สิ่งที่ควรมี ก่อนจะลาออกจากงานไปตามหา/ทำตามความฝัน

อ่านเจอบทความนึง แล้วคิดว่าเป็นประโยชน์และมันคือความเป็นจริง เลยอยากจะแชร์ให้อ่านกันค่ะ

ที่มา  https://anontawong.com/2016/05/22/passion-2/

แท็ก Backpack เพราะรู้สึกว่าคนที่จะค้นหาตัวเอง ส่วนมากคิดอยากจะออกเดินทาง

ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา กระแสการ “ลาออกเพื่อไปทำสิ่งที่เรารัก” นั้นมาแรงมาก

เห็นได้จากชื่อปกหนังสือขายดีเช่นการลาออกครั้งสุดท้าย ลาออกซะถ้าอยากรวย งานไม่ประจำทำเงินกว่า ฯลฯ ก็พอจะบอกได้ว่าการ follow your passion นั้นได้กลายเป็น fashion ไปแล้ว

วันนี้เลยขอมาสวนกระแสซักหน่อยนะครับ

ด้วยเหตุผลเดิม คืออยากจะเพิ่มมุมมองใหม่ๆ ให้กับคนหนุ่มสาวที่กำลังคิดจะลาออกจากงานประจำเพื่อไปตามล่าความฝัน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความนี้จะมาจากหนังสือ So Good They Can’t Ignore You: Why Skills Trump Passion in the Quest for Work You Love ของ Cal Newport ครับ

The Passion Hypothesis – สมมติฐานความหลงใหล
สมมติฐานนี้กล่าวไว้ว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามีความสุขกับงานที่ทำ คือหาให้เจอว่าอะไรคือสิ่งที่คุณหลงใหล แล้วจงทำงานที่สอดคล้องกับความหลงใหลนั้น

แต่คาล ผู้เขียนหนังสือ บอกว่าสมมติฐานนี้อาจจะไม่เวิร์คก็ได้

เพราะตอนเราเริ่มทำงาน เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เรารักและหลงใหลจริงๆ คืออะไรกันแน่ และการได้ทำสิ่งที่หลงใหลนั้นเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่จะทำให้เรามีความสุขกับงาน

คนที่เอาแต่ตามหางานที่ตัวเองหลงใหล จึงมีความเสี่ยงที่จะไม่มีความสุขกับงานที่อยู่ตรงหน้า และเปลี่ยนงานบ่อยเพราะมัวแต่ “ตามหางานที่ใช่”

แต่นั่นไม่ใช่ทางเดียวที่จะมีความสุขกับการทำงานนะครับ

แล้วความสุขจากการทำงานเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง?

เคยมีการสำรวจความเห็นของเลขาจำนวนหนึ่ง ว่าพวกเขามีความรู้สึกต่องานเป็นอย่างไรระหว่าง job, career และ calling

สามอย่างนี้คือ “งาน” เหมือนกัน แต่มีความลึกซึ้งไม่เท่ากัน

job คืองานอะไรก็ได้ที่ทำแล้วได้เงินมาเลี้ยงชีพ
career คืองานที่เราเห็นภาพว่าอยากจะเติบโตและก้าวหน้าในทางนี้
calling คืองานที่เรารู้สึกว่า เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้

ในจำนวนเลขาที่ถูกสำรวจนั้น หนึ่งในสามบอกว่างานตัวเองเป็นเพียง job หนึ่งในสามบอกว่ารู้สึกเหมือนเป็น career และไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในสามของคนที่ทำงานเลขาอันดูแสนน่าเบื่อ จะมองว่างานนี้คือ calling ของตัวเอง

ทราบหรือไม่ครับว่า อะไรคือปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนกลุ่มสุดท้ายมองว่างานเลขาคือ calling ของตัวเอง?

ปัจจัยหลักคือระยะเวลาที่อยู่กับงานนั้นครับ

โดยนักวิจัยมองว่ายิ่งได้อยู่กับงานนั้นนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำพามาซึ่งอีกสองอย่างคือ ความสามารถในการทำอะไรโดยไม่ต้องให้ใครมากะเกณฑ์ และยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งรู้จัก สนิทสนม และผูกพันกับคนที่ทำงานด้วยมากยิ่งขึ้น

สามสิ่งนี้ – mastery (ความเชี่ยวชาญ), autonomy (การได้ทำงานโดยไม่มีใครมาจ้ำจี้จำไช) และ relatedness (ความรู้สึกผูกพันกับคนรอบข้าง) คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีความสุขกับงานไม่แพ้การได้ทำสิ่งที่เรารัก

ลอร่า เป็นนักบัญชีที่หลงใหลโยคะมาก ขนาดลงทุนไปลงเรียนคอร์สโยคะถึงอินเดีย เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจึงตัดสินใจลาออกจากงานบัญชีมาเปิดโยคะสตูดิโอของตัวเอง ซึ่งในช่วงแรกก็ทำได้ดี แต่พอปี 2008 ที่อเมริกามีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ลอร่าไม่สามารถจะนำพาสตูดิโอให้อยู่รอดได้ เพราะเธอมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการสตูดิโอโยคะน้อยมาก สุดท้ายเธอจึงจำต้องปิดสตูดิโอลง และใช้ชีวิตอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร

สิ่งที่เธอทำให้ไม่ถึงฝั่งฝัน ทั้งๆ ที่เธอทำสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะว่าเธอมี “ต้นทุนทางวิชาชีพ” ไม่พอ

ต้นทุนทางวิชาชีพ หรือ career capital คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประสบความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ลอร่าซึ่งมีต้นทุนทางวิชาชีพเรื่องงานบัญชี กลับทิ้งมันไปและเลือกสร้างธุรกิจที่เธอมีไม่มีต้นทุนทางวิชาชีพเลย (การบริหารจัดการโยคะสตูดิโอ)

สำหรับเด็กไทยรุ่นใหม่ ที่ฝันอยากจะออกไปทำธุรกิจของตัวเอง ต้องถามด้วยว่า เรามี career capital หรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้ว ตลาดจะจ่ายเงินให้เราก็ต่อเมื่อเรามีทักษะหรือมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าต่อตลาด ถ้าเราออกไปทำอะไรเองโดยที่ไม่มีต้นทุนทางความสามารถเลย สินค้าหรือบริการของเราก็จะไม่มีความแตกต่างกับสินค้าที่มีอยู่แล้ว และไม่สามารถดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจได้

ดังนั้น ก่อนจะลาออกไป follow your passion เราควรจะใช้เวลาในการสะสม career capital บ้าง

แล้วเราจะสะสมต้นทุนทางวิชาชีพได้อย่างไร?

ด้วยการใช้ craftsman mindset ครับ

เวลาเราทำงาน เราสามารถมีทัศนคติกับงานได้สองแบบ คือแบบ passion mindset และแบบ craftsman mindset

passion mindset คือทำเฉพาะงานที่ตัวเองชอบเท่านั้น เราจะคอยถามตัวเองตลอดเวลาว่างานนี้ให้ความสุขกับเรารึเปล่า – what value does the job bring to me? ถ้างานที่เราทำไม่สร้างความสุขให้เรา เราก็หางานใหม่

ส่วน craftsman mindset คือใช้ทัศนคติแบบช่างฝีมือ ที่ต้องการจะเก่งงานนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ คำถามที่เราถามจึงไม่ใช่ว่างานนี้ทำให้เรามีความสุขรึเปล่า แต่เป็นคำถามว่าเราสามารถสร้างคุณค่าอะไรให้กับงานนี้ได้บ้าง – what value can I bring to this job?

passion mindset คือเน้นที่ความสุขที่ได้จากงานในตอนนี้

craftsman mindset คือเน้นที่การพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้สร้างคุณค่ากับงานของเราได้มากยิ่งกว่าเก่า

คนที่ใช้ passion mindset พอเจองานที่ไม่ถูกใจ ก็จะลาออกไปอยู่ที่อื่น หรือไปทำงานสายอื่น จนไม่มีโอกาสได้สะสมต้นทุนทางวิชาชีพอย่างจริงจังเสียที

ขณะที่คนที่ใช้ craftsman mindset จะมีความอดทนและมีวิริยะพอที่จะอยู่กับงานชิ้นนั้นๆ จนกว่าเขาจะเก่งขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เขาสนุกกับงานมากขึ้นด้วย

คนที่มี craftsman mindset คือคนที่พัฒนาตัวเองไม่หยุดหย่อนจนมีทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาด คนกลุ่มนี้จะมีพลังในการต่อรองสูง ทั้งในแง่ค่าตอบแทนและอิสรภาพในการทำงาน

ยังมีอีกหลายประเด็นที่หนังสือ So good they can’t ignore you กล่าวถึง แต่เกรงว่าจะทำให้บล็อกตอนนี้เยิ่นเย้อเกินไป เลยจะขอเก็บไว้เล่าในโอกาสต่อๆ ไปนะครับ

ประเด็นหลักของบทความนี้ก็คือ การออกตามหาสิ่งที่รักหรือ follow your passion เป็นเรื่องดี แต่บางทีก็อาจจะเป็นวิธีมองโลกที่จำกัดตัวเองเกินไป และอาจทำให้เราด่วนตัดสินใจเกินไปหน่อย

เพราะการได้ทำสิ่งที่รัก ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะมีความสุขกับงานได้ แต่การรักในสิ่งที่ทำและมุ่งสู่ความเป็นเลิศในทางนั้นก็ทำให้เรามีความสุขได้เช่นกัน

ดังนั้น ก่อนจะลาออกไปทำสิ่งที่รัก ลองมา “เอาจริง” กับงานที่อยู่ตรงหน้ากันซักตั้งก่อนมั้ย

มาทำตัวเองให้เก่งจนใครๆ ก็ต้องมองมาที่เรา – be so good they can’t ignore you

แล้วโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก (แถมยังได้เงินดี) จะวิ่งเข้าหาเราแน่นอนครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่