สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
1) ประวัติโครงสร้างประเทศ เยอรมนีแตกต่างจากประเทศอื่น ยกตัวอย่างเช่น ฝรั่งเศส ตรงที่เยอรมนีมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ต่างรัฐต่างปกครองตนเองไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนมาถึงสิ้นสุดศตวรรษที่ 19 นั่นหมายถึงว่าทุกธุรกิจที่เกิดขึ้นจะเป็นธุรกิจครอบครัวและจะประสบความสำเร็จขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นได้ก็จะต้องมีการขายสินค้าให้กับประเทศอื่น นอกเหนือจากเขตแคว้นเล็กๆ ของตนซึ่งขนาดตลาดมีจำกัด
ความกดดันในการอยู่รอดและความสำเร็จของธุรกิจอย่างใหญ่หลวงนี่เองที่เป็นแรงขับดันให้นักธุรกิจเยอรมันต้องหาทางสู่ตลาดภายนอก และกลายเป็นคุณลักษณะนิสัยที่ฝังลึกเข้าเส้นเลือดของนักธุรกิจเยอรมันในการส่งออกสินค้ามาตั้งแต่อดึตกาลและสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นักธุรกิจเยอรมันจึงเริ่มจากธุรกิจภายในครอบครัวและถึงแม้จะขยายใหญ่ขึ้นก็ยังอยู่ภายในครอบครัวส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป และเริ่มต้นเรียนรู้ธุรกิจส่งออกมาก่อนหน้าประเทศอื่นๆ เปรีบบเสมือนการเตรียมผืนดินสำหรับเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในเวลาต่อมา
2) การสืบต่อความรู้ความสามารถของประเพณีดั้งเดิม
ในเยอรมนีมีท้องถิ่นจำนวนมากมายที่ต่างก็มีสมรรถนะความรู้ที่สร้างสมมาจากบรรพบุรุษกว่าร้อยปี ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเทคโนโลยี่ในทุกวันนี้แล้วจะสืบสานกลับไปยังแหล่งที่มาได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างในท้องถิ่น Black Forest ซึ่งในอดึตเป็นแหล่งผลิตนาฬิกาทุกประเภทอันถือว่าเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียดแม่นยำทางด้านแมคเคนนิกส์ ท้ายที่สุดแล้วสมรรถนะความสามารถนี้ได้กลายมาเป็นสิ่งต่อยอดในเทคโนโลยี่ปัจจุบัน "the key machine of the modern industrial age" (Lewis Mumford) ด้วยทักษะที่ได้จากการทำนาฬิกานี่เองที่นำมาซื่องเทคโนโลยี่ที่ต้องการความละเอียดสมบูรณ์แบบในการสร้างเครื่องมือแพทย์ในเวลาต่อมา ปัจจุบันนี้มีธุรกิจขนาดกลางที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ส่งออกขายทั่วโลกในบริเวณป่าดำอยู่ราว 400 บริษัทเทคนิคการแพทย์ แม้แต่บางบริษัทผลิตเครื่องแพทย์นี้ถูกปรับเปลี่ยนมาจากธุรกิจผลิตนาฬิกาแต่ดั้งเดิมก็มี
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างได้แก่ ในเมือง Göttingen ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่ผลิตเครืองมือวัดสำหรับอุตสาหกรรมชนิดต่างๆ ถึง 39 บริษัท (Messtechnik) ก็สามารถอธิบายได้ว่าเนื่องจากมหาลัย Göttingen นั้นได้ชื่อว่าเป็นยอดทางด้านคณิตศาสตร์มากว่าร้อยปี อุตสาหกรรมประดิษฐ์เครื่องมือวัดจึงย้อนหลังกลับไปใช้สิ่งที่ Carl Friedrich Gauss (1777-1855) นักคณิตศาสตร์เยอรมันที่ค้นพบศาสตร์ความรู้ไว้นำมาใช้ต่อยอดให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมปัจจุบันและอนาคต
วันนี้ขอยุติแค่นี้ก่อน แล้วจะมาต่อให้ครับ
ความกดดันในการอยู่รอดและความสำเร็จของธุรกิจอย่างใหญ่หลวงนี่เองที่เป็นแรงขับดันให้นักธุรกิจเยอรมันต้องหาทางสู่ตลาดภายนอก และกลายเป็นคุณลักษณะนิสัยที่ฝังลึกเข้าเส้นเลือดของนักธุรกิจเยอรมันในการส่งออกสินค้ามาตั้งแต่อดึตกาลและสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นักธุรกิจเยอรมันจึงเริ่มจากธุรกิจภายในครอบครัวและถึงแม้จะขยายใหญ่ขึ้นก็ยังอยู่ภายในครอบครัวส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป และเริ่มต้นเรียนรู้ธุรกิจส่งออกมาก่อนหน้าประเทศอื่นๆ เปรีบบเสมือนการเตรียมผืนดินสำหรับเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในเวลาต่อมา
2) การสืบต่อความรู้ความสามารถของประเพณีดั้งเดิม
ในเยอรมนีมีท้องถิ่นจำนวนมากมายที่ต่างก็มีสมรรถนะความรู้ที่สร้างสมมาจากบรรพบุรุษกว่าร้อยปี ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเทคโนโลยี่ในทุกวันนี้แล้วจะสืบสานกลับไปยังแหล่งที่มาได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างในท้องถิ่น Black Forest ซึ่งในอดึตเป็นแหล่งผลิตนาฬิกาทุกประเภทอันถือว่าเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียดแม่นยำทางด้านแมคเคนนิกส์ ท้ายที่สุดแล้วสมรรถนะความสามารถนี้ได้กลายมาเป็นสิ่งต่อยอดในเทคโนโลยี่ปัจจุบัน "the key machine of the modern industrial age" (Lewis Mumford) ด้วยทักษะที่ได้จากการทำนาฬิกานี่เองที่นำมาซื่องเทคโนโลยี่ที่ต้องการความละเอียดสมบูรณ์แบบในการสร้างเครื่องมือแพทย์ในเวลาต่อมา ปัจจุบันนี้มีธุรกิจขนาดกลางที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ส่งออกขายทั่วโลกในบริเวณป่าดำอยู่ราว 400 บริษัทเทคนิคการแพทย์ แม้แต่บางบริษัทผลิตเครื่องแพทย์นี้ถูกปรับเปลี่ยนมาจากธุรกิจผลิตนาฬิกาแต่ดั้งเดิมก็มี
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างได้แก่ ในเมือง Göttingen ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่ผลิตเครืองมือวัดสำหรับอุตสาหกรรมชนิดต่างๆ ถึง 39 บริษัท (Messtechnik) ก็สามารถอธิบายได้ว่าเนื่องจากมหาลัย Göttingen นั้นได้ชื่อว่าเป็นยอดทางด้านคณิตศาสตร์มากว่าร้อยปี อุตสาหกรรมประดิษฐ์เครื่องมือวัดจึงย้อนหลังกลับไปใช้สิ่งที่ Carl Friedrich Gauss (1777-1855) นักคณิตศาสตร์เยอรมันที่ค้นพบศาสตร์ความรู้ไว้นำมาใช้ต่อยอดให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมปัจจุบันและอนาคต
วันนี้ขอยุติแค่นี้ก่อน แล้วจะมาต่อให้ครับ
ความคิดเห็นที่ 13
เอาล่ะครับ เข้าสู่ข้อมูลและสาระกันเลย
ในโลกใบนี้ไม่มีประเทศใดที่มีจำนวนผลิตภัณฑ์ช้นนำของโลกเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยเยอรมนี ดังนั้นนักวิชาการและที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจของโลกจึงตั้งคำถามกันเสมอว่า อะไรคือเคล็ดลับของความสำเร็จทางเด้านเศรษฐกิจของเยอรมนี??
ตั้งแต่ปี 1986 ที่ Professor Ted Levitt แห่งมหาลัย Harvard ผู้นำเสนอทฤษฏี "โลกาภิวัฒน์" ให้เป็นที่รู้จักต่อสังคมโลก ได้ตั้งคำถามต่อ Hermann Simon ว่า "ทำไมเศรษฐกิจเยอรมันจึงนำหน้าทางด้านการส่งออกอยู่เสมอ?" นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ร่วม 30 ปีพอดิบพอดี สถานะการณ์การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการส่งออกผลผลิตเยอรมันก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาเยอรมนีเป็นแชมป์ส่งออกจำนวน 10 ปี เพิ่งมาเสียแชมป์ให้แก่จีนไปตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา (จีนส่งออกมูลค่า 840 พันล้านดอลล่าร์ - เยอรมนี 816 พันล้านดอลล่าร์ = Billion Dollars) พอมาถึงปี 2011 ก็ทำลายสถิติการส่งออกของโลกอึกครั้ง
และปี 2015 เป็นปีแรกที่จีนนำหน้าเยอรมนีในมูลค่าได้เปรียบดุลย์การค้า โดยจีนได้เปรียบดุลย์การค้า 298 พันล้าน - เยอรมนี 280 พันล้าน ตามมาอย่างห่างลิบๆ ด้วยอันดับ 3 คือญี่ปุ่น
ฉะนั้น ความอยากรู้ถึงหาสาเหตุของความสำเร็จของเศรษฐกิจเยอรมันจึงไม่เคยมีมากมาก่อนเท่ากับที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
คำตอบมีอยู่ 2 ประการ โดยที่ประการแรกนั้นตอบได้ว่า คำอธิบายนั้นไม่มีเพียงหนึ่งเดียว
และประการที่สองคือ ความสำเร็จนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่แต่อย่างใด เมื่อเทียบกับอเมริกาซึ่งมีบริษัทขนาดใหญ่ติดอันดับของ Fortune Global 500 มากกว่าเยอรมนีถึง 4 เท่า หรือเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีมากกว่า 2 เท่า แม้แต่ฝรั่งเศสก็มีบริษัทขนาดใหญ่มากกว่าเยอรมนี
และนี่คือสาเหตุประการแรกของความสำเร็จด้านเศรษฐกิจของเยอรมนี ที่กิจการส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางหรือที่เรียกกันว่า Mittelstndes หรือ จะเรียกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เป็นกิจการขนาดกลางระดับหัวกะทิ (Elite des Mittelstandes) ซึ่งเป็น "แชมป์ผู้ซ่อนเร้น" หรือ Hidden Champions นั่นเอง ไม่ใช่เป็นบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นด้วยเงินทุนร้อยหรือพันล้านยูโรพร้อมพนักงานเป็นพันหรือหมื่น
แต่เป็นผลงานของธุรกิจขนาดกลางที่มีนิยามด้วยผลประกอบการไม่เกิน 50 ล้านยูโรและมีพนักงานไม่เกิน 500 คน
ในช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา Hermann Simon ได้เก็บรวบรวมจำนวนและชื่อธุรกิจขนาดกลางที่สร้างผลิตภัณฑ์ชั้นนำของโลกในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งรวบรวมได้ทั้งหมด 2734 บริษัท และภายในจำนวนนี้นั้นปรากฏว่าเป็นบริษัทเยอรมันเสียแล้วถึง 1307 บริษัท ซึ่งมีส่วนในผลิตภัณฑ์ส่งออกถึง 25% และนี่ถือว่าเป็น ปรากฏการณ์ที่ไม่มีปรากฏในประเทศใดๆ ในโลกนี้
เยอรมนีมี Hidden Champions คิดเป็นสัดส่วน 16 บริษัทต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ฝรั่งเศสมีอยู่แค่ 1.1 บริษัทต่อจำนวนประชากรเดียวกัน สำหรับอเมริกามี 1.2 ในญี่ปุ่นมี 1.7 มีเฉพาะออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้นที่มีอัตราส่วนใกล้เคียงกับเยอรมนีนั่นคือราว 14 บริษัท
ทำไมเยอรมนีถึงได้มีการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางมาในทิศทางนี้ได้อย่างทุกวันนี้? คำตอบที่อธิบายได้บางส่วนจะย้อนกลับเชื่อมโยงไปสู่อดึตและประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศ ซึงเป็นที่มาของความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจส่งออกในปัจจุบัน ซึ่งจะแยกออกเป็นข้อๆ ทั้งหมด 13 ข้อ ดังต่อไปนี้
ในโลกใบนี้ไม่มีประเทศใดที่มีจำนวนผลิตภัณฑ์ช้นนำของโลกเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยเยอรมนี ดังนั้นนักวิชาการและที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจของโลกจึงตั้งคำถามกันเสมอว่า อะไรคือเคล็ดลับของความสำเร็จทางเด้านเศรษฐกิจของเยอรมนี??
ตั้งแต่ปี 1986 ที่ Professor Ted Levitt แห่งมหาลัย Harvard ผู้นำเสนอทฤษฏี "โลกาภิวัฒน์" ให้เป็นที่รู้จักต่อสังคมโลก ได้ตั้งคำถามต่อ Hermann Simon ว่า "ทำไมเศรษฐกิจเยอรมันจึงนำหน้าทางด้านการส่งออกอยู่เสมอ?" นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ร่วม 30 ปีพอดิบพอดี สถานะการณ์การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการส่งออกผลผลิตเยอรมันก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาเยอรมนีเป็นแชมป์ส่งออกจำนวน 10 ปี เพิ่งมาเสียแชมป์ให้แก่จีนไปตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา (จีนส่งออกมูลค่า 840 พันล้านดอลล่าร์ - เยอรมนี 816 พันล้านดอลล่าร์ = Billion Dollars) พอมาถึงปี 2011 ก็ทำลายสถิติการส่งออกของโลกอึกครั้ง
และปี 2015 เป็นปีแรกที่จีนนำหน้าเยอรมนีในมูลค่าได้เปรียบดุลย์การค้า โดยจีนได้เปรียบดุลย์การค้า 298 พันล้าน - เยอรมนี 280 พันล้าน ตามมาอย่างห่างลิบๆ ด้วยอันดับ 3 คือญี่ปุ่น
ฉะนั้น ความอยากรู้ถึงหาสาเหตุของความสำเร็จของเศรษฐกิจเยอรมันจึงไม่เคยมีมากมาก่อนเท่ากับที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
คำตอบมีอยู่ 2 ประการ โดยที่ประการแรกนั้นตอบได้ว่า คำอธิบายนั้นไม่มีเพียงหนึ่งเดียว
และประการที่สองคือ ความสำเร็จนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่แต่อย่างใด เมื่อเทียบกับอเมริกาซึ่งมีบริษัทขนาดใหญ่ติดอันดับของ Fortune Global 500 มากกว่าเยอรมนีถึง 4 เท่า หรือเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีมากกว่า 2 เท่า แม้แต่ฝรั่งเศสก็มีบริษัทขนาดใหญ่มากกว่าเยอรมนี
และนี่คือสาเหตุประการแรกของความสำเร็จด้านเศรษฐกิจของเยอรมนี ที่กิจการส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางหรือที่เรียกกันว่า Mittelstndes หรือ จะเรียกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เป็นกิจการขนาดกลางระดับหัวกะทิ (Elite des Mittelstandes) ซึ่งเป็น "แชมป์ผู้ซ่อนเร้น" หรือ Hidden Champions นั่นเอง ไม่ใช่เป็นบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นด้วยเงินทุนร้อยหรือพันล้านยูโรพร้อมพนักงานเป็นพันหรือหมื่น
แต่เป็นผลงานของธุรกิจขนาดกลางที่มีนิยามด้วยผลประกอบการไม่เกิน 50 ล้านยูโรและมีพนักงานไม่เกิน 500 คน
ในช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา Hermann Simon ได้เก็บรวบรวมจำนวนและชื่อธุรกิจขนาดกลางที่สร้างผลิตภัณฑ์ชั้นนำของโลกในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งรวบรวมได้ทั้งหมด 2734 บริษัท และภายในจำนวนนี้นั้นปรากฏว่าเป็นบริษัทเยอรมันเสียแล้วถึง 1307 บริษัท ซึ่งมีส่วนในผลิตภัณฑ์ส่งออกถึง 25% และนี่ถือว่าเป็น ปรากฏการณ์ที่ไม่มีปรากฏในประเทศใดๆ ในโลกนี้
เยอรมนีมี Hidden Champions คิดเป็นสัดส่วน 16 บริษัทต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน ในขณะที่ฝรั่งเศสมีอยู่แค่ 1.1 บริษัทต่อจำนวนประชากรเดียวกัน สำหรับอเมริกามี 1.2 ในญี่ปุ่นมี 1.7 มีเฉพาะออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้นที่มีอัตราส่วนใกล้เคียงกับเยอรมนีนั่นคือราว 14 บริษัท
ทำไมเยอรมนีถึงได้มีการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางมาในทิศทางนี้ได้อย่างทุกวันนี้? คำตอบที่อธิบายได้บางส่วนจะย้อนกลับเชื่อมโยงไปสู่อดึตและประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศ ซึงเป็นที่มาของความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจส่งออกในปัจจุบัน ซึ่งจะแยกออกเป็นข้อๆ ทั้งหมด 13 ข้อ ดังต่อไปนี้
แสดงความคิดเห็น
เหตุผลอะไรที่ทำให้เยอรมนีกลับมาทรงอำนาจในอียู