ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ มีกรณีของการโดน hack ข้อมูลบัตรเครดิตกันเยอะ ซึ่งเห็นมีคนตั้งกระทู้เยอะพอสมควร ว่ามียอดบัตรเครดิตแปลกๆ เข้ามา โดยที่ไม่ได้ใช้ ประกอบกับที่หลายต่อหลายคน เกิดข้อสงสัย ถามกันเข้ามาว่าถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่เรามียอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแปลกๆ เข้ามาโดยที่เราไม่ได้ใช้จ่าย ไม่ได้รูด เราจะต้องทำอย่างไร
เพราะเอาจริงๆ การโกงบัตรเครดิตนั้นมีหลายทางมาก และก็เคยเห็นว่ามีคนโพสต์ให้ดูว่ามันทำได้ง่ายมากด้วย RFID Microchip หรือถ้าเราซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บที่ไม่มีการป้องกันการขโมยข้อมูลด้วยโปรโตคอล https ก็มีโอกาสเสี่ยงสูง หรือบางทีแค่เราไปรูดบัตรซื้อสินค้าในห้าง ในปั๊มน้ำมัน มิจฉาชีพก็จดเลขบัตรกับเลข cvv หลังบัตรไปก็จบเห่ ขโมยกันได้ง่ายมาก เพราะบางธนาคารเดี๋ยวนี้ไม่มีการยืนยันด้วย OTP แล้ว แต่บางธนาคารก็มีการส่ง sms มาเตือนกรณีที่ใช้จ่ายจำนวนมากผ่านบัตร ก็ทำให้เรารีบตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
แต่ทีนี้หลายคนคงมีคำถามในหัวขึ้นมาว่า เอ๊ะ! แล้วที่เราซื้อสินค้าไปในร้านค้าออนไลน์ทั้งหลายโดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตนั้น ข้อมูลบัตรของเราจะปลอดภัยอยู่หรือเปล่า ที่เราเคยใช้จ่ายไป เรามีโอกาสโดน hack ข้อมูลหรือไม่ เราก็รวบรวมวิธีการที่จะต้องรีบดำเนินการหลังจากที่โดนขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ เพื่อที่จะแก้ไขได้ทันท่วงที มาฝากชาวพันธุ์ทิพย์กัน
4 วิธีที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เมื่อโดน hack บัตรเครดิต
พฤติกรรมของนักช้อป มักจะเพลิดเพลินกับการจับจ่าย ยิ่งถ้าเจอของถูกใจ ไม่ว่าเท่าไรก็ใช้บัตรเครดิตจ่ายได้ แต่จะทำอย่างไรดีเมื่อการช้อปที่เราคิดว่าปลอดภัยสุดๆ แล้ว อย่างการจ่ายผ่านบัตรเครดิต กลับมีช่องโหว่ ซึ่งมีนักช้อปหลายคนโดนกันมาเยอะแล้ว
ชาว Priceza ต้องคอยตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตของตัวเองดี เพราะถ้าเกิดวันดีคืนดีมียอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแปลกๆ ที่เราไม่ได้ใช้ แจ้งเข้ามาทาง sms เราต้องรีบดำเนินการดังนี้
1. แจ้งธนาคารและขออายัดบัตร
ทุกๆ ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตจะมีเบอร์ Call Center ซึ่งถ้าเราถูกขโมยใช้ข้อมูลบัตรเครดิตแล้ว ให้โทรหา Call Center ทันทีเพื่ออายัดบัตร ดำเนินการยกเลิกบัตรใบนั้นในทันที และทำการออกบัตรใหม่ และเราจะต้องแจ้งเบื้องต้นไปว่าเกิดกรณีการใช้จ่ายที่มีคนขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ให้เจ้าหน้าที่รับเรื่องทักท้วงรายการให้ จากนั้นทางธนาคารจะส่งแบบฟอร์มทักท้วงการใช้บัตรมาให้เรากรอกเพื่อไปยืนธนาคาร
การรีบแจ้งทันทีดีมากแล้วครับ เพราะบางทีเงินจะยังไม่น่าจะโอนเข้าร้านค้า เพราะจะประมาณ 30 วัน ส่วนถ้าเกิดเป็นรายการที่ใช้จ่ายผ่าน paypal ยังไม่ cleared แน่นอน ให้คุณรีบแจ้งไปที่ paypal เลยครับ www.paypal.com ทาง Paypal ก็จะไป Charge back กับร้านเค้า หรือทำให้รายการนั้น On hold ไว้ก่อนเลย ทางร้านมีหน้าที่พิสูจน์กับ Paypal แต่ในลักษณะนี้ชัดเจนว่าเขาต้องยกเลิกรายการให้
2. เปิดใช้บัตรใหม่
หลังจากทีอายัดบัตรไปแล้ว บัตรใบเดิมก็จะไม่สามารถใช้ได้อีก และก็มั่นใจได้ว่าคนที่ hack ข้อมูลคุณนั้นด็ไม่สามารถขโมยใช้บัตรได้อีกแล้ว ส่วนยอดที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น จะต้องรอยอดเรียกเก็บของเดือนนั้น ที่ธนาคารจะส่งมาให้ เพื่อที่จะยื่นเรื่องเคลียร์ยอดได้ แต่หลังจากที่คุณแจ้งไปแล้วธนาคารก็จะติดตามตรวจสอบให้อยู่
ส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรต่อไปนั้น คุณจะใช้บัตรได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อธนาคารส่งบัตรใหม่มาให้ ซึ่งเราก็สามารถเปิดใช้บัตรได้ตามวิธีการเปิดบัตรเหมือนเดิมที่เคยทำ
3. รอยอดเรียกเก็บ แล้วทำรายการปฏิเสธยอด
การยกเลิกยอดค่าใช้จ่ายที่ถูกขโมยนั้น ยังไม่สามารถยกเลิกได้ในทันที แต่คุณสามารถแจ้งทาง Call Center ไว้ก่อนได้ แล้วเมื่อธนาคารส่งใบเสร็จยอดเรียกเก็บรายเดือนมาแล้ว จากนั้นคุณจะต้องดำเนินการยื่นเรื่องทำรายการปฏิเสธยอด แล้วธนาคารก็จะดำเนินการตรวจสอบว่ายอดการใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เวลากี่โมง
4.รอเวลาตรวจสอบประมาณ 30-50 วัน ธนาคารเคลียร์ยอด
หลังจากที่ยื่นเรื่องปฏิเสธยอดไป ทางธนาคารจะดำเนินการตรวจสอบให้ ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 30-50 วัน แต่ทางธนาคารจะแจ้งความเคลื่อนไหวมาเป็นระยะ ซึ่งในระหว่างรอเคลียร์ยอดนี้มันจะมียอดที่เราต้องจ่ายค่าบัตรอยู่ ซึ่งยอดที่เราไม่ได้จ่าย ธนาคารจะพักยอดนี้ให้เรา แต่ถ้ายังไม่ได้พักยอดไว้ เราต้องแจ้งไปทาง Call Center ของธนาคารเพื่อขอพักยอด แล้วสอบถามยอดที่ต้องจ่ายของเดือนนั้น
จ่ายผ่านบัตรเครดิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากการถูก hack
อย่างที่บอกคือช่วงนี้มิจฉาชีพเริ่มออกลาย มีการ hack บัตรเครดิต และลักลอบใช้กันเยอะมาก แต่เราควรทำอย่างไรให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เพราะฉะนั้นเวลาเราจะรูดซื้อของ หรือซื้อของออนไลน์โดยการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตก็จะต้องระวังกันให้มาก โดยวิธีการช้อปอย่างปลอดภัยก็คือ
1. อย่าใจร้อน เช็คก่อนซื้อว่าเว็บไซต์ที่จะสั่งซื้อของนั้นน่าไว้วางใจแค่ไหน รวมถึง ให้เช็ค url ของเว็บไซต์ว่า โปรโตคอล หรือตรง http นั้น มี s ต่อท้ายหรือ เป็น https หรือไม่ เพราะถ้าโปรโตคอลเป็น https นั้นจะมีระบบควมปลอดภัยสูง ไม่สามารถขโมยข้อมูลได้ ก็จะช่วยให้ช้อปได้อย่างสบายใจมากขึ้น
2. เวลารูดบัตรซื้อของ เมื่อได้บัตรเครดิตมาแนะนำ ให้ใช้สติกเกอร์ ปิดตัวเลข 3 หลักด้านหลังบัตร ที่ติดกับลายเซ็น ไม่ให้ใครเห็น เพราะเดี๋ยวนี้ มิจฉาชีพสามารถจดหมายเลขบัตร พร้อมชื่อเรา และตัวเลข cvv ด้านหลังบัตรไปซื้อของออนไลน์ได้
3. เลือกซื้อกับร้านค้าที่วางใจได้ เพราะสมัยนี้ใน Market Place ต่างๆ จะมีเครื่องหมายการันตีความน่าเชื่อถือของร้านค้า ซึ่งทางเว็บไซต์มีการตรวจสอบให้แล้วว่าสามารถช้อปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ ซึ่งในเว็บไซต์ Priceza.com ก็กำลังจะมีการการันตีร้านค้าให้ในเร็วๆ นี้ เพื่อชาวพันธุ์ทิพย์จะได้ช้อปอย่างมั่นใจ
ส่วนถ้าใครที่มีข้อสงสัยเรื่องวิธีการชำระเงิน อยากเปรียบเทียบให้เห็นภาพระหว่างการชำระเงินสามช่องทางหลักได้แก่ บัตรเครดิต, บัตรเดบิตและชำระเงินผ่านธนาคาร ว่าในแต่ละรูปแบบ
การช้อปออนไลน์แบบไหนปลอดภัยสุด เราก็มีเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียไว้ให้ สามารถศึกษาได้เพื่อการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยของตัวคุณเองค่ะ
ที่มาจาก
Priceza.com
โดน hack บัตรเครดิต!!! ต้องทำอย่างไร? มีวิธีการมาฝาก
ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ มีกรณีของการโดน hack ข้อมูลบัตรเครดิตกันเยอะ ซึ่งเห็นมีคนตั้งกระทู้เยอะพอสมควร ว่ามียอดบัตรเครดิตแปลกๆ เข้ามา โดยที่ไม่ได้ใช้ ประกอบกับที่หลายต่อหลายคน เกิดข้อสงสัย ถามกันเข้ามาว่าถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่เรามียอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแปลกๆ เข้ามาโดยที่เราไม่ได้ใช้จ่าย ไม่ได้รูด เราจะต้องทำอย่างไร
เพราะเอาจริงๆ การโกงบัตรเครดิตนั้นมีหลายทางมาก และก็เคยเห็นว่ามีคนโพสต์ให้ดูว่ามันทำได้ง่ายมากด้วย RFID Microchip หรือถ้าเราซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บที่ไม่มีการป้องกันการขโมยข้อมูลด้วยโปรโตคอล https ก็มีโอกาสเสี่ยงสูง หรือบางทีแค่เราไปรูดบัตรซื้อสินค้าในห้าง ในปั๊มน้ำมัน มิจฉาชีพก็จดเลขบัตรกับเลข cvv หลังบัตรไปก็จบเห่ ขโมยกันได้ง่ายมาก เพราะบางธนาคารเดี๋ยวนี้ไม่มีการยืนยันด้วย OTP แล้ว แต่บางธนาคารก็มีการส่ง sms มาเตือนกรณีที่ใช้จ่ายจำนวนมากผ่านบัตร ก็ทำให้เรารีบตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
แต่ทีนี้หลายคนคงมีคำถามในหัวขึ้นมาว่า เอ๊ะ! แล้วที่เราซื้อสินค้าไปในร้านค้าออนไลน์ทั้งหลายโดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตนั้น ข้อมูลบัตรของเราจะปลอดภัยอยู่หรือเปล่า ที่เราเคยใช้จ่ายไป เรามีโอกาสโดน hack ข้อมูลหรือไม่ เราก็รวบรวมวิธีการที่จะต้องรีบดำเนินการหลังจากที่โดนขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ เพื่อที่จะแก้ไขได้ทันท่วงที มาฝากชาวพันธุ์ทิพย์กัน
4 วิธีที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เมื่อโดน hack บัตรเครดิต
พฤติกรรมของนักช้อป มักจะเพลิดเพลินกับการจับจ่าย ยิ่งถ้าเจอของถูกใจ ไม่ว่าเท่าไรก็ใช้บัตรเครดิตจ่ายได้ แต่จะทำอย่างไรดีเมื่อการช้อปที่เราคิดว่าปลอดภัยสุดๆ แล้ว อย่างการจ่ายผ่านบัตรเครดิต กลับมีช่องโหว่ ซึ่งมีนักช้อปหลายคนโดนกันมาเยอะแล้ว
ชาว Priceza ต้องคอยตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตของตัวเองดี เพราะถ้าเกิดวันดีคืนดีมียอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแปลกๆ ที่เราไม่ได้ใช้ แจ้งเข้ามาทาง sms เราต้องรีบดำเนินการดังนี้
1. แจ้งธนาคารและขออายัดบัตร
ทุกๆ ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตจะมีเบอร์ Call Center ซึ่งถ้าเราถูกขโมยใช้ข้อมูลบัตรเครดิตแล้ว ให้โทรหา Call Center ทันทีเพื่ออายัดบัตร ดำเนินการยกเลิกบัตรใบนั้นในทันที และทำการออกบัตรใหม่ และเราจะต้องแจ้งเบื้องต้นไปว่าเกิดกรณีการใช้จ่ายที่มีคนขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ให้เจ้าหน้าที่รับเรื่องทักท้วงรายการให้ จากนั้นทางธนาคารจะส่งแบบฟอร์มทักท้วงการใช้บัตรมาให้เรากรอกเพื่อไปยืนธนาคาร
การรีบแจ้งทันทีดีมากแล้วครับ เพราะบางทีเงินจะยังไม่น่าจะโอนเข้าร้านค้า เพราะจะประมาณ 30 วัน ส่วนถ้าเกิดเป็นรายการที่ใช้จ่ายผ่าน paypal ยังไม่ cleared แน่นอน ให้คุณรีบแจ้งไปที่ paypal เลยครับ www.paypal.com ทาง Paypal ก็จะไป Charge back กับร้านเค้า หรือทำให้รายการนั้น On hold ไว้ก่อนเลย ทางร้านมีหน้าที่พิสูจน์กับ Paypal แต่ในลักษณะนี้ชัดเจนว่าเขาต้องยกเลิกรายการให้
2. เปิดใช้บัตรใหม่
หลังจากทีอายัดบัตรไปแล้ว บัตรใบเดิมก็จะไม่สามารถใช้ได้อีก และก็มั่นใจได้ว่าคนที่ hack ข้อมูลคุณนั้นด็ไม่สามารถขโมยใช้บัตรได้อีกแล้ว ส่วนยอดที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น จะต้องรอยอดเรียกเก็บของเดือนนั้น ที่ธนาคารจะส่งมาให้ เพื่อที่จะยื่นเรื่องเคลียร์ยอดได้ แต่หลังจากที่คุณแจ้งไปแล้วธนาคารก็จะติดตามตรวจสอบให้อยู่
ส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรต่อไปนั้น คุณจะใช้บัตรได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อธนาคารส่งบัตรใหม่มาให้ ซึ่งเราก็สามารถเปิดใช้บัตรได้ตามวิธีการเปิดบัตรเหมือนเดิมที่เคยทำ
3. รอยอดเรียกเก็บ แล้วทำรายการปฏิเสธยอด
การยกเลิกยอดค่าใช้จ่ายที่ถูกขโมยนั้น ยังไม่สามารถยกเลิกได้ในทันที แต่คุณสามารถแจ้งทาง Call Center ไว้ก่อนได้ แล้วเมื่อธนาคารส่งใบเสร็จยอดเรียกเก็บรายเดือนมาแล้ว จากนั้นคุณจะต้องดำเนินการยื่นเรื่องทำรายการปฏิเสธยอด แล้วธนาคารก็จะดำเนินการตรวจสอบว่ายอดการใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เวลากี่โมง
4.รอเวลาตรวจสอบประมาณ 30-50 วัน ธนาคารเคลียร์ยอด
หลังจากที่ยื่นเรื่องปฏิเสธยอดไป ทางธนาคารจะดำเนินการตรวจสอบให้ ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 30-50 วัน แต่ทางธนาคารจะแจ้งความเคลื่อนไหวมาเป็นระยะ ซึ่งในระหว่างรอเคลียร์ยอดนี้มันจะมียอดที่เราต้องจ่ายค่าบัตรอยู่ ซึ่งยอดที่เราไม่ได้จ่าย ธนาคารจะพักยอดนี้ให้เรา แต่ถ้ายังไม่ได้พักยอดไว้ เราต้องแจ้งไปทาง Call Center ของธนาคารเพื่อขอพักยอด แล้วสอบถามยอดที่ต้องจ่ายของเดือนนั้น
จ่ายผ่านบัตรเครดิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากการถูก hack
อย่างที่บอกคือช่วงนี้มิจฉาชีพเริ่มออกลาย มีการ hack บัตรเครดิต และลักลอบใช้กันเยอะมาก แต่เราควรทำอย่างไรให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เพราะฉะนั้นเวลาเราจะรูดซื้อของ หรือซื้อของออนไลน์โดยการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตก็จะต้องระวังกันให้มาก โดยวิธีการช้อปอย่างปลอดภัยก็คือ
1. อย่าใจร้อน เช็คก่อนซื้อว่าเว็บไซต์ที่จะสั่งซื้อของนั้นน่าไว้วางใจแค่ไหน รวมถึง ให้เช็ค url ของเว็บไซต์ว่า โปรโตคอล หรือตรง http นั้น มี s ต่อท้ายหรือ เป็น https หรือไม่ เพราะถ้าโปรโตคอลเป็น https นั้นจะมีระบบควมปลอดภัยสูง ไม่สามารถขโมยข้อมูลได้ ก็จะช่วยให้ช้อปได้อย่างสบายใจมากขึ้น
2. เวลารูดบัตรซื้อของ เมื่อได้บัตรเครดิตมาแนะนำ ให้ใช้สติกเกอร์ ปิดตัวเลข 3 หลักด้านหลังบัตร ที่ติดกับลายเซ็น ไม่ให้ใครเห็น เพราะเดี๋ยวนี้ มิจฉาชีพสามารถจดหมายเลขบัตร พร้อมชื่อเรา และตัวเลข cvv ด้านหลังบัตรไปซื้อของออนไลน์ได้
3. เลือกซื้อกับร้านค้าที่วางใจได้ เพราะสมัยนี้ใน Market Place ต่างๆ จะมีเครื่องหมายการันตีความน่าเชื่อถือของร้านค้า ซึ่งทางเว็บไซต์มีการตรวจสอบให้แล้วว่าสามารถช้อปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ ซึ่งในเว็บไซต์ Priceza.com ก็กำลังจะมีการการันตีร้านค้าให้ในเร็วๆ นี้ เพื่อชาวพันธุ์ทิพย์จะได้ช้อปอย่างมั่นใจ
ส่วนถ้าใครที่มีข้อสงสัยเรื่องวิธีการชำระเงิน อยากเปรียบเทียบให้เห็นภาพระหว่างการชำระเงินสามช่องทางหลักได้แก่ บัตรเครดิต, บัตรเดบิตและชำระเงินผ่านธนาคาร ว่าในแต่ละรูปแบบ การช้อปออนไลน์แบบไหนปลอดภัยสุด เราก็มีเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียไว้ให้ สามารถศึกษาได้เพื่อการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยของตัวคุณเองค่ะ
ที่มาจาก Priceza.com