'| สบายดีเบตง |'
ลืมตาตื่นมาในเช้าวันหยุด เฮ้อออ หยุดยาวอย่างนี้ อยู่บ้านก็เฉาตาย อยากไปหาที่สงบๆเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทันใดนั้นในสมองก็นึกขึ้นมาได้ว่า
เฮ้ยยย อยากไปเบตง ไม่พูดพร่ำทำเพลง โทรหาพี่สาวที่อยู่เบตงเลยดีกว่า ไม่มีการเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น เก็บกระเป๋าเลย
GoGoGo
เดินทางไปที่สายใต้จองตั๋ว ลุ้นตลอดจะมีตั๋วมั้ยน๊าาา (ตะวักกัลอัลลอฮฺ) จริงๆก็ตื่นเต้น ลุ้นดีนะ ทำให้การเดินทางมีสีสัน อิอิ เอาล่ะ นาทีระทึกมาถึงเมื่อยืนอยู่หน้าตู้ขายตั๋ว กรุงเทพ-เบตง และแล้ววววว
ได้ตั๋วมาเป็นที่เรียบร้อย (อัลฮัมดุลิลละฮฺ) เหลือที่นั่งเดียว ออกเดินทาง ห้าโมงสี่สิบ แต่รถออกจริงๆก็ตอน หกโมงเย็น และจะถึงปลายทางตอนเช้าอีกวันเวลา สิบโมงสี่สิบห้า รวม ระยะเวลาเแล้วก็ สิบสี่ชั่วโมง อ่ะทำใจไว้ล่ะตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ชิลกับการนั่งรถนะ พอถึงช่วงเช้าหลังจากที่รถหยุดจอดที่สถานียะลา เราก็เริ่มตื่นเต้นล่ะ เพราะรถกำลังมุ่งสู่เบตง เราก็ชื่นชมทัศนียภาพข้างทางไปเรื่อย คือแบบทางขึ้นเขา แล้วทุกอย่างดูดีมากเลยอ่า (มาชาอัลลอฮฺ) ผ่าน
ป่าฮาลาบาลา
หลังจากที่ชื่นชมกับทัศนียภาพและบรรยากาศข้างทาง และพยายามถ่ายรูปให้ได้มุมที่ดีที่สุด รถก็ได้พามาถึงปลายทางในเมืองเบตง เวลาประมาณ เที่ยงครึ่ง สรุประยะเวลาการเดินทาง สิบแปดชั่วโมง ฮึฮึ เอาหน่าาาา เพื่อแลกกับการได้ชื่นชมสิ่งสวยงาม มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก ใช่มั้ยล่ะ โทรหาพี่สาวให้มารับ และพาไปกินข้าวในเมือง มื้อแรกเรากินอาหารทั่วไป แต่จะบอกว่ารสชาติดีมาก เราติดใจ
กระเพราเต้าหู้ไข่ มาก ต้องบอกเลยว่าเด็ด อร่อยอ่ะ
เติมพลังกันเรียบร้อย คนส่วนใหญ่ที่นี่ใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะ เพราะที่นี่ไม่มีรถโดยสารประจำทาง แต่ถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ หรือเป็นนักท่องเที่ยวก็จะใช้บริการ
รถซูบารุสีเหลือง และรถแท็กซี่ซึ่ง
รถแท็กซี่ที่นี่จะเป็นรถเบนซ์ทั้งหมด เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเบตงเลยทีเดียว
หลังจากนั้นกลับบ้านพัก อาบน้ำอาบท่า เก็บของ เราก็ออกมาแว๊นรอบเมืองเบตง สถานที่เด็ดๆในเมืองเบตงก็ต้องเริ่มจากนี่เลย
อุโมงเบตงมงคลฤทธิ์ จุดฮิตที่วัยรุ่นถ่ายรูปกัน เราก็วัยรุ่นอ่านะ ก็ต้องเข้าไป Hip กับเค้าสักหน่อย อิอิ
เดินเล่นถ่ายรูปในอุโมงมงคลฤทธิ์กัน ฮิปส์ๆ ไปล่ะ สถานที่ใกล้ๆที่ขึ้นชื่อไม่แพ้กันคือรูปปั้นของ
ไก่เบตง ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากที่จิกกับไก่พี่สาวก็พาเราแว๊นไปที่
สนามกีฬาของเมืองเบตง และสวนสาธารณะ ที่บรรยากาศดี๊ดีจริงๆ บรรยากาศข้างทางนี่เหมือนในซีรี่ย์เกาหลีเลยอ่า พูดเลยว่าฟินมากกก นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวเมืองเบตง ให้ได้เห็นบรรยากาศเมืองแบบฟินๆอีกด้วย
เมื่อตะเวนถ่ายรูปชมวิว ประหนึ่งเล่นซีรีย์กันชิลๆ บวกกับอากาศที่สดใสอุณหภูมิที่สูงคงที่ (สังเกตุจากภาพ ท้องฟ้าสดใสมาก แดดดีพอสมควร ^^") พี่สาวก็พาเราไปทานของว่างเย็นๆ ชาเขียวปุยหิมะถั่วแดง คือดีงามมมมมม
เพิ่มความสดชื่นเรียบร้อย พี่สาวก็พากลับบ้านพัก แต่ก็ได้บรรยากาศตรง
ถนนและหอนาฬิกาเบตง มา เราก็นั่งมอเตอร์ไซค์ถ่ายรูปชิลๆไป ^^
จากการพูดคุยกับพี่สาว ที่เบตงไม่มีห้างสรรพสินค้า คนที่นี่ส่วนใหญ่จะซื้อของที่ตลาด และมินิมาร์ท เท่าที่สังเกตุที่เมืองเบตงมี 7-11 ที่เดียว วัยรุ่นที่นี่ส่วนใหญ่จะนัดพบปะพูดคุยกันที่ร้านน้ำชาเป็นส่วนใหญ่ คุยกันไปคุยกันมา ก็เริ่มนึกถึงมื้อเย็น พี่สาวเราเลยพาไปกินของขึ้นชื่ออย่างหนึ่งคือ ไข่ต้ม ที่
บ่อน้ำพุร้อนเบตง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งระหว่าทางไปมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์กำลังบานสะพรั่ง สร้างบรรยากาศให้รื่นรมย์มากขึ้นไปอีก อดไม่ได้ที่จะลงไปถ่ายรูปจริงๆค่ะ
หลังจากที่หลงใหลได้ปลื้มกับชมพูพันธุ์ทิพย์ข้างทางสักพัก พี่สาวก็รีบสตาร์ทรถโบกมือหยอยๆว่ารีบไปได้แล้วแม่นาง หิวค่ะ ^^"
ไม่นานก็มาถึงบ่อน้ำพุร้อน วันนี้คนเยอะมาก พี่สาวเตรียมแม็กกี้มาจากที่บ้าน แล้วก็มาซื้อไข่ที่นี่ไปต้มในบ่อต้มไข่ ซึ่งไข่ต้มที่นี่ต้มเพียง 7 นาที จะได้ไข่แดงเข็งเป็นพุดดิ้งหนึบๆ กินกับซอสแม็กกี้อร่อยฟินเลยทีเดียวล่ะค่ะ นอกจากนี้ก็ยังสามารถแช่เท้าที่บ่อน้ำพุร้อนเพื่อเป็นการบำบัดอาการเมื่อยล้าได้ ครั้งแรกที่เอาเท้าจุ่มลงไป สะดุ้งโหย่งเลยค่ะ ฮ่าาาาา ร้อนจริงๆ
2st Day in Betong
วันนี้เริ่มต้นทริปเวลาตีห้าครึ่ง พี่สาวเราพาขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปแต่เช้า เพื่อที่จะขึ้นเขาไปดูทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเบตงประมาณ 30 กิโลเมตร วันนี้อากาศตอนเช้าดีมากๆ สดชื่นสุดๆ ยิ่งบรรยากาศระหว่างทางยิ่งทำให้ฟิน
และแล้วเราก็ขับมอเตอร์ไซค์มาเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิว
ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ภาพที่เห็นครั้งแรก มาชาอัลลอฮฺ สวยมากกกกกก คือแทบอยากจะกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งไปถ่ายรูปบัดเดี๋ยวนั้น
พูดได้คำเดียว ฟินมากกกกกก ก.ไก่ร้อยตัว แต่พี่สาวบอกว่าถ้าเป็นหมอกช่วงปลายปีจะหนาและเยอะกว่านี้มาก เราไปช่วงเดือนเมษาถือเป็นหมอกฤดูร้อนอ่ะ แต่แค่นี้เราก็ฟินแล้วแหละ หลังจากที่ดื่มด่ำบรรยากาศที่ทะเลหมอกกันพอสมควร พี่สาวเราก็พาไปหาอะไรกินแถวตำบลอัยเยอร์เวงต่อ อาหารที่เราแปลกใจคือ
ข้าวยำเบตง ที่มีหมี่สีแดงอยู่ด้วย เลิศเลอ
เพิ่มพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปต่อกันที่
สะพานแขวนเบตง ที่อยู่ใกล้ๆในตำบลอัยเยอร์เวง สะพานแขวนแห่งนี้เป็นสะพานไม้ทำขึ้นเพื่อข้ามไปยังหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ในเขา
เมื่อนั่งชิลกันสักพัก เราก็เดินทางกันต่อ ระหว่างทางเราพบสถานที่หนึ่ง ซึ่งเราว่ามันดูสวยงามน่าจะหยุดรถลงไปเก็บภาพสักหน่อย เรามโนกับพี่สาวว่าเป็น Grand Canyon อิอิ
หลังจากที่ไปแวะจอดข้างทางก็ลุยกันต่อ มุ่งหน้าสู่
สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง และ
อุโมงปิยมิตร พี่สาวเราบอกว่าดอกไม้ที่นี่สวยงามตลอดทั้งปี ส่วนที่อุโมงปิยมิตรนั้นเราเจาะจงไปที่ ต้นไม้พันปี แต่น่าเสียดายที่แบตกล้องเราหมดซะก่อน ถ่ายได้ไม่กี่รูป คือเสียดายเหมือนกันอ่า T-T
เมื่อแบตกล้องหมด เราก็เหมือนขาดอากาศหายใจ ตัดสินใจกลับบ้านพักไปชาร์ตแบตกล้องประกอบกับว่าเข้าสู่ช่วงกลางวันเริ่มหิวข้าวกันล่ะด้วย กลับบ้านไปกินข้าวชาร์ตแบตกล้อง พักผ่อนกันสองสามชั่วโมง พอเวลาประมาณ ห้าโมงเย็น พี่สาวเราก็ชวนไปมาเลย์ต่อ ด่านมาเลย์จะเปิดตั้งแต่ หกโมง-สี่ทุ่ม
ชายแดนเบตงติดกับเมืองปารัคของมาเลย์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของมาเลย์ บรรยากาศคล้ายเมืองเบตงอยู่มาก
เสียดายที่แบตกล้องเต็มนะแต่แสงก็ดันหมดซะล่ะ ฮ่าาาา ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นล่ะกันไว้มาใหม่ก็ได้เนอะ จบทริป เบตง-มาเลย์ ด้วยประการละฉะนี้ วันรุ่งขึ้นนั่งรถกลับบ้านแต่เช้ามืด ยกให้เป็นทริปแห่งการเดินทางจริงๆ ล่ะค่ะ ตอนเดินทางไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลยสักนิด แต่พอถึงบ้านนี่สิ ฮึฮึ
..จากที่ไม่เคยรู้จักเบตงมาก่อน จนถึงตอนนี้ก็ตกหลุมรัก เมืองในหุบเขาที่แสนสงบ ผู้คนใจดี ไม่แปลกใจเลยที่มีแต่คนหลงเสน่ห์เมืองงามชายแดนแห่งนี้ มนต์เสน่ห์ที่ควรค่าแก่การมาสัมผัส..
'| สบายดี เบตง |'
ลืมตาตื่นมาในเช้าวันหยุด เฮ้อออ หยุดยาวอย่างนี้ อยู่บ้านก็เฉาตาย อยากไปหาที่สงบๆเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทันใดนั้นในสมองก็นึกขึ้นมาได้ว่า เฮ้ยยย อยากไปเบตง ไม่พูดพร่ำทำเพลง โทรหาพี่สาวที่อยู่เบตงเลยดีกว่า ไม่มีการเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น เก็บกระเป๋าเลย GoGoGo
เดินทางไปที่สายใต้จองตั๋ว ลุ้นตลอดจะมีตั๋วมั้ยน๊าาา (ตะวักกัลอัลลอฮฺ) จริงๆก็ตื่นเต้น ลุ้นดีนะ ทำให้การเดินทางมีสีสัน อิอิ เอาล่ะ นาทีระทึกมาถึงเมื่อยืนอยู่หน้าตู้ขายตั๋ว กรุงเทพ-เบตง และแล้ววววว
ได้ตั๋วมาเป็นที่เรียบร้อย (อัลฮัมดุลิลละฮฺ) เหลือที่นั่งเดียว ออกเดินทาง ห้าโมงสี่สิบ แต่รถออกจริงๆก็ตอน หกโมงเย็น และจะถึงปลายทางตอนเช้าอีกวันเวลา สิบโมงสี่สิบห้า รวม ระยะเวลาเแล้วก็ สิบสี่ชั่วโมง อ่ะทำใจไว้ล่ะตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ชิลกับการนั่งรถนะ พอถึงช่วงเช้าหลังจากที่รถหยุดจอดที่สถานียะลา เราก็เริ่มตื่นเต้นล่ะ เพราะรถกำลังมุ่งสู่เบตง เราก็ชื่นชมทัศนียภาพข้างทางไปเรื่อย คือแบบทางขึ้นเขา แล้วทุกอย่างดูดีมากเลยอ่า (มาชาอัลลอฮฺ) ผ่านป่าฮาลาบาลา
หลังจากที่ชื่นชมกับทัศนียภาพและบรรยากาศข้างทาง และพยายามถ่ายรูปให้ได้มุมที่ดีที่สุด รถก็ได้พามาถึงปลายทางในเมืองเบตง เวลาประมาณ เที่ยงครึ่ง สรุประยะเวลาการเดินทาง สิบแปดชั่วโมง ฮึฮึ เอาหน่าาาา เพื่อแลกกับการได้ชื่นชมสิ่งสวยงาม มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก ใช่มั้ยล่ะ โทรหาพี่สาวให้มารับ และพาไปกินข้าวในเมือง มื้อแรกเรากินอาหารทั่วไป แต่จะบอกว่ารสชาติดีมาก เราติดใจ กระเพราเต้าหู้ไข่ มาก ต้องบอกเลยว่าเด็ด อร่อยอ่ะ
เติมพลังกันเรียบร้อย คนส่วนใหญ่ที่นี่ใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะ เพราะที่นี่ไม่มีรถโดยสารประจำทาง แต่ถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ หรือเป็นนักท่องเที่ยวก็จะใช้บริการรถซูบารุสีเหลือง และรถแท็กซี่ซึ่งรถแท็กซี่ที่นี่จะเป็นรถเบนซ์ทั้งหมด เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเบตงเลยทีเดียว
หลังจากนั้นกลับบ้านพัก อาบน้ำอาบท่า เก็บของ เราก็ออกมาแว๊นรอบเมืองเบตง สถานที่เด็ดๆในเมืองเบตงก็ต้องเริ่มจากนี่เลย อุโมงเบตงมงคลฤทธิ์ จุดฮิตที่วัยรุ่นถ่ายรูปกัน เราก็วัยรุ่นอ่านะ ก็ต้องเข้าไป Hip กับเค้าสักหน่อย อิอิ
เดินเล่นถ่ายรูปในอุโมงมงคลฤทธิ์กัน ฮิปส์ๆ ไปล่ะ สถานที่ใกล้ๆที่ขึ้นชื่อไม่แพ้กันคือรูปปั้นของ ไก่เบตง ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบตงอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากที่จิกกับไก่พี่สาวก็พาเราแว๊นไปที่ สนามกีฬาของเมืองเบตง และสวนสาธารณะ ที่บรรยากาศดี๊ดีจริงๆ บรรยากาศข้างทางนี่เหมือนในซีรี่ย์เกาหลีเลยอ่า พูดเลยว่าฟินมากกก นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวเมืองเบตง ให้ได้เห็นบรรยากาศเมืองแบบฟินๆอีกด้วย
เมื่อตะเวนถ่ายรูปชมวิว ประหนึ่งเล่นซีรีย์กันชิลๆ บวกกับอากาศที่สดใสอุณหภูมิที่สูงคงที่ (สังเกตุจากภาพ ท้องฟ้าสดใสมาก แดดดีพอสมควร ^^") พี่สาวก็พาเราไปทานของว่างเย็นๆ ชาเขียวปุยหิมะถั่วแดง คือดีงามมมมมม
เพิ่มความสดชื่นเรียบร้อย พี่สาวก็พากลับบ้านพัก แต่ก็ได้บรรยากาศตรง ถนนและหอนาฬิกาเบตง มา เราก็นั่งมอเตอร์ไซค์ถ่ายรูปชิลๆไป ^^
จากการพูดคุยกับพี่สาว ที่เบตงไม่มีห้างสรรพสินค้า คนที่นี่ส่วนใหญ่จะซื้อของที่ตลาด และมินิมาร์ท เท่าที่สังเกตุที่เมืองเบตงมี 7-11 ที่เดียว วัยรุ่นที่นี่ส่วนใหญ่จะนัดพบปะพูดคุยกันที่ร้านน้ำชาเป็นส่วนใหญ่ คุยกันไปคุยกันมา ก็เริ่มนึกถึงมื้อเย็น พี่สาวเราเลยพาไปกินของขึ้นชื่ออย่างหนึ่งคือ ไข่ต้ม ที่ บ่อน้ำพุร้อนเบตง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งระหว่าทางไปมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์กำลังบานสะพรั่ง สร้างบรรยากาศให้รื่นรมย์มากขึ้นไปอีก อดไม่ได้ที่จะลงไปถ่ายรูปจริงๆค่ะ
หลังจากที่หลงใหลได้ปลื้มกับชมพูพันธุ์ทิพย์ข้างทางสักพัก พี่สาวก็รีบสตาร์ทรถโบกมือหยอยๆว่ารีบไปได้แล้วแม่นาง หิวค่ะ ^^"
ไม่นานก็มาถึงบ่อน้ำพุร้อน วันนี้คนเยอะมาก พี่สาวเตรียมแม็กกี้มาจากที่บ้าน แล้วก็มาซื้อไข่ที่นี่ไปต้มในบ่อต้มไข่ ซึ่งไข่ต้มที่นี่ต้มเพียง 7 นาที จะได้ไข่แดงเข็งเป็นพุดดิ้งหนึบๆ กินกับซอสแม็กกี้อร่อยฟินเลยทีเดียวล่ะค่ะ นอกจากนี้ก็ยังสามารถแช่เท้าที่บ่อน้ำพุร้อนเพื่อเป็นการบำบัดอาการเมื่อยล้าได้ ครั้งแรกที่เอาเท้าจุ่มลงไป สะดุ้งโหย่งเลยค่ะ ฮ่าาาาา ร้อนจริงๆ
2st Day in Betong
วันนี้เริ่มต้นทริปเวลาตีห้าครึ่ง พี่สาวเราพาขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปแต่เช้า เพื่อที่จะขึ้นเขาไปดูทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเบตงประมาณ 30 กิโลเมตร วันนี้อากาศตอนเช้าดีมากๆ สดชื่นสุดๆ ยิ่งบรรยากาศระหว่างทางยิ่งทำให้ฟิน
และแล้วเราก็ขับมอเตอร์ไซค์มาเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิว ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ภาพที่เห็นครั้งแรก มาชาอัลลอฮฺ สวยมากกกกกก คือแทบอยากจะกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งไปถ่ายรูปบัดเดี๋ยวนั้น
พูดได้คำเดียว ฟินมากกกกกก ก.ไก่ร้อยตัว แต่พี่สาวบอกว่าถ้าเป็นหมอกช่วงปลายปีจะหนาและเยอะกว่านี้มาก เราไปช่วงเดือนเมษาถือเป็นหมอกฤดูร้อนอ่ะ แต่แค่นี้เราก็ฟินแล้วแหละ หลังจากที่ดื่มด่ำบรรยากาศที่ทะเลหมอกกันพอสมควร พี่สาวเราก็พาไปหาอะไรกินแถวตำบลอัยเยอร์เวงต่อ อาหารที่เราแปลกใจคือ ข้าวยำเบตง ที่มีหมี่สีแดงอยู่ด้วย เลิศเลอ
เพิ่มพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ สะพานแขวนเบตง ที่อยู่ใกล้ๆในตำบลอัยเยอร์เวง สะพานแขวนแห่งนี้เป็นสะพานไม้ทำขึ้นเพื่อข้ามไปยังหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ในเขา
เมื่อนั่งชิลกันสักพัก เราก็เดินทางกันต่อ ระหว่างทางเราพบสถานที่หนึ่ง ซึ่งเราว่ามันดูสวยงามน่าจะหยุดรถลงไปเก็บภาพสักหน่อย เรามโนกับพี่สาวว่าเป็น Grand Canyon อิอิ
หลังจากที่ไปแวะจอดข้างทางก็ลุยกันต่อ มุ่งหน้าสู่ สวนดอกไม้เมืองหนาวเบตง และ อุโมงปิยมิตร พี่สาวเราบอกว่าดอกไม้ที่นี่สวยงามตลอดทั้งปี ส่วนที่อุโมงปิยมิตรนั้นเราเจาะจงไปที่ ต้นไม้พันปี แต่น่าเสียดายที่แบตกล้องเราหมดซะก่อน ถ่ายได้ไม่กี่รูป คือเสียดายเหมือนกันอ่า T-T
เมื่อแบตกล้องหมด เราก็เหมือนขาดอากาศหายใจ ตัดสินใจกลับบ้านพักไปชาร์ตแบตกล้องประกอบกับว่าเข้าสู่ช่วงกลางวันเริ่มหิวข้าวกันล่ะด้วย กลับบ้านไปกินข้าวชาร์ตแบตกล้อง พักผ่อนกันสองสามชั่วโมง พอเวลาประมาณ ห้าโมงเย็น พี่สาวเราก็ชวนไปมาเลย์ต่อ ด่านมาเลย์จะเปิดตั้งแต่ หกโมง-สี่ทุ่ม ชายแดนเบตงติดกับเมืองปารัคของมาเลย์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของมาเลย์ บรรยากาศคล้ายเมืองเบตงอยู่มาก
เสียดายที่แบตกล้องเต็มนะแต่แสงก็ดันหมดซะล่ะ ฮ่าาาา ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นล่ะกันไว้มาใหม่ก็ได้เนอะ จบทริป เบตง-มาเลย์ ด้วยประการละฉะนี้ วันรุ่งขึ้นนั่งรถกลับบ้านแต่เช้ามืด ยกให้เป็นทริปแห่งการเดินทางจริงๆ ล่ะค่ะ ตอนเดินทางไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลยสักนิด แต่พอถึงบ้านนี่สิ ฮึฮึ
..จากที่ไม่เคยรู้จักเบตงมาก่อน จนถึงตอนนี้ก็ตกหลุมรัก เมืองในหุบเขาที่แสนสงบ ผู้คนใจดี ไม่แปลกใจเลยที่มีแต่คนหลงเสน่ห์เมืองงามชายแดนแห่งนี้ มนต์เสน่ห์ที่ควรค่าแก่การมาสัมผัส..