ที่มา:
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1464370141
สภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังคงเป็นอุปสรรคหลักสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภัยแล้ง ราคาพืชผลเกษตรที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นฐานหลักของประเทศมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ผู้ประกอบการต่าง ๆ จึงหันมาอัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยเฉพาะการใช้โปรโมชั่นลดราคา เพื่อปลุกมู้ดการจับจ่าย ทำให้ภาวะการแข่งขันของตลาดเต็มไปด้วยการหั่นราคาต่อสู้กัน
"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ตลาดเครื่องดื่มในปี 2559 จะมีมูลค่าประมาณ 225,000-230,000 ล้านบาท เติบโตลดลง 3.2-5.3% จากปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 237,500 ล้านบาท แต่กลับมีการขยายตัวในเชิงปริมาณ 1-2.2% เป็นผลมาจากการทำตลาดของร้านค้าในลักษณะลด แลก แจก แถม เพื่อดึงกำลังซื้อในช่วงที่การบริโภคโดยรวมชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขในกรณีที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ตามที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอให้จัดเก็บภาษี 2 อัตรา ตามความเข้มข้นของน้ำตาล คือ ปริมาณน้ำตาล 6-10 กรัมต่อ 100 มล. จัดเก็บไม่น้อยกว่า 20% ของราคาขายปลีก และปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 กรัมต่อ 100 มล. จัดเก็บไม่น้อยกว่า 25% ของราคาขายปลีก เพื่อลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อต่าง ๆ ที่เกิดจากการบริโภคน้ำตาล เช่น หัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
หากข้อเสนอดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีรสหวานเกือบทั้งหมด มีราคาสูงขึ้นถึง 20-25% ของราคาขายปลีกในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น น้ำตาล บรรจุภัณฑ์ โลจิสติกส์ รวมถึงผู้บริโภคที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างของตลาดพบว่า เครื่องดื่มประเภทอัดลมและโซดาที่มีสัดส่วน 39.6% ของมูลค่าตลาด รองลงมาเป็นน้ำดื่ม 19.2% ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ 18.5% ชากาแฟพร้อมดื่ม 15.9% และน้ำผลไม้ 6.7% ปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ ที่อัตรา 20% ของราคาหน้าโรงงาน หรือ 0.45 บาท/440 ลบ.ซม. ส่วนโซดาเสียภาษีในอัตรา 25% ของราคาหน้าโรงงาน หรือ 0.77 บาท/440 ลบ.ซม.
ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวดชาเขียวพร้อมดื่ม กาแฟพร้อมดื่ม และน้ำผลไม้ ที่มีส่วนผสมของผักหรือผลไม้ตามสัดส่วนที่กำหนด (อย่างน้อย 10%) ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต แต่หากน้อยกว่าที่กำหนดจะต้องเสียในอัตรา 20% ของราคาหน้าโรงงาน หรือ 0.45 บาท/440 ลบ.ซม.
ด้านผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีในครั้งนี้ ตลอดจนการแข่งขันภาพรวม "ตัน ภาสกรนที"กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้เตรียมรับมือไว้ 2 แนวทาง คือการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม
และการปรับราคาสินค้า โดยพิจารณาเป็นรายผลิตภัณฑ์ว่าควรปรับอย่างไรให้เหมาะสม ส่วนทางด้านของการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดชาพร้อมดื่ม ทำให้บริษัทวางแผนที่จะเข้าไปในแคทิกอรี่ใหม่ ๆเพื่อเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น โดยการออกสินค้าใหม่ เช่น น้ำผลไม้ไบเล่ 100% เยลลี่ ฯลฯ และในปีนี้ยังเน้นการทำกิจกรรมในกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น อิชิตัน น้ำตาล 0% เพื่อขยายฐานลูกค้าและเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น
หรือ "พรชัย ชูสงวน" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการตลาด บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) ที่มองว่า ที่ผ่านมาเคยมีการปรับขึ้นภาษีในลักษณะนี้มาแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการทุกฝ่ายก็สามารถผ่านพ้นมาได้ แม้ว่าในช่วงแรกจะส่งผลกระทบต่อตลาดเครื่องดื่มโดยรวมอยู่บ้าง ซึ่งในส่วนของบริษัทกำลังพิจารณาอยู่ว่า หากขึ้นภาษีแล้วจะกระทบโครงสร้างราคามากน้อยแค่ไหน จึงจะมีการปรับแผนการทำงานอีกครั้ง เพราะสินค้าที่คาดว่าจะกระทบมีเพียงกลุ่มน้ำผลไม้ 40% และ 25% เท่านั้น โดยยอดขายหลักกว่า 60% ยังมาจากกลุ่มน้ำผลไม้ 100%
ในภาวะที่กำลังซื้อยังย่ำแย่เช่นนี้ หากสินค้าต้องปรับราคาสูงขึ้นตามโครงสร้างภาษีใหม่ คงจะส่งผลกระทบไม่น้อยกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มปี 2559 อย่างแน่นอน
เครื่องดื่ม 2 แสนล้านวูบ เก็บภาษี "น้ำตาล" ทุบตลาดซ้ำ
สภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังคงเป็นอุปสรรคหลักสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภัยแล้ง ราคาพืชผลเกษตรที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นฐานหลักของประเทศมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ผู้ประกอบการต่าง ๆ จึงหันมาอัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยเฉพาะการใช้โปรโมชั่นลดราคา เพื่อปลุกมู้ดการจับจ่าย ทำให้ภาวะการแข่งขันของตลาดเต็มไปด้วยการหั่นราคาต่อสู้กัน
"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ตลาดเครื่องดื่มในปี 2559 จะมีมูลค่าประมาณ 225,000-230,000 ล้านบาท เติบโตลดลง 3.2-5.3% จากปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 237,500 ล้านบาท แต่กลับมีการขยายตัวในเชิงปริมาณ 1-2.2% เป็นผลมาจากการทำตลาดของร้านค้าในลักษณะลด แลก แจก แถม เพื่อดึงกำลังซื้อในช่วงที่การบริโภคโดยรวมชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขในกรณีที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ตามที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอให้จัดเก็บภาษี 2 อัตรา ตามความเข้มข้นของน้ำตาล คือ ปริมาณน้ำตาล 6-10 กรัมต่อ 100 มล. จัดเก็บไม่น้อยกว่า 20% ของราคาขายปลีก และปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 กรัมต่อ 100 มล. จัดเก็บไม่น้อยกว่า 25% ของราคาขายปลีก เพื่อลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อต่าง ๆ ที่เกิดจากการบริโภคน้ำตาล เช่น หัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
หากข้อเสนอดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีรสหวานเกือบทั้งหมด มีราคาสูงขึ้นถึง 20-25% ของราคาขายปลีกในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น น้ำตาล บรรจุภัณฑ์ โลจิสติกส์ รวมถึงผู้บริโภคที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างของตลาดพบว่า เครื่องดื่มประเภทอัดลมและโซดาที่มีสัดส่วน 39.6% ของมูลค่าตลาด รองลงมาเป็นน้ำดื่ม 19.2% ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ 18.5% ชากาแฟพร้อมดื่ม 15.9% และน้ำผลไม้ 6.7% ปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ ที่อัตรา 20% ของราคาหน้าโรงงาน หรือ 0.45 บาท/440 ลบ.ซม. ส่วนโซดาเสียภาษีในอัตรา 25% ของราคาหน้าโรงงาน หรือ 0.77 บาท/440 ลบ.ซม.
ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวดชาเขียวพร้อมดื่ม กาแฟพร้อมดื่ม และน้ำผลไม้ ที่มีส่วนผสมของผักหรือผลไม้ตามสัดส่วนที่กำหนด (อย่างน้อย 10%) ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต แต่หากน้อยกว่าที่กำหนดจะต้องเสียในอัตรา 20% ของราคาหน้าโรงงาน หรือ 0.45 บาท/440 ลบ.ซม.
ด้านผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีในครั้งนี้ ตลอดจนการแข่งขันภาพรวม "ตัน ภาสกรนที"กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้เตรียมรับมือไว้ 2 แนวทาง คือการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม
และการปรับราคาสินค้า โดยพิจารณาเป็นรายผลิตภัณฑ์ว่าควรปรับอย่างไรให้เหมาะสม ส่วนทางด้านของการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดชาพร้อมดื่ม ทำให้บริษัทวางแผนที่จะเข้าไปในแคทิกอรี่ใหม่ ๆเพื่อเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น โดยการออกสินค้าใหม่ เช่น น้ำผลไม้ไบเล่ 100% เยลลี่ ฯลฯ และในปีนี้ยังเน้นการทำกิจกรรมในกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น อิชิตัน น้ำตาล 0% เพื่อขยายฐานลูกค้าและเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น
หรือ "พรชัย ชูสงวน" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการตลาด บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) ที่มองว่า ที่ผ่านมาเคยมีการปรับขึ้นภาษีในลักษณะนี้มาแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการทุกฝ่ายก็สามารถผ่านพ้นมาได้ แม้ว่าในช่วงแรกจะส่งผลกระทบต่อตลาดเครื่องดื่มโดยรวมอยู่บ้าง ซึ่งในส่วนของบริษัทกำลังพิจารณาอยู่ว่า หากขึ้นภาษีแล้วจะกระทบโครงสร้างราคามากน้อยแค่ไหน จึงจะมีการปรับแผนการทำงานอีกครั้ง เพราะสินค้าที่คาดว่าจะกระทบมีเพียงกลุ่มน้ำผลไม้ 40% และ 25% เท่านั้น โดยยอดขายหลักกว่า 60% ยังมาจากกลุ่มน้ำผลไม้ 100%
ในภาวะที่กำลังซื้อยังย่ำแย่เช่นนี้ หากสินค้าต้องปรับราคาสูงขึ้นตามโครงสร้างภาษีใหม่ คงจะส่งผลกระทบไม่น้อยกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มปี 2559 อย่างแน่นอน