ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ4 หนึ่งในหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า ที่เป็นแนวทางในการลำดับขั้นตอนของปัญหา หรือทุกข์ นั้นๆของมวลมนุษย์ เมื่อเราเกิดปัญหา หรือทุกข์ เราใช้อริยสัจ4 ด้วยปัญญา มันอาจนำไปสู่การแก้ปัญหาจนได้ถึง มรรค ได้ในที่สุด กระทู้นี้ตัวผมได้ลองเอาหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า มาประยุกต์เรียบเรียงเป็นบทความกากๆ นี้ขึ้นมา เพื่อหวังว่า จะช่วยแก้ไขปัญหา อย่างน้อยก็แค่แนวคิดของคนบางคนที่ยังหลงอยู่ในวังวนของการโทษกัน เกี่ยงกัน สักคนสองคนก็ยังดี ส่วนคนที่มีความคิดอ่านที่ดีอยู่แล้วก็อาจช่วยพัดพาเอาเมฆหมอกออกไปให้ความเข้าใจในปัญหากระจ่างใสยิ่งขึ้นครับ
ณ ตอนนี้ คงเชื่อได้ว่า กระแสได้เลือนหายไปบ้างแล้ว อาจด้วยชัยชนะของคนที่เอาแต่พูดว่า ปลูกทำไม ปลูกแล้วตัด ไม่เข้าใจปัญหา ไม่รู้ที่มาของปัญหา เอาแต่จำคำพูดคนอื่นมาพูด แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เฮียโจอี้บอย ได้แสดงเจตนารมณ์ของการจะออกหน้า ออกแรง ออกเงินช่วย ซึ่งเงินที่รวบรวมได้เทียบกันแล้ว หลักล้านถือว่าน้อยมาก แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะหากทดแทนด้วย ปัญญา ความคิด และการลงมือจริงๆ เงินหน่ะ ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาจริงๆคือ เราจะทำยังไง แนวทางยังไงที่ควรทำ เฮียโจอี้บอย ขอคนช่วยกันระดมปัญญา แต่เขาได้เพียงแค่คำแขวะจากคนรอบข้าง เอาเป็นว่าผมคงช่วยออกความคิดเห็น แนวคิด เพื่อช่วยอีกแรงล่ะกันครับ ผ่านบทความนี้ครับ เนื่องด้วยผมเป็นคนเหนือล้านนาแท้ๆ เพื่อนฝูงก็มีมากมายในหลายจังหวัดภาคเหนือ ท่องไปเห็นสิ่งต่างๆมากพอควร อาจจพเป็นประโยชน์บ้างก็ได้ครับ
ตัวผมมันก็เป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายด้วยสิ ผมเลยมองเห็นส่วนที่ไม่มีใครเขามองกัน มุมมองผมอาจชั่วร้าย ไม่ค่อยมีดีเท่าไหร่ เรื่องมองคนอื่นๆในทางที่ไม่ค่อยดีนี่แหละ ผมล่ะ ดังนั้น ถ้าหากอ่านบทความกากๆ นี้แล้วไม่ชอบ ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆครับ เพราะนี่เป็นเรื่องเล่าสัพเพเหระ จากมุมมองแคบๆของผมเท่านั้นครับ หรือก็คือ การเวิ่นเว้อ ตามประสาคนว่างจัดๆเท่านั้นครับ
บทแห่ง ทุกข์
ปัญหาแห่งการไม่มีป่าไม้ในภาคเหนือ ที่นำไปสู่ภาวะน้ำท่วม ฝนแล้ง เดือดร้อนกันถ้วนทั่ว บางคนเอาแต่โทษคนอื่นว่าเป็นความผิดของคนอื่น ส่วนตัวเองนั้นรับบทผู้รับเคราะห์ผู้น่าสงสาร เรียกร้องด่าว่า ยกตัวเองขึ้นสูงส่ง แน่ล่ะครับ ป่าไม้ในภาคเหนือของไทยมีความสำคัญอย่างมากจริงๆ เพราะด้วยภูมิประเทศ มีส่วนสำคัญในการบรรเทาสภาวะฝนแล้ง น้ำท่วมได้
ปัญหาแห่งการไร้ที่ดินทำกินเพียงพอ จำต้องไถรุกป่า แม้ไม่อยาก แม้ทุกข์ยากด้วยชีวิต แม้ถูกรุมประนาม ถากถาง ด้วยทางเลือกด้วยสัมมาอาชีพนั้นหาได้ยาก ถูกกดขี่ กดราคา ไร้ผู้ช่วยเหลือ นำพาแนวทางที่ดี
ทุกข์แห่งชาวสยามภาคกลาง น้ำท่วมก็ก่นด่าคนภาคเหนือ ไม่สร้างเขื่อนกั้นน้ำไว้ให้ท่วมพวกเขา น้ำแล้งก็ก่นด่าคนภาคเหนือ ไม่รักษาป่าไม้ไว้ให้มีน้ำไว้ให้เค้าใช้หน้าแล้ง โดยเฉพาะคนที่มือตีนไม่เคยแตะดินลุยโคลน อาศัยมีชีวิตโดยสุขสบายไม่เคยลำบาก แต่ตัดสินคนอื่นเอาดีเข้าตัว เอาชั่วไปทิ้งให้คนอื่นตามกระแสไปเท่านั้น
ทุกข์ของคนเมืองแห่งล้านนา มีป่านั้นไซ้ ก็มิใช่ของปวงประชาล้านนา แต่เป็นสังหาของรัฐสยาม แลคนของหลวง หาเก็บกินไม่ได้ ไม้ก็เป็นของหลวง วันดีคืนดี สัมประทาน หมดป่า เกณฑ์ชาวบ้านช่วยปลูก ถึงเวลา ตัดอีก วนเวียนไปไม่หยุด จักทำกินอันใด เพาะปลูกอันใด กดขี่ราคา ทำมากเพียงไร เงินที่ได้ ไม่ช่วยให้ได้ลืมตา อ้าปากได้เลย เกือบร้อยปีผ่านมาเป็นเช่นใด ณ วินาทีนี้นั้น ไม่ต่างกัน
ทุกข์แห่งประเทศ เหตุมีแต่ทุกข์ของตัวเอง มองปัญหาเกิดจากคนอื่น ทุกข์ของตัวเอง ผู้อื่นต้องมาแก้ไข ผู้แก้ไขยังไม่ทันได้เหนื่อยกาย แต่ใจเหนื่อยล้าจากปากของสวะ ติติง เยาะเย้ยถากถาง ที่คมราวกับใบมีดที่ใช้แผ้วถางป่า
บทแห่งทุกข์นี้ ก็มาจากการที่เราไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันเริ่มยังไง ไม่รู้ว่าที่มามันเกิดจากอะไร ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ซึ่งวันนี้เรามาลองคิดกันดู เรื่องป่าไม้นี้ มันเกิดมายังไง ที่มามันมาไกลแค่ไหน อนาคตมันจะเป็นยังไง เราจะเริ่มแก้ไขยังไง เราจะเริ่มแก้ไขที่ไหหนให้ถูกจุด เราจะแก้ไขยังไง ไม่ให้เกิดอีกปัญหาอื่นมาแทนปัญหาปัจจุบันที่เราไร้ป่า เราจะแก้ไขยังไงให้มันยั่งยืน ไม่ใช่ว่ารอไปอีก 20 ปีแล้วก็วนกลับเข้ามาเหมือนเดิมอีก มันคงจะดี ถ้าเรารู้ว่าทุกข์เราจริงๆแล้วคืออะไร ที่ไม่ใช่เพียงแค่เราไม่มี "ป่า" เราจำเป็นไหมที่เราต้องถ่อไปดูวิธีการทำงานที่ต่างประเทศ ในเมื่อหลักการจริงๆแล้วไม่ยาก คือคิด วางแผน และลงมือทำ สรุป แก้ไข ลงมือทำ สรุป แก้ไข
บทแห่ง สมุทัย
เข้าใจในเหตุที่มาจากทุกข์ มันอาจจนำไปสู่การดับทุกข์ รับรู้ เรียบเรียงสาเหตุแห่งทุกข์ แต่ก็นะ วันนี้เรามาอ่านเรื่องราวของชาวล้านนา ในเมืองที่เรียกว่าน่านไง ในมุมมองของผม ซึ่งเรื่องราวอาจจะใส่สีแสนถัง ใส่ไข่ล้านฟอง เรื่องราวที่เล่า ไม่เคยเกิดขึ้นจริงละกัน ไม่งั้นจะมีคนอ่านที่ไม่พอใจมาฟ้องร้องเอา
คนน่านไง เป็นคนยังไง
คนน่าน ก็ไม่ต่างจากคนเมืองเหนือทั่วๆไป และก็เหมือนคนทั่วโลก ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีคนดีและไม่ดี ปะปนไม่ต่างกัน และก็เหมือนกันกับทั้งคนทั่วโลก คนน่านเองก็มีลักษณะเด่นทางสังคมเฉกเช่นคนในสังคมต่างๆ
คนน่านจริงๆแล้วเป็นคนขยัน สู้ชีวิต แต่อย่างเช่นในสิ่งที่เขาได้ทำไป เช่น การถางป่าเพื่อปลูกพืช อย่าคิดว่ามันง่ายนะครับ ทั้งเสี่ยงและอันตรายในการทำกินบนเขาบนดอยอันสูงชัน ปีๆหนึ่ง ขับรถไถตกดอยตายกันปีล่ะหลายคน บางคนเป็นแค่เด็กนักเรียนหญิง ที่อาสาช่วยงานครอบครัวเพื่อเลี้ยงปากท้อง (อันนี้เรื่องจริงจากปากของญาติที่เป็นครูของเด็กคนนี้) คนเป็นลมแดดแล้วตายเพราะไปรับจ้างหักข้าวโพด แล้วกลิ้งลงเขาตาย หรือไปส่งโรงพยาบาลไม่ทัน
คนน่านจริงๆแล้วเป็นคนที่ให้ความร่วมมือดีมาก อย่างเช่นว่า ขอความร่วมมืองานชุมชน งานที่รัฐขอมา ก็จะให้ความร่วมมือเต็มที่ แม้แต่ขี้เหล้าขี้ยา เขาก็จะออกมาช่วย
เสียงตามสาย: "สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง หมู่บ้านห้วยเงิบ พัฒนา สามัคคีธรรม* วันพูก จะมีการพัฒนาชุมชนรอบหมู่บ้าน ของแรงพ่อแม่พี่น้อง เตรียมบก เตรียมเสียม ไขมีเครื่องตัดหญ้าก็เอามา โดนเฮาจะเริ่มกันในเวลาหกโมงเจ้า ขอหื้อมาช่วยกันหลายๆเน้อ"
ผลที่ได้ ในตอนเช้า คนที่ว่างก็จะออกมาช่วยกันถางหญ้าข้างถนน เก็บขยะ กวาดถนน ตัดกิ่งไม้ข้างทาง กันเต็มถนน คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่ม ลูกเล็กเด็กน้อย จะสังเกตได้ว่า ตามเขตชุมชนหมู่บ้านของคนในจังหวัดน่าน จะไม่ค่อยมีขยะทิ้งเกลื่อนเมือง จะมีก็แต่ข้างถนนใหญ่ ห่างชุมชนที่ถูกทิ้งโดยคนนั่งรถที่มักง่าย ก็บรรดาอาเจ้คุณป้านั่งรถหรูทั้งหลายนั่นแหละ ลดกระจกรถได้เขวี้ยงออกข้างทางทันใด
เสียงตามสาย1:"สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง หมู่บ้านห้วยเงิบ พัฒนา สามัคคีธรรม วันฮือ เขามีกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติฯ ขอหื้อ พ่อแม่พี่น้อง มาช่วยกันทำความดีเพื่อในหลวง ไขตี้มีรถ เอาออกมาช่วยกันพาคนไปช่วยปลูกป่า ขอหื้อเตรียมบก เตรียมเสียม ไปช่วยกันปลูกป่า วันฮือเน้อครับ ทางหลวงเปิ้นขอความร่วมมือมา มีท่าน...........มาเปิดเป็นประธานในพิธีตวย โดยกล้าไม้ เขาจัดเตรียมไว้แล้ว หื้อห่อกับข้าวกับปลาไปเผื่อตวยเน้อครับ เผื่อไว้กินตอนเมื่อตอน "
ผลที่ได้ก็คือ ชาวบ้านต่างออกมาช่วยเหลือ บ้านใครมีรถก็ช่วยขนคนไปร่วมปลูกป่า คนที่ไม่มีรถก็อาศัยนั่งรถคนที่มีรถไปกัน เตรียมข้าวปลาอาหารกัน ไปกันตั้งแต่เช้า 7.00 น. ส่วนท่านประธานกว่าจะไปถึงก็ 9.00น. รอ 9.09น. ได้ฤกษ์เปิดพิธี แล้ก็พูดๆ สักสิบโมง อากาศเริ่มมีแดด ค่อยเริ่มปลูกป่าต้นสัก เที่ยงแจกข้าวเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ชาวบ้านกินข้าวที่ห่อมา แล้วก็พากันกลับ โดยมีป่าที่ร่วมแรงชาวบ้านร่วมกันปลูก มีป้ายป่าเฉลิมพระเกียรติ นานวันเข้า ป้ายผุพัง ต้นสักโตได้พอดี เอาป้ายใหม่มาเปลี่ยน กลายเป็น ป้ายสวนป่าห้วยเงิบ รอวันสัมปทานตัดไม้ ไปปริยาย ชาวบ้านที่ไปร่วมปลูกป่า บ้างเอารถไปส่งไปรับฟรีๆ ก็เงิบกันตามชื่อห้วยเงิบไปตามระเบียบ
แต่เดี๋ยวก่อน แต่บางคนก็มีข้อเสียเหมือนกันครับ คือ รั้น (ซึ่งผมเห็นจากคนรู้จักหลายๆคน มาดูลักษณะพฤติกรรมร่วมที่คล้ายกันเท่านั้น) ก็คือ ถ้าจะทำอะไรแล้วล่ะก็ ใครจะห้ามยังไง แต่ถ้ามีใครไม่รู้ เมาเดินมาบอกว่าทำเลย จะถือเอาเป็นคำอนุญาต แล้วทำเลย คือว่ามั่นใจมาก จะทำอะไรต้องทำให้ได้ ห้ามไม่ฟัง
หรือ ในกลุ่มผู้มีอายุGen Y สักหน่อย อันนี้ก็บ้าง เป็นอันฑพาลหมู่บ้าน จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังมี ดักตีหัวคนหมู่บ้านอื่นตอนกลางคืน ปิดถนนดักทำร้ายกัน ยิ่งมีเทศกาลงานหมู่บ้าน รำวงย้อนยุค จะมีพวกหลงยุคอายุก็มากล่ะ ใส่ชุดโค้ทหนัง ผ้าเช็ดหน้าใหญ่ๆโพกหัว ประมาณนึกว่าตอนนี้อยู่ในยุค 90 มางานมองหาคนต่างถิ่น เพื่อหาเรื่อง ประหนึ่งเยี่ยวตามเสาไฟฟ้าไว้
หรือในกลุ่มเด็ก Gen Z วัยรุ่นรุ่นใหม่ มีปัญหาติดเหล้า ติดยากันแพร่หลาย โดยเฉพาะ เหล้าต้ม ที่เป็นวิสาหกิจชุมชนที่แพร่หลายกันมากมีแทบทุกอำเภอ แทบเฉลี่ยตำบลล่ะ 1 ที่ ในแถบชายขอบ ตามอำเภอรอบนอก เด็กๆรุ่นใหม่ ถูกชักชวนจากกลุ่มในย่อหน้าข้างบน ซื้อให้กิน ซื้อให้ติด แล้วก็พากันแบ่งเขตแดนตัวเอง
ซึ่งในคำบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่ของผม ในสมัยท่านไม่มีนะ สมัยพวกลุงๆ พ่อ อาๆผม เขาเดินไปจีบสาวกันข้ามอำเภอด้วยซ้ำไป เดินกันไปเป็นกลุ่มๆ เจอหน้ากันก็ไม่ตีกัน เพราะอีกกลุ่มก็เดินกันไปจีบสาวต่างบ้านเหมือนกัน รู้จักกัน บ้างไปช่วยกันทำไร่ ทำงานบ้าน(บ้านสาว) กินข้าวนอนใต้ถุนบ้าน(บ้านสาวอีกนั่นแหละ) ได้ ตอนเช้าก็กลับบ้านไปทำไร่ทำนา กันไป เรียกว่าข้ามตำบล ข้ามอำเภอไปนี่รู้จักคนไปทั่ว แต่ปัจจุบัน บางคนออกนอกหมู่บ้านตัวเองก็ยังทำไม่ได้เลย โดนดักตีหัวอย่างเดียว เพราะตัวเองก็ดักตีหัวคนอื่น โดยมากพวกนี้ได้รับการส่งเสียจากครอบครัวไปเรียนกรุงเทพมั่ง เมืองใหญ่มั่ง แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนจริง ไปเกเรจนเงินหมด ไม่มีคนส่งก็กลับมาอยู่บ้านนอก มาเป็นอันฑพาลบ้านนอกไป
*** ปิดโหวต วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2559 เวลา 17:17:11 น.
[บทความกากๆ] ปัญหา กับ การปลูกป่า 500,000 ไร่ กับ น่านไง ในมุมมองของผม
ณ ตอนนี้ คงเชื่อได้ว่า กระแสได้เลือนหายไปบ้างแล้ว อาจด้วยชัยชนะของคนที่เอาแต่พูดว่า ปลูกทำไม ปลูกแล้วตัด ไม่เข้าใจปัญหา ไม่รู้ที่มาของปัญหา เอาแต่จำคำพูดคนอื่นมาพูด แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เฮียโจอี้บอย ได้แสดงเจตนารมณ์ของการจะออกหน้า ออกแรง ออกเงินช่วย ซึ่งเงินที่รวบรวมได้เทียบกันแล้ว หลักล้านถือว่าน้อยมาก แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะหากทดแทนด้วย ปัญญา ความคิด และการลงมือจริงๆ เงินหน่ะ ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาจริงๆคือ เราจะทำยังไง แนวทางยังไงที่ควรทำ เฮียโจอี้บอย ขอคนช่วยกันระดมปัญญา แต่เขาได้เพียงแค่คำแขวะจากคนรอบข้าง เอาเป็นว่าผมคงช่วยออกความคิดเห็น แนวคิด เพื่อช่วยอีกแรงล่ะกันครับ ผ่านบทความนี้ครับ เนื่องด้วยผมเป็นคนเหนือล้านนาแท้ๆ เพื่อนฝูงก็มีมากมายในหลายจังหวัดภาคเหนือ ท่องไปเห็นสิ่งต่างๆมากพอควร อาจจพเป็นประโยชน์บ้างก็ได้ครับ
ตัวผมมันก็เป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายด้วยสิ ผมเลยมองเห็นส่วนที่ไม่มีใครเขามองกัน มุมมองผมอาจชั่วร้าย ไม่ค่อยมีดีเท่าไหร่ เรื่องมองคนอื่นๆในทางที่ไม่ค่อยดีนี่แหละ ผมล่ะ ดังนั้น ถ้าหากอ่านบทความกากๆ นี้แล้วไม่ชอบ ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆครับ เพราะนี่เป็นเรื่องเล่าสัพเพเหระ จากมุมมองแคบๆของผมเท่านั้นครับ หรือก็คือ การเวิ่นเว้อ ตามประสาคนว่างจัดๆเท่านั้นครับ
ปัญหาแห่งการไม่มีป่าไม้ในภาคเหนือ ที่นำไปสู่ภาวะน้ำท่วม ฝนแล้ง เดือดร้อนกันถ้วนทั่ว บางคนเอาแต่โทษคนอื่นว่าเป็นความผิดของคนอื่น ส่วนตัวเองนั้นรับบทผู้รับเคราะห์ผู้น่าสงสาร เรียกร้องด่าว่า ยกตัวเองขึ้นสูงส่ง แน่ล่ะครับ ป่าไม้ในภาคเหนือของไทยมีความสำคัญอย่างมากจริงๆ เพราะด้วยภูมิประเทศ มีส่วนสำคัญในการบรรเทาสภาวะฝนแล้ง น้ำท่วมได้
ปัญหาแห่งการไร้ที่ดินทำกินเพียงพอ จำต้องไถรุกป่า แม้ไม่อยาก แม้ทุกข์ยากด้วยชีวิต แม้ถูกรุมประนาม ถากถาง ด้วยทางเลือกด้วยสัมมาอาชีพนั้นหาได้ยาก ถูกกดขี่ กดราคา ไร้ผู้ช่วยเหลือ นำพาแนวทางที่ดี
ทุกข์แห่งชาวสยามภาคกลาง น้ำท่วมก็ก่นด่าคนภาคเหนือ ไม่สร้างเขื่อนกั้นน้ำไว้ให้ท่วมพวกเขา น้ำแล้งก็ก่นด่าคนภาคเหนือ ไม่รักษาป่าไม้ไว้ให้มีน้ำไว้ให้เค้าใช้หน้าแล้ง โดยเฉพาะคนที่มือตีนไม่เคยแตะดินลุยโคลน อาศัยมีชีวิตโดยสุขสบายไม่เคยลำบาก แต่ตัดสินคนอื่นเอาดีเข้าตัว เอาชั่วไปทิ้งให้คนอื่นตามกระแสไปเท่านั้น
ทุกข์ของคนเมืองแห่งล้านนา มีป่านั้นไซ้ ก็มิใช่ของปวงประชาล้านนา แต่เป็นสังหาของรัฐสยาม แลคนของหลวง หาเก็บกินไม่ได้ ไม้ก็เป็นของหลวง วันดีคืนดี สัมประทาน หมดป่า เกณฑ์ชาวบ้านช่วยปลูก ถึงเวลา ตัดอีก วนเวียนไปไม่หยุด จักทำกินอันใด เพาะปลูกอันใด กดขี่ราคา ทำมากเพียงไร เงินที่ได้ ไม่ช่วยให้ได้ลืมตา อ้าปากได้เลย เกือบร้อยปีผ่านมาเป็นเช่นใด ณ วินาทีนี้นั้น ไม่ต่างกัน
ทุกข์แห่งประเทศ เหตุมีแต่ทุกข์ของตัวเอง มองปัญหาเกิดจากคนอื่น ทุกข์ของตัวเอง ผู้อื่นต้องมาแก้ไข ผู้แก้ไขยังไม่ทันได้เหนื่อยกาย แต่ใจเหนื่อยล้าจากปากของสวะ ติติง เยาะเย้ยถากถาง ที่คมราวกับใบมีดที่ใช้แผ้วถางป่า
บทแห่งทุกข์นี้ ก็มาจากการที่เราไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันเริ่มยังไง ไม่รู้ว่าที่มามันเกิดจากอะไร ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ซึ่งวันนี้เรามาลองคิดกันดู เรื่องป่าไม้นี้ มันเกิดมายังไง ที่มามันมาไกลแค่ไหน อนาคตมันจะเป็นยังไง เราจะเริ่มแก้ไขยังไง เราจะเริ่มแก้ไขที่ไหหนให้ถูกจุด เราจะแก้ไขยังไง ไม่ให้เกิดอีกปัญหาอื่นมาแทนปัญหาปัจจุบันที่เราไร้ป่า เราจะแก้ไขยังไงให้มันยั่งยืน ไม่ใช่ว่ารอไปอีก 20 ปีแล้วก็วนกลับเข้ามาเหมือนเดิมอีก มันคงจะดี ถ้าเรารู้ว่าทุกข์เราจริงๆแล้วคืออะไร ที่ไม่ใช่เพียงแค่เราไม่มี "ป่า" เราจำเป็นไหมที่เราต้องถ่อไปดูวิธีการทำงานที่ต่างประเทศ ในเมื่อหลักการจริงๆแล้วไม่ยาก คือคิด วางแผน และลงมือทำ สรุป แก้ไข ลงมือทำ สรุป แก้ไข
เข้าใจในเหตุที่มาจากทุกข์ มันอาจจนำไปสู่การดับทุกข์ รับรู้ เรียบเรียงสาเหตุแห่งทุกข์ แต่ก็นะ วันนี้เรามาอ่านเรื่องราวของชาวล้านนา ในเมืองที่เรียกว่าน่านไง ในมุมมองของผม ซึ่งเรื่องราวอาจจะใส่สีแสนถัง ใส่ไข่ล้านฟอง เรื่องราวที่เล่า ไม่เคยเกิดขึ้นจริงละกัน ไม่งั้นจะมีคนอ่านที่ไม่พอใจมาฟ้องร้องเอา
คนน่านไง เป็นคนยังไง
คนน่าน ก็ไม่ต่างจากคนเมืองเหนือทั่วๆไป และก็เหมือนคนทั่วโลก ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีคนดีและไม่ดี ปะปนไม่ต่างกัน และก็เหมือนกันกับทั้งคนทั่วโลก คนน่านเองก็มีลักษณะเด่นทางสังคมเฉกเช่นคนในสังคมต่างๆ
คนน่านจริงๆแล้วเป็นคนขยัน สู้ชีวิต แต่อย่างเช่นในสิ่งที่เขาได้ทำไป เช่น การถางป่าเพื่อปลูกพืช อย่าคิดว่ามันง่ายนะครับ ทั้งเสี่ยงและอันตรายในการทำกินบนเขาบนดอยอันสูงชัน ปีๆหนึ่ง ขับรถไถตกดอยตายกันปีล่ะหลายคน บางคนเป็นแค่เด็กนักเรียนหญิง ที่อาสาช่วยงานครอบครัวเพื่อเลี้ยงปากท้อง (อันนี้เรื่องจริงจากปากของญาติที่เป็นครูของเด็กคนนี้) คนเป็นลมแดดแล้วตายเพราะไปรับจ้างหักข้าวโพด แล้วกลิ้งลงเขาตาย หรือไปส่งโรงพยาบาลไม่ทัน
คนน่านจริงๆแล้วเป็นคนที่ให้ความร่วมมือดีมาก อย่างเช่นว่า ขอความร่วมมืองานชุมชน งานที่รัฐขอมา ก็จะให้ความร่วมมือเต็มที่ แม้แต่ขี้เหล้าขี้ยา เขาก็จะออกมาช่วย
เสียงตามสาย: "สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง หมู่บ้านห้วยเงิบ พัฒนา สามัคคีธรรม* วันพูก จะมีการพัฒนาชุมชนรอบหมู่บ้าน ของแรงพ่อแม่พี่น้อง เตรียมบก เตรียมเสียม ไขมีเครื่องตัดหญ้าก็เอามา โดนเฮาจะเริ่มกันในเวลาหกโมงเจ้า ขอหื้อมาช่วยกันหลายๆเน้อ"
ผลที่ได้ ในตอนเช้า คนที่ว่างก็จะออกมาช่วยกันถางหญ้าข้างถนน เก็บขยะ กวาดถนน ตัดกิ่งไม้ข้างทาง กันเต็มถนน คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่ม ลูกเล็กเด็กน้อย จะสังเกตได้ว่า ตามเขตชุมชนหมู่บ้านของคนในจังหวัดน่าน จะไม่ค่อยมีขยะทิ้งเกลื่อนเมือง จะมีก็แต่ข้างถนนใหญ่ ห่างชุมชนที่ถูกทิ้งโดยคนนั่งรถที่มักง่าย ก็บรรดาอาเจ้คุณป้านั่งรถหรูทั้งหลายนั่นแหละ ลดกระจกรถได้เขวี้ยงออกข้างทางทันใด
เสียงตามสาย1:"สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง หมู่บ้านห้วยเงิบ พัฒนา สามัคคีธรรม วันฮือ เขามีกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติฯ ขอหื้อ พ่อแม่พี่น้อง มาช่วยกันทำความดีเพื่อในหลวง ไขตี้มีรถ เอาออกมาช่วยกันพาคนไปช่วยปลูกป่า ขอหื้อเตรียมบก เตรียมเสียม ไปช่วยกันปลูกป่า วันฮือเน้อครับ ทางหลวงเปิ้นขอความร่วมมือมา มีท่าน...........มาเปิดเป็นประธานในพิธีตวย โดยกล้าไม้ เขาจัดเตรียมไว้แล้ว หื้อห่อกับข้าวกับปลาไปเผื่อตวยเน้อครับ เผื่อไว้กินตอนเมื่อตอน "
ผลที่ได้ก็คือ ชาวบ้านต่างออกมาช่วยเหลือ บ้านใครมีรถก็ช่วยขนคนไปร่วมปลูกป่า คนที่ไม่มีรถก็อาศัยนั่งรถคนที่มีรถไปกัน เตรียมข้าวปลาอาหารกัน ไปกันตั้งแต่เช้า 7.00 น. ส่วนท่านประธานกว่าจะไปถึงก็ 9.00น. รอ 9.09น. ได้ฤกษ์เปิดพิธี แล้ก็พูดๆ สักสิบโมง อากาศเริ่มมีแดด ค่อยเริ่มปลูกป่าต้นสัก เที่ยงแจกข้าวเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ชาวบ้านกินข้าวที่ห่อมา แล้วก็พากันกลับ โดยมีป่าที่ร่วมแรงชาวบ้านร่วมกันปลูก มีป้ายป่าเฉลิมพระเกียรติ นานวันเข้า ป้ายผุพัง ต้นสักโตได้พอดี เอาป้ายใหม่มาเปลี่ยน กลายเป็น ป้ายสวนป่าห้วยเงิบ รอวันสัมปทานตัดไม้ ไปปริยาย ชาวบ้านที่ไปร่วมปลูกป่า บ้างเอารถไปส่งไปรับฟรีๆ ก็เงิบกันตามชื่อห้วยเงิบไปตามระเบียบ
แต่เดี๋ยวก่อน แต่บางคนก็มีข้อเสียเหมือนกันครับ คือ รั้น (ซึ่งผมเห็นจากคนรู้จักหลายๆคน มาดูลักษณะพฤติกรรมร่วมที่คล้ายกันเท่านั้น) ก็คือ ถ้าจะทำอะไรแล้วล่ะก็ ใครจะห้ามยังไง แต่ถ้ามีใครไม่รู้ เมาเดินมาบอกว่าทำเลย จะถือเอาเป็นคำอนุญาต แล้วทำเลย คือว่ามั่นใจมาก จะทำอะไรต้องทำให้ได้ ห้ามไม่ฟัง
หรือ ในกลุ่มผู้มีอายุGen Y สักหน่อย อันนี้ก็บ้าง เป็นอันฑพาลหมู่บ้าน จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังมี ดักตีหัวคนหมู่บ้านอื่นตอนกลางคืน ปิดถนนดักทำร้ายกัน ยิ่งมีเทศกาลงานหมู่บ้าน รำวงย้อนยุค จะมีพวกหลงยุคอายุก็มากล่ะ ใส่ชุดโค้ทหนัง ผ้าเช็ดหน้าใหญ่ๆโพกหัว ประมาณนึกว่าตอนนี้อยู่ในยุค 90 มางานมองหาคนต่างถิ่น เพื่อหาเรื่อง ประหนึ่งเยี่ยวตามเสาไฟฟ้าไว้
หรือในกลุ่มเด็ก Gen Z วัยรุ่นรุ่นใหม่ มีปัญหาติดเหล้า ติดยากันแพร่หลาย โดยเฉพาะ เหล้าต้ม ที่เป็นวิสาหกิจชุมชนที่แพร่หลายกันมากมีแทบทุกอำเภอ แทบเฉลี่ยตำบลล่ะ 1 ที่ ในแถบชายขอบ ตามอำเภอรอบนอก เด็กๆรุ่นใหม่ ถูกชักชวนจากกลุ่มในย่อหน้าข้างบน ซื้อให้กิน ซื้อให้ติด แล้วก็พากันแบ่งเขตแดนตัวเอง
ซึ่งในคำบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่ของผม ในสมัยท่านไม่มีนะ สมัยพวกลุงๆ พ่อ อาๆผม เขาเดินไปจีบสาวกันข้ามอำเภอด้วยซ้ำไป เดินกันไปเป็นกลุ่มๆ เจอหน้ากันก็ไม่ตีกัน เพราะอีกกลุ่มก็เดินกันไปจีบสาวต่างบ้านเหมือนกัน รู้จักกัน บ้างไปช่วยกันทำไร่ ทำงานบ้าน(บ้านสาว) กินข้าวนอนใต้ถุนบ้าน(บ้านสาวอีกนั่นแหละ) ได้ ตอนเช้าก็กลับบ้านไปทำไร่ทำนา กันไป เรียกว่าข้ามตำบล ข้ามอำเภอไปนี่รู้จักคนไปทั่ว แต่ปัจจุบัน บางคนออกนอกหมู่บ้านตัวเองก็ยังทำไม่ได้เลย โดนดักตีหัวอย่างเดียว เพราะตัวเองก็ดักตีหัวคนอื่น โดยมากพวกนี้ได้รับการส่งเสียจากครอบครัวไปเรียนกรุงเทพมั่ง เมืองใหญ่มั่ง แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนจริง ไปเกเรจนเงินหมด ไม่มีคนส่งก็กลับมาอยู่บ้านนอก มาเป็นอันฑพาลบ้านนอกไป