ก่อนอื่นเรามาดูว่าทำไม เรียนเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง
สงสัยไหมครับ ท่อง ABC มาตั้งแต่อนุบาล เรียนภาษาอังกฤษมามากมาย ทำไมถึงใช้ไม่ได้จริง จบปริญญาหลายคนยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะบอกว่าอาจารย์สอนไม่ดี การศึกษาไทยมันแย่ หรือเราพยายามยังไม่พอ หรือทำไม่ถูกวิธีกันแน่ การศึกษาครับ ไม่จำเป็นว่าต้องมีคนสอนเสมอไป การสอนควรเป็นการจุดประกายสิ่งที่สำคัญและหลักการให้นักเรียนไปศึกษาต่อ สมมติอาจารย์หนึ่งท่านเตรียมการสอนมาอย่างดี ให้ความรู้ นักเรียน 100% แต่นักเรียนไม่รับ มันก็เท่ากัน 0 ครับ ฉะนั้นเริ่มที่ตัวเรา เปลี่ยนทัศนคติ ให้เห็นความสำคัญของภาษาเสียก่อน
เข้าเนื้อหาแนวทางของผมมี 4 อย่างง่ายๆ
1 Reading การอ่าน อ่านออกคือ ต้องอ่านถูกด้วย คนส่วนใหญ่บอกอ่านได้ตั้งนานแล้ว แล้วฝรั่งฟังรู้เรื่องไหม ไม่นับฝรั่งที่อยู่ไทยนะครับ เค้าฟังจนชินละ 0วิชาหนึ่งเรียกว่า Phonietic Alphabet หรือการออกเสียงอักษรภาษาอังกฤษครับ หลายคนที่ผมแนะนำชอบ ดูถูกว่าวิชาเด็กๆ ถ้าคุณรู้แล้ว แล้วทำไมไม่นำมาใช้ละครับ ตัวอักษรแต่ละตัวของภาษาอังกฤษจะมีเสียงที่สามารถอ่านต่อกันเป็นคำได้ ซึ่งถ้าเราจำได้หมดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าใช้ได้ทุกคำ เพราะภาษาอังกฤษก็รับอิทธิพลมาจากภาษาอื่นเช่นกัน อย่างเช่น คำว่า “Sour” กับ “Pour” คำว่า “Pour” ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแท้ ฉะนั้นการอ่านจึงต้องอาศัยประสบการณ์ควบคู่ไปด้วย แต่อ่านผิดแล้วทำไม? เมื่อเรารู้ก็รีบแก้ไข นั้นแหละครับ ที่เค้าเรียกว่าพัฒนา เมื่อเราอ่านหนังสือเยอะๆ หมายถึงอ่านออกเสียงนะครับ เราก็จะเริ่มชินกับการออกเสียงที่ถูกต้องไปเอง แม้เพื่อนข้างๆจะบ่นรำคาญก็ตาม เพราะมันก็ช่วยเพิ่มทักษะในการพูดด้วย ยิ่งอ่านออกเสียงได้ไหลลื่นเท่าไร เรากูจะพูดได้คล่องเท่านั้น พออ่านได้เราก็จะเริ่มฟังได้รู้เรื่องมากขึ้น
2 Listenning การฟัง เราจะเริ่มฟังออกเพราะเราอ่านออกเสียงถูก เมื่อเราเริ่มฟังได้ว่าแล้วว่าเจ้าของภาษาพูดว่าอะไรบ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ทั้งหมดขอแค่จับใจความให้ได้ก็พอ เพราะอย่างหนึ่งที่สำคัญมากคือการเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษ คิดให้เป็นภาษาอังกฤษอังกฤษ เช่น ฉันรู้สึก Happy ก็ให้เข้าใจว่า happy ไปเลย ไม่ใช่มีความสุข นี่คืออย่างหนึ่งที่จะทำให้เราไปได้เร็ว เพราะจิตสำนึกเราจะเข้าใจไปเอง แล้วจะไปฟังอังกฤษจากไหน ตัวผมเริ่มจากการฟังเพลง เราเลือกเพลงที่ชอบ เราก็จะอยากร้องตาม ทำให้เราหาเนื้อมาดู แล้วก็จะได้ทั้งสำเนียง ภาษาพูด คำแสลงต่างๆ และอีกมากมายครับ การเรียนในห้องเรียนก็เช่นกัน ถ้ามีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ฝรั่ง ก็ควรตั้งใจฟัง แม้จะฟังได้รู้เรื่องไม่กี่คำ นานๆเข้า เราก็จะพัฒนา จากนั้นเราเกิดเริ่มหัดเขียน
3 Writing การเขียน การทำโจทย์อะไรที่ใช้ไวยากรณ์ ก็คือการนำความรู้ทั้งหมดที่เรียนมา เรียบเรียงเป็นภาษาเขียน การเขียนนั้นไม่ยาก เพราะคนไทยท่องรู้หมดจำได้ หลักต่างๆ Grammar ทั้งหมด ซึ่งท่องไป ไม่เข้าใจ ไม่เคยใช้ก็ลืม แต่ตอนนี้ก็ต้องเอากลับใช้แล้วครับ ภาษาพูดกับภาษาเขียนต่างกันนิดหน่อย ความเป็นทางการก็ต่างกัน แล้วเราจะฝึกเขียนอะไรดี? เอาง่ายๆ เขียนไดอารี่ เล่าเรื่องว่าวันนี้เราทำอะไรไปบ้าง หรืออยากบอกคนนั้นคนนี้ว่าอะไร ก็เขียนลงไป จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ แต่พยายามเรียบเรียงให้ถูกหลักการ นี่ก็คือ การเริ่มนำมาใช้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทำการบ้าน ส่วนใหญ่สิ่งที่เขียนจะเรียนได้จากห้องเรียน ทั้งคำศัพท์และไวยากรณ์ต่างๆ หรือจากการอ่านหนังสือเยอะๆ สังเกตการใช้คำต่างๆ ต่อไปก็สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะยากที่สุดละ คือการพูด
4Speaking การพูด พูดดูจะต้องใช้ทักษะทั้งหมดที่มี ก็จิง คนส่วนใหญ่บอกว่า ฝรั่งพูดเร็วฟังไม่ทัน แล้วในห้องเรียนละอาจารย์ฝรั่งส่วนมากจะพยายามพูดช้าๆ แต่ก็ยังฟังไม่ทัน ทำไมละครับ ทำไมเพื่อนพูดไทยเร็ว ถึงฟังทัน นั้นก็ต้องเกิดจาการฝึกฝน ฟังบ่อยๆ การพูดนี่ ต้องได้จากประสบการณ์ วันไหนมีโอกาสเจอฝรั่งในห้องเรียนนอกห้องเรียน ก็ทักเลยครับ ถามอะไรก็ได้ พยายามคุยกับเค้า การโต้ตอบจะดีได้เพราะเราฟังรู้เรื่องใช่ไหม นั้นละย้อนไป คิดเป็นภาษาอังกฤษ เราก็ไม่ต้องมานั่งแปล มันจะทำให้เราโต้ตอบได้ดีขึ้น แล้วถ้าไม่มีฝรั่ง ให้คุยละครับ 555 Siri ไง คุณลืมเพื่อนคนนี้หรือป่าว ว่างๆ ก็เปลี่ยนภาษาแล้วมานั่งคุยกัน ถ้า Siri ฟังรู้เรื่องนี่ ถือว่าผ่านระดับหนึ่ง
ที่ผมต้องการจะสื่อ ทั้งหมดคือเราต้องเริ่มทีตัวเรา บางคนชอบบอกว่าคนอื่นไปเรียนตปท.มาไงเลยพูดเก่ง เรามาวิเคราะห์กันว่าทำไม สิ่งแวดล้อม สังคม การใช้ชีวิตที่ถูกบีบบังคับให้เค้าพูดใช่ไหมทำให้เค้าเก่ง ก็ใช่ แล้วเราจำเป็นต้องไปอยู่ ตปท.ทุกคนหรอ บอกเลยว่าไม่ครับ ฝรั่งมาบ้านเราเยอะว่าอีกครับ และนี่คือเทคนิกของผม
ผมเรียกมันว่าการหักดิบ คือการใช้เวลาที่มีอยู่ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ในขณะที่พูดภาษาไทย เราก็นึกว่า ถ้าต้องพูดภาษาอังกฤษ ต้องพูดว่าอะไร ถ้าไม่รู้ละ ก็ถามสิครับ ถามครูถามเพื่อน หรือไหมถาม Mr.Google แม้แต่การใช้โทรศัพท์ เราก็ตั้งค่าภาษาให้เป็นอังกฤษซะ ว่างๆ เห็นป้าย โฆษณาภาษาอังกฤษก็ฝึกออกเสียงไป แม้มันจะมีภาษาไทยก็ตาม เอาละเทคนิกหลักๆของผมมีอยู่ 4 อย่าง
1 ผมเริ่มจากการฟังเพลง เพลงแน่นอนว่าคนส่วนมากฟังเพลงเป็นประจำ เพลงสากล มีให้เลือกมากมายหลายแขนง เลือกอันที่เราชอบ แล้วหาเนื้อเพลงมาร้องตาม ร้องไม่เพราะชั่งมัน เราออกเสียงให้เหมือนเนื้อมันก็พอ และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นเล็กๆของผม เราจะเริ่มสังเกตได้ว่า มันออกเสียงอย่างนี้เองหรอ คำง่ายๆเราพึ่งจะฟังออก โดยไม่ต้องไปหาหนังซับอังกฤษเลย ค้นหาชื่อเพลงในgoogleตามด้วยคำว่า lyric ที่แปลว่าเนื้อเพลง แค่นี้ก็มีคนออกเสียงให้ฟังได้ทุกที่ละ มีหนึ่งแอพ แนะนะ คือ JOOX แอพฟังเพลงที่มาพร้อมเนื้อเพลง ไม่ต้องไปหาเลย
2 ดูหนังเอาแบบไหนดีละ Soundtrack+Sub Thai หรือ Soundtrack+Sub Eng ไม่ทั้ง2อย่างครับ มันทำให้สายตาเราจับจ้องที่ตัวหนังสือ อ่านก็ไม่ทัน ดูก็ไม่รู้เรื่องอีก ดูแบบ Soundtrack ไม่มีซับครับ ครั้งแรกแน่นอนว่า งง ไม่รู้เรื่อง พูดอะไรกันว่ะ แต่นี่แหละการหักดิบ ผมก็ทำอย่างนี้ ดูจนรู้เรื่องครับ ประสาทหูเราจะเริ่มรับรู้ได้ดีเอง แต่ก็ต้องควบคู่กับการศึกษาด้วย การฟังแต่ละทีก็ต้องพึ่งอุปกรณ์ที่ฟังได้ชัด เพื่อจะได้จับใจความได้ นี่รวมไปถึงการดูทุกสิ่งอย่างที่เราสนใจ เช่น TV Show, Game show, TV Series ผมมีเว็บไซต์มาแนะนำ 1www.couchtuner.ag 2www.projectfreetv.us อันนี้เป็นพวกทีวีฝรั่ง หรือหาโหลดหนังที่เป็นSoundtrack และปิดซับซะ ดูอะไรที่เราสนุกตื่นเต้น แม้จะไม่ได้พูดทั้งเรื่องก็ตาม(?_?) หมายถึงเกมโชว์นะ อย่าคิดไปไกล
3. อ่าน Comic และ Novel หนังสืออะไรก็ได้ที่สนใจเป็นภาษาอังกฤษ หาซื้อไม่อยากที่ Asia book, Kinokuniya หรือที่อื่นๆ ที่ไม่มีแปล บอกแล้วครับ หักก็คือหัก จะแปลทำไม อ่านให้เราเข้าใจ ในภาพกว่าถ้าเป็นnovelแนะนำ best selling เพลงจะเป็นหนังสือที่เขียนดีมาก อธิบายความรู้สึกของตัวละครได้ละเอียด จนคนอ่านอินไปกับเนื้อเรื่องเลย และพวกcomic เนี้ยมีภาพสื่อความหมายอยู่แล้ว ไม่ยากอย่างที่คิด ค้นหาในกูเกิลเลย มีมากมายเต็มไปหมด
4 การแชทกับฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นการพิม การโทรคุยกัน ก็ได้หมด หาในกูเกิลเช่นกัน ไม่รู้ว่าอยากคุยแบบไหนนะครับ แต่มี Appดีๆมาแนะนำ ชื่อว่า Tandem มันจะมีทั้งคนอยากสอน คนอยากเรียน ในแอพนี้ แต่ยังไงถ้าอายที่จะพูดก็ไม่ได้อะไรเลยครับ วิธีการมีอยู่มากมาย อาจจะค้นพบด้วยตัวเองก็ได้
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ไม่ได้จะโฆษณาใคร อยากให้คนไทยเห็นแนวทางการเรียนรู้ตัวต้นเอง เพราะมันสำคัญมากในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเอาเงินไปลงที่ติวเสียหมด ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราครับ บทความนี้เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็เห็นว่าสิ่งนี้ทำแล้วมันได้ผล และก็มีคนมาถามเยอะ ก็เลยอยากจะสรุปมาเป็นบทความให้อ่านกัน เพื่อจะเป็นการจุดประกายความฝันเล็กให้กับคนหลายๆคน หรือเติมความพยายาม ให้กับคนที่ท้อแท้ ให้พยายามต่อไป สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับภาษา ถ้าเรายังพูดภาตัวเองได้ไม่ถูกต้องตามอักขระที่มีอยู่ มันก็ยากที่เราจะกล้าพูดภาษาอื่นให้ถูกนะครับ คำควบคล่ำ ลอลิง รอเรือ ฝึกพูดให้คล้อง แล้วการพัฒนาทางภาษาจะเกิดครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ ผมสอนภาษาอังกฤษ ในโครงการเสาร์ประทีปของโรงเรียนนายร้อยนะครับ ก็ขอฝากโครงการดีๆ สอนฟรีจากพี่ๆ นักเรียนนายร้อย พยาบาล หมอ และนักศึกษา สถาบันต่างๆ โดยมี พลเอกหญิง สมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นองค์อุปถัมภ์
https://www.facebook.com/saoprateepcrma/
ใครที่มีข้อสงสัย ข้อแนะนำ หรือสื่อต่างๆ ก็มาแชร์กันได้นะครับ ร่วมมือกันเราจะพัฒนาไปพร้อมๆกันนะครับ
แนวทางและเทคนิกการเรียนภาษาอังกฤษของผม
สงสัยไหมครับ ท่อง ABC มาตั้งแต่อนุบาล เรียนภาษาอังกฤษมามากมาย ทำไมถึงใช้ไม่ได้จริง จบปริญญาหลายคนยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะบอกว่าอาจารย์สอนไม่ดี การศึกษาไทยมันแย่ หรือเราพยายามยังไม่พอ หรือทำไม่ถูกวิธีกันแน่ การศึกษาครับ ไม่จำเป็นว่าต้องมีคนสอนเสมอไป การสอนควรเป็นการจุดประกายสิ่งที่สำคัญและหลักการให้นักเรียนไปศึกษาต่อ สมมติอาจารย์หนึ่งท่านเตรียมการสอนมาอย่างดี ให้ความรู้ นักเรียน 100% แต่นักเรียนไม่รับ มันก็เท่ากัน 0 ครับ ฉะนั้นเริ่มที่ตัวเรา เปลี่ยนทัศนคติ ให้เห็นความสำคัญของภาษาเสียก่อน
เข้าเนื้อหาแนวทางของผมมี 4 อย่างง่ายๆ
1 Reading การอ่าน อ่านออกคือ ต้องอ่านถูกด้วย คนส่วนใหญ่บอกอ่านได้ตั้งนานแล้ว แล้วฝรั่งฟังรู้เรื่องไหม ไม่นับฝรั่งที่อยู่ไทยนะครับ เค้าฟังจนชินละ 0วิชาหนึ่งเรียกว่า Phonietic Alphabet หรือการออกเสียงอักษรภาษาอังกฤษครับ หลายคนที่ผมแนะนำชอบ ดูถูกว่าวิชาเด็กๆ ถ้าคุณรู้แล้ว แล้วทำไมไม่นำมาใช้ละครับ ตัวอักษรแต่ละตัวของภาษาอังกฤษจะมีเสียงที่สามารถอ่านต่อกันเป็นคำได้ ซึ่งถ้าเราจำได้หมดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าใช้ได้ทุกคำ เพราะภาษาอังกฤษก็รับอิทธิพลมาจากภาษาอื่นเช่นกัน อย่างเช่น คำว่า “Sour” กับ “Pour” คำว่า “Pour” ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแท้ ฉะนั้นการอ่านจึงต้องอาศัยประสบการณ์ควบคู่ไปด้วย แต่อ่านผิดแล้วทำไม? เมื่อเรารู้ก็รีบแก้ไข นั้นแหละครับ ที่เค้าเรียกว่าพัฒนา เมื่อเราอ่านหนังสือเยอะๆ หมายถึงอ่านออกเสียงนะครับ เราก็จะเริ่มชินกับการออกเสียงที่ถูกต้องไปเอง แม้เพื่อนข้างๆจะบ่นรำคาญก็ตาม เพราะมันก็ช่วยเพิ่มทักษะในการพูดด้วย ยิ่งอ่านออกเสียงได้ไหลลื่นเท่าไร เรากูจะพูดได้คล่องเท่านั้น พออ่านได้เราก็จะเริ่มฟังได้รู้เรื่องมากขึ้น
2 Listenning การฟัง เราจะเริ่มฟังออกเพราะเราอ่านออกเสียงถูก เมื่อเราเริ่มฟังได้ว่าแล้วว่าเจ้าของภาษาพูดว่าอะไรบ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ทั้งหมดขอแค่จับใจความให้ได้ก็พอ เพราะอย่างหนึ่งที่สำคัญมากคือการเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษ คิดให้เป็นภาษาอังกฤษอังกฤษ เช่น ฉันรู้สึก Happy ก็ให้เข้าใจว่า happy ไปเลย ไม่ใช่มีความสุข นี่คืออย่างหนึ่งที่จะทำให้เราไปได้เร็ว เพราะจิตสำนึกเราจะเข้าใจไปเอง แล้วจะไปฟังอังกฤษจากไหน ตัวผมเริ่มจากการฟังเพลง เราเลือกเพลงที่ชอบ เราก็จะอยากร้องตาม ทำให้เราหาเนื้อมาดู แล้วก็จะได้ทั้งสำเนียง ภาษาพูด คำแสลงต่างๆ และอีกมากมายครับ การเรียนในห้องเรียนก็เช่นกัน ถ้ามีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ฝรั่ง ก็ควรตั้งใจฟัง แม้จะฟังได้รู้เรื่องไม่กี่คำ นานๆเข้า เราก็จะพัฒนา จากนั้นเราเกิดเริ่มหัดเขียน
3 Writing การเขียน การทำโจทย์อะไรที่ใช้ไวยากรณ์ ก็คือการนำความรู้ทั้งหมดที่เรียนมา เรียบเรียงเป็นภาษาเขียน การเขียนนั้นไม่ยาก เพราะคนไทยท่องรู้หมดจำได้ หลักต่างๆ Grammar ทั้งหมด ซึ่งท่องไป ไม่เข้าใจ ไม่เคยใช้ก็ลืม แต่ตอนนี้ก็ต้องเอากลับใช้แล้วครับ ภาษาพูดกับภาษาเขียนต่างกันนิดหน่อย ความเป็นทางการก็ต่างกัน แล้วเราจะฝึกเขียนอะไรดี? เอาง่ายๆ เขียนไดอารี่ เล่าเรื่องว่าวันนี้เราทำอะไรไปบ้าง หรืออยากบอกคนนั้นคนนี้ว่าอะไร ก็เขียนลงไป จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ แต่พยายามเรียบเรียงให้ถูกหลักการ นี่ก็คือ การเริ่มนำมาใช้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทำการบ้าน ส่วนใหญ่สิ่งที่เขียนจะเรียนได้จากห้องเรียน ทั้งคำศัพท์และไวยากรณ์ต่างๆ หรือจากการอ่านหนังสือเยอะๆ สังเกตการใช้คำต่างๆ ต่อไปก็สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะยากที่สุดละ คือการพูด
4Speaking การพูด พูดดูจะต้องใช้ทักษะทั้งหมดที่มี ก็จิง คนส่วนใหญ่บอกว่า ฝรั่งพูดเร็วฟังไม่ทัน แล้วในห้องเรียนละอาจารย์ฝรั่งส่วนมากจะพยายามพูดช้าๆ แต่ก็ยังฟังไม่ทัน ทำไมละครับ ทำไมเพื่อนพูดไทยเร็ว ถึงฟังทัน นั้นก็ต้องเกิดจาการฝึกฝน ฟังบ่อยๆ การพูดนี่ ต้องได้จากประสบการณ์ วันไหนมีโอกาสเจอฝรั่งในห้องเรียนนอกห้องเรียน ก็ทักเลยครับ ถามอะไรก็ได้ พยายามคุยกับเค้า การโต้ตอบจะดีได้เพราะเราฟังรู้เรื่องใช่ไหม นั้นละย้อนไป คิดเป็นภาษาอังกฤษ เราก็ไม่ต้องมานั่งแปล มันจะทำให้เราโต้ตอบได้ดีขึ้น แล้วถ้าไม่มีฝรั่ง ให้คุยละครับ 555 Siri ไง คุณลืมเพื่อนคนนี้หรือป่าว ว่างๆ ก็เปลี่ยนภาษาแล้วมานั่งคุยกัน ถ้า Siri ฟังรู้เรื่องนี่ ถือว่าผ่านระดับหนึ่ง
ที่ผมต้องการจะสื่อ ทั้งหมดคือเราต้องเริ่มทีตัวเรา บางคนชอบบอกว่าคนอื่นไปเรียนตปท.มาไงเลยพูดเก่ง เรามาวิเคราะห์กันว่าทำไม สิ่งแวดล้อม สังคม การใช้ชีวิตที่ถูกบีบบังคับให้เค้าพูดใช่ไหมทำให้เค้าเก่ง ก็ใช่ แล้วเราจำเป็นต้องไปอยู่ ตปท.ทุกคนหรอ บอกเลยว่าไม่ครับ ฝรั่งมาบ้านเราเยอะว่าอีกครับ และนี่คือเทคนิกของผม
ผมเรียกมันว่าการหักดิบ คือการใช้เวลาที่มีอยู่ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ในขณะที่พูดภาษาไทย เราก็นึกว่า ถ้าต้องพูดภาษาอังกฤษ ต้องพูดว่าอะไร ถ้าไม่รู้ละ ก็ถามสิครับ ถามครูถามเพื่อน หรือไหมถาม Mr.Google แม้แต่การใช้โทรศัพท์ เราก็ตั้งค่าภาษาให้เป็นอังกฤษซะ ว่างๆ เห็นป้าย โฆษณาภาษาอังกฤษก็ฝึกออกเสียงไป แม้มันจะมีภาษาไทยก็ตาม เอาละเทคนิกหลักๆของผมมีอยู่ 4 อย่าง
1 ผมเริ่มจากการฟังเพลง เพลงแน่นอนว่าคนส่วนมากฟังเพลงเป็นประจำ เพลงสากล มีให้เลือกมากมายหลายแขนง เลือกอันที่เราชอบ แล้วหาเนื้อเพลงมาร้องตาม ร้องไม่เพราะชั่งมัน เราออกเสียงให้เหมือนเนื้อมันก็พอ และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นเล็กๆของผม เราจะเริ่มสังเกตได้ว่า มันออกเสียงอย่างนี้เองหรอ คำง่ายๆเราพึ่งจะฟังออก โดยไม่ต้องไปหาหนังซับอังกฤษเลย ค้นหาชื่อเพลงในgoogleตามด้วยคำว่า lyric ที่แปลว่าเนื้อเพลง แค่นี้ก็มีคนออกเสียงให้ฟังได้ทุกที่ละ มีหนึ่งแอพ แนะนะ คือ JOOX แอพฟังเพลงที่มาพร้อมเนื้อเพลง ไม่ต้องไปหาเลย
2 ดูหนังเอาแบบไหนดีละ Soundtrack+Sub Thai หรือ Soundtrack+Sub Eng ไม่ทั้ง2อย่างครับ มันทำให้สายตาเราจับจ้องที่ตัวหนังสือ อ่านก็ไม่ทัน ดูก็ไม่รู้เรื่องอีก ดูแบบ Soundtrack ไม่มีซับครับ ครั้งแรกแน่นอนว่า งง ไม่รู้เรื่อง พูดอะไรกันว่ะ แต่นี่แหละการหักดิบ ผมก็ทำอย่างนี้ ดูจนรู้เรื่องครับ ประสาทหูเราจะเริ่มรับรู้ได้ดีเอง แต่ก็ต้องควบคู่กับการศึกษาด้วย การฟังแต่ละทีก็ต้องพึ่งอุปกรณ์ที่ฟังได้ชัด เพื่อจะได้จับใจความได้ นี่รวมไปถึงการดูทุกสิ่งอย่างที่เราสนใจ เช่น TV Show, Game show, TV Series ผมมีเว็บไซต์มาแนะนำ 1www.couchtuner.ag 2www.projectfreetv.us อันนี้เป็นพวกทีวีฝรั่ง หรือหาโหลดหนังที่เป็นSoundtrack และปิดซับซะ ดูอะไรที่เราสนุกตื่นเต้น แม้จะไม่ได้พูดทั้งเรื่องก็ตาม(?_?) หมายถึงเกมโชว์นะ อย่าคิดไปไกล
3. อ่าน Comic และ Novel หนังสืออะไรก็ได้ที่สนใจเป็นภาษาอังกฤษ หาซื้อไม่อยากที่ Asia book, Kinokuniya หรือที่อื่นๆ ที่ไม่มีแปล บอกแล้วครับ หักก็คือหัก จะแปลทำไม อ่านให้เราเข้าใจ ในภาพกว่าถ้าเป็นnovelแนะนำ best selling เพลงจะเป็นหนังสือที่เขียนดีมาก อธิบายความรู้สึกของตัวละครได้ละเอียด จนคนอ่านอินไปกับเนื้อเรื่องเลย และพวกcomic เนี้ยมีภาพสื่อความหมายอยู่แล้ว ไม่ยากอย่างที่คิด ค้นหาในกูเกิลเลย มีมากมายเต็มไปหมด
4 การแชทกับฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นการพิม การโทรคุยกัน ก็ได้หมด หาในกูเกิลเช่นกัน ไม่รู้ว่าอยากคุยแบบไหนนะครับ แต่มี Appดีๆมาแนะนำ ชื่อว่า Tandem มันจะมีทั้งคนอยากสอน คนอยากเรียน ในแอพนี้ แต่ยังไงถ้าอายที่จะพูดก็ไม่ได้อะไรเลยครับ วิธีการมีอยู่มากมาย อาจจะค้นพบด้วยตัวเองก็ได้
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ไม่ได้จะโฆษณาใคร อยากให้คนไทยเห็นแนวทางการเรียนรู้ตัวต้นเอง เพราะมันสำคัญมากในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเอาเงินไปลงที่ติวเสียหมด ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราครับ บทความนี้เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็เห็นว่าสิ่งนี้ทำแล้วมันได้ผล และก็มีคนมาถามเยอะ ก็เลยอยากจะสรุปมาเป็นบทความให้อ่านกัน เพื่อจะเป็นการจุดประกายความฝันเล็กให้กับคนหลายๆคน หรือเติมความพยายาม ให้กับคนที่ท้อแท้ ให้พยายามต่อไป สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับภาษา ถ้าเรายังพูดภาตัวเองได้ไม่ถูกต้องตามอักขระที่มีอยู่ มันก็ยากที่เราจะกล้าพูดภาษาอื่นให้ถูกนะครับ คำควบคล่ำ ลอลิง รอเรือ ฝึกพูดให้คล้อง แล้วการพัฒนาทางภาษาจะเกิดครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ ผมสอนภาษาอังกฤษ ในโครงการเสาร์ประทีปของโรงเรียนนายร้อยนะครับ ก็ขอฝากโครงการดีๆ สอนฟรีจากพี่ๆ นักเรียนนายร้อย พยาบาล หมอ และนักศึกษา สถาบันต่างๆ โดยมี พลเอกหญิง สมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นองค์อุปถัมภ์ https://www.facebook.com/saoprateepcrma/
ใครที่มีข้อสงสัย ข้อแนะนำ หรือสื่อต่างๆ ก็มาแชร์กันได้นะครับ ร่วมมือกันเราจะพัฒนาไปพร้อมๆกันนะครับ