.
เห็นว่าเข้าท่า มีเหตุผลดีครับ เลยคัดมาให้อ่านกัน..
วันนี้ (23 พ.ค.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์ทางการเมืองระบุว่า
“ได้คืบเอาศอก” ท่านนายกรัฐมนตรี บริภาษทันทีที่ลงเครื่องบินกลับมาจากรัสเซีย ความหมายคือ ท่านนายกฯ อุตส่าห์ให้ประชุมเรื่องรัฐธรรมนูญและประชามติ แต่พรรคการเมืองกลับมาขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
ผมได้เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนพรรคเพื่อไทย ดังนั้นในเมื่อท่านนายกฯ พูดกระทบกระเทียบมาแบบนี้ ก็จำเป็นต้องอธิบายตอบโต้บ้าง
ท่านครับพวกผมอยู่เฉยๆ ท่านก็มาเชิญประชุมให้ไปรับฟังคำชี้แจง (ท่านเริ่มก่อนนะครับ) การประชุมชี้แจงใดๆ ก็เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วว่า ต้องมีการซักถามและแสดงความเห็น ท่านจะให้ซื่อบื้อไปนั่งฟังท่าเดียว ไม่พูดไม่แสดงความเห็นอะไรเลยหรือไง (ธรรมเนียมสั่งซ้ายหันขวาหันจะมาใช้กับพรรคพวกผมมันจะถูกต้องและเหมาะสมหรือ)
พวกท่านเชิญให้ผมพูด ผมก็พูด ท่านอดีตนายกอภิสิทธิ์ก็พูด อีกหลายๆท่านก็พูด ทุกคนดูเหมือนจะพูดๆเหมือนๆกันว่า พ.ร.บ.ประชามติ นี่มันขาเป๋ไม่สมประกอบ มาตรา 7 ควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นและรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ และเปิดเผยในความเห็นของเขาก็กลับห้าม แต่กลับไปอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำได้ มาตรา 61 ก็ห้ามโน่นห้ามนี่เป็นนามธรรมไปหมด เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจตามหูตามตา ที่ได้ฟังและเห็น แถมกำหนดโทษเอาเป็นเอาตายถึง 10ปี
เมื่อเป็นดังนี้ ทุกคนจึงขอให้มีการแก้ไข แล้วมันจะผิดอะไรถึงกลับต้องกระแนะกระแหนกันแบบนี้ ผมขอเรียนว่า ที่พวกเราขอนั้นแท้จริงมันเป็นสิทธิของเราตามกฎหมายมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 แล้ว ในเมื่อคนไทยทุกคน เป็นเจ้าของสิทธิ มาแต่เกิดแล้ว ท่านจะเอาอะไรมาห้ามหรือมาให้กันอีก ท่านยึดอำนาจก็ทำได้แค่ฉีกรัฐธรรมนูญและสถาปนาตนเป็นผู้ปกครองก็เท่านั้นเอง ท่านจะมาทึกทักว่า สิทธิและเสรีภาพของชาวไทยมีสุดเท่าที่ท่านจะให้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีใครยอมแน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้เลิกทาสเสีย ตั้งแต่ปี 2448 ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่เหนือใครถึงกลับมาริดรอนความเป็นคนได้อีกต่อไป ในปี พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ และ ทรงอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย โดยทรงมีพระราชกระแสว่า ทรงยินยอมสละพระราชอำนาจฯ ให้กับปวงชนชาวไทย ดังนั้นการที่ท่านนายกฯ หรือ คณะ คสช. จะมาตีขลุมแสดงอำนาจจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่งและคงจะไม่เป็นมงคลแก่ตัว
ท่านนายกฯครับ แต่ไหนแต่ไรมา ผมพยายามที่จะไม่พูดจาให้กระทบต่อท่าน เพราะเคารพในตำแหน่ง และ นึกถึงความสัมพันธ์ที่ดีมาแต่ช้านาน วันนี้ผมขออนุญาตสักครั้งเถิด ท่านครับทุกสิ่งล้วนอนิจจัง หามีความยั่งยืนไม่ วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องลงจากตำแหน่ง เวลาที่เหลือน้อยนิดเรามาทำคุณต่อกันจะไม่ดีหรือ พระคุณน่ะมันยั่งยืนนะครับ ส่วนพระเดชนั้นเขากลัวก็เพียงระยะที่ท่านบัญญัติขึ้นมาเท่านั้น อยู่ให้คนรักเถอะครับ ส่วนความดีนั้นเชื่อผมเถอะ คนเขาจะเห็นเองและแซ่ซ้องไปอีกนานเท่านาน
ด้วยความจริงใจ "
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news/145931
จบข่าว..โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านน่ะครับ แต่ส่วนตัวก็เห็นว่าน่าสนใจ
อะไรที่ตึงไปก็มักจะขาดง่าย หย่อนเกินไปก็ใช้งานไม่ได้ผล เอาแต่พอดี พอดีก็แล้วกันเน้อ..
‘ปลอดประสพ’ เตือน ‘บิ๊กตู่’ พระเดชทำให้คนกลัว แต่ไม่ยั่งยืน ‘อยู่ให้คนรักเถอะครับ’
เห็นว่าเข้าท่า มีเหตุผลดีครับ เลยคัดมาให้อ่านกัน..
วันนี้ (23 พ.ค.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์ทางการเมืองระบุว่า
“ได้คืบเอาศอก” ท่านนายกรัฐมนตรี บริภาษทันทีที่ลงเครื่องบินกลับมาจากรัสเซีย ความหมายคือ ท่านนายกฯ อุตส่าห์ให้ประชุมเรื่องรัฐธรรมนูญและประชามติ แต่พรรคการเมืองกลับมาขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
ผมได้เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนพรรคเพื่อไทย ดังนั้นในเมื่อท่านนายกฯ พูดกระทบกระเทียบมาแบบนี้ ก็จำเป็นต้องอธิบายตอบโต้บ้าง
ท่านครับพวกผมอยู่เฉยๆ ท่านก็มาเชิญประชุมให้ไปรับฟังคำชี้แจง (ท่านเริ่มก่อนนะครับ) การประชุมชี้แจงใดๆ ก็เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วว่า ต้องมีการซักถามและแสดงความเห็น ท่านจะให้ซื่อบื้อไปนั่งฟังท่าเดียว ไม่พูดไม่แสดงความเห็นอะไรเลยหรือไง (ธรรมเนียมสั่งซ้ายหันขวาหันจะมาใช้กับพรรคพวกผมมันจะถูกต้องและเหมาะสมหรือ)
พวกท่านเชิญให้ผมพูด ผมก็พูด ท่านอดีตนายกอภิสิทธิ์ก็พูด อีกหลายๆท่านก็พูด ทุกคนดูเหมือนจะพูดๆเหมือนๆกันว่า พ.ร.บ.ประชามติ นี่มันขาเป๋ไม่สมประกอบ มาตรา 7 ควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นและรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ และเปิดเผยในความเห็นของเขาก็กลับห้าม แต่กลับไปอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำได้ มาตรา 61 ก็ห้ามโน่นห้ามนี่เป็นนามธรรมไปหมด เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจตามหูตามตา ที่ได้ฟังและเห็น แถมกำหนดโทษเอาเป็นเอาตายถึง 10ปี
เมื่อเป็นดังนี้ ทุกคนจึงขอให้มีการแก้ไข แล้วมันจะผิดอะไรถึงกลับต้องกระแนะกระแหนกันแบบนี้ ผมขอเรียนว่า ที่พวกเราขอนั้นแท้จริงมันเป็นสิทธิของเราตามกฎหมายมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 แล้ว ในเมื่อคนไทยทุกคน เป็นเจ้าของสิทธิ มาแต่เกิดแล้ว ท่านจะเอาอะไรมาห้ามหรือมาให้กันอีก ท่านยึดอำนาจก็ทำได้แค่ฉีกรัฐธรรมนูญและสถาปนาตนเป็นผู้ปกครองก็เท่านั้นเอง ท่านจะมาทึกทักว่า สิทธิและเสรีภาพของชาวไทยมีสุดเท่าที่ท่านจะให้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีใครยอมแน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้เลิกทาสเสีย ตั้งแต่ปี 2448 ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่เหนือใครถึงกลับมาริดรอนความเป็นคนได้อีกต่อไป ในปี พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ และ ทรงอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย โดยทรงมีพระราชกระแสว่า ทรงยินยอมสละพระราชอำนาจฯ ให้กับปวงชนชาวไทย ดังนั้นการที่ท่านนายกฯ หรือ คณะ คสช. จะมาตีขลุมแสดงอำนาจจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่งและคงจะไม่เป็นมงคลแก่ตัว
ท่านนายกฯครับ แต่ไหนแต่ไรมา ผมพยายามที่จะไม่พูดจาให้กระทบต่อท่าน เพราะเคารพในตำแหน่ง และ นึกถึงความสัมพันธ์ที่ดีมาแต่ช้านาน วันนี้ผมขออนุญาตสักครั้งเถิด ท่านครับทุกสิ่งล้วนอนิจจัง หามีความยั่งยืนไม่ วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องลงจากตำแหน่ง เวลาที่เหลือน้อยนิดเรามาทำคุณต่อกันจะไม่ดีหรือ พระคุณน่ะมันยั่งยืนนะครับ ส่วนพระเดชนั้นเขากลัวก็เพียงระยะที่ท่านบัญญัติขึ้นมาเท่านั้น อยู่ให้คนรักเถอะครับ ส่วนความดีนั้นเชื่อผมเถอะ คนเขาจะเห็นเองและแซ่ซ้องไปอีกนานเท่านาน
ด้วยความจริงใจ "
ที่มา http://www.matichon.co.th/news/145931
จบข่าว..โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านน่ะครับ แต่ส่วนตัวก็เห็นว่าน่าสนใจ
อะไรที่ตึงไปก็มักจะขาดง่าย หย่อนเกินไปก็ใช้งานไม่ได้ผล เอาแต่พอดี พอดีก็แล้วกันเน้อ..