบาลอังกฤษในพม่าจ่ายให้ ก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับพระเกียรติยศ
ทรงได้รับเงินเดือนที่ฝรั่งทูลเกล้าฯ ถวาย ตอนที่ประทับอยู่ที่รัตนคีรี ตอนแรกก็ ๑๐๐,๐๐๐ รูปี แล้วก็ลดมาเป็น ๖๐,๐๐๐ รูปี และเหมาเพิ่มให้ตามเทศกาลต่างๆ อีกราวปีละ ๙,๕๐๐ รูปี
จึงต้องทรงนำพระราชทรัพย์อันได้แก่เครื่องเพชรนิลจินดา ที่พระนางศุภยาลัตนำติดตัวมา ออกขายในราคาถูกกดมหาโหดจากพ่อค้าอินเดีย คำพังเพยที่ว่าเคราะห์ร้ายไม่ได้มาหนเดียว เป็นความจริงในชีวิตพระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัต
บริติชอินเดียก็มิได้อินังขังขอบเจ้านายพลัดถิ่น พระนางสุภยาลัตมีพระประสูติกาลพระราชธิดาอีก ๒ พระองค์ พระนางไม่อนุญาตให้เจ้าหญิงทั้งสี่ไปโรงเรียน หรือคบหากับเด็กชาวบ้าน พระราชธิดาทั้งสี่ จึงใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจากสังคมภายนอก
โชคชะตาฟ้าลิขิตให้เจ้าหญิงพระธิดาก่อเรื่อง ให้พระบิดามารดาเกิดอาการเครียดเข้าไปอีก เหตุพระธิดาองค์ใหญ่ ความเป็นสตรีทำให้เจ้าหญิงประกอบอาชีพอะไรก็ไม่ได้ และหาพระสวามีไม่ได้ ไม่มีใครวิวาห์ด้วยเพราะถือว่าเป็นคนต่างชาติต่างภาษา
เจ้าหญิงองค์ใหญ่ หลังจากอยู่เป็นสาวใหญ่มาจนอายุได้ ๒๔ ปี เธอก็ได้สามีเป็นสารถีขับรถและยามเฝ้าประตูของตำหนักในรัตนคีรีนั่นเอง นายคนนี้เป็นชาวอินเดียชื่อ นายโคปาล สาวันต์ จนมีลูกสาวเชื้อชาติครึ่งอินเดีย-พม่ามาคนหนึ่งชื่อว่า "ตูตู"
ตอนแรกพระเจ้าธีบอ กับพระนางศุภยาลัตก็กริ้วโกรธ หากว่ายังทรงมีอำนาจเต็มเหมือนเมื่อครั้งนั่งบัลลังก์ เห็นทีลูกเขยจะต้องถูกประหารชีวิตเป็นแน่แท้
แต่บัดนี้สิ้นยศสิ้นอำนาจวาสนา จะทำอะไรก็ไม่ได้ ขืนเฉดหัวพระธิดาไป เธอก็ตกระกำลำบาก พระเจ้าธีบอ กับพระนางศุภยาลัตก็เลยกลืนเลือด ยอมคืนดีกับลูกสาว รับหลานสาวตัวน้อยๆ "ตูตู" มาเลี้ยงไว้ในตำหนักรัตนคีรี ความบาดหมางก็เบาบางลงไป แต่เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ก็ไม่ได้เสกสมรสกับนายโคปาลอยู่ดี ตูตู จึงเป็นลูกนอกสมรส และไร้วรรณะในสังคมฮินดู
เจ้าฟ้าหญิงองค์ที่สองชื่อ Myat Paya Lat ทรงหัวดื้อ ไม่ค่อยจะอยู่ในโอวาทพ่อแม่ เธอเกิดสร้างตำนานรักขึ้นมาอีก ไม่ใช่ชาวอินเดียอย่างพี่เขย แต่เป็นหนุ่มพม่าชื่อ ขิ่น เมือง คยี ที่เป็นชนชาติเดียวกัน แต่พระเจ้าสีป่อ ก็ต่อต้านเต็มที่ เพราะเขาไม่ใช่ใครอื่น เป็นข้ารับใช้ในตำหนักนั่นเอง ไม่ได้โก้หรูและมีเกียรติตามทางของเจ้าหญิง ก็มีทางเดียวคือทรงหอบผ้าหนีออกจากวังไปพร้อมกับคนรัก เพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่ต้องมีชนชั้นวรรณะกีดขวาง เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระธิดาหนีไปไม่มีวันกลับ พระองค์ก็ทั้งกริ้วทั้งโทมนัสอย่างหนัก พระชนม์ก็มากแล้ว
ในการเสด็จประพาสยุโรปทั้ง ๒ ครั้งของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีการตัดสินอนุญาตให้ส่งหนังสือพิมพ์จากบอมเบย์ ไปยังเคหาสน์เอาท์แรม พร้อมกับเที่ยวเรือขนส่งเนื้อหมูของพระเจ้าสีป่อ หนังสือพิมพ์ปึกแรก ทำให้จิตใจพระเจ้าธีบอ จดจ่อหมกมุ่น คือข่าวบรรยายการเสด็จประพาสยุโรปของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์แห่งกรุงสยาม"
นับเป็นครั้งแรกที่พระราชวงศ์เอเชีย เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ การเสด็จประพาสกินเวลานานหลายสัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดครอบงำความสนพระทัยของพระเจ้าธีบอได้อีกเลย
ที่กรุงลอนดอน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์ประทับ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม , พระองค์ทรงรับการถวายการต้อนรับสู่ออสเตรีย โดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ , ทรงรับการถวายพระราชไมตรีโดยกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ณ กรุงโคเปนเฮเกน , ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ถวายพระราชทานเลี้ยง ณ กรุงปารีส
ที่ประเทศเยอรมนี พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม ทรงยืนคอยรับเสด็จที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งขบวนรถไฟพระที่นั่งของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แล่นเข้าเทียบ
พระเจ้าธีบออทรงอ่านรายงานข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งทรงจดจำขึ้นพระทัย
วันหนึ่งพระองค์ทรงรับสั่งกับเหล่าพระราชธิดาว่า “ บัดนี้ พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบักกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบ อยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้ “
..........................................
ข้อมูลจาก facebook "แฉ...ความลับ"