การพบกันของ "รักระยะไกล" 18+ (2)

กระทู้แรกมันมีสาระไปเยอะแล้ว เพราะ งั้นเราเลยมาทำอะไรที่ไม่มีสาระบ้าง และบวกกับเรากลัวกระทู้สาระมันจะบินๆไปด้วยหมด 5555555 เอาหล่ะ เรามาเริ่มทำไมมันถึงต้อง 18+ ดีกว่าค่ะ
ปล. อาจะมีคำไม่สุภาพเด็กๆควรได้รับคำแนะนำ แหะๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จริงๆแล้วกระทู้นี้อยากจะแชร์ประสบการณ์ความรักที่ไม่น่าจะเกิดแต่มันก็เกิดขึ้นค่ะ ไม่มีรักแรกพบมีแต่ แรกพบแต่งตัวอะไรมากกว่าค่ะ 5555

เกริ่นกระทู้เก่าซักนิดนั้นคือเรามีแฟนก่อนจะไปเรียนภาษาอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าควรมสัมพันธ์มันก็ไม่ค่อยดีมาได้ซักพักใหญ่ๆ คนรอบข้างเราก็บอกว่าทำไมไม่เลิกมั่ง อมทุกอยู่ได้ แต่เราก็ไม่ได้หูเบาเลิกไปนะค่ะ เพราะเราก็รักๆเลิกๆ มาครั้งสองครั้งแล้ว ทีนี้เราอยากพิสูตรว่าเวลาไม่อาจทำให้เราแยกกัน แต่ถ้ามันต้องแยกแสดงว่าเราก็ยังไม่ใช่ การที่จะหาคนที่ใช่สำหรับเพศทางเลือกแล้วมันก็ค่อนข้างยากสำหรับหลายๆคน แต่เราก็หวังนะค่ะ ว่าเค้าจะเป็นคนสุดท้าย อั๊ยยะ พูดดี ดราม่าเพื่อ แต่แล้วเหตุการณ์หลายอย่างมันก็ทำให้เรายอมแพ้ ความอดทนของเราหมดค่ะ เค้าพูดว่าเลิกกับเราหลายครั้งจนเราแบบว่า ถ้าพูดอีกครั้งเราพอแล้วเพราะทุกครั้งเราง้อตลอด ยอมตื่นตอนตีสอง โทรคลอกลับไทยตอนนั้นไทยสองทุ่ม ประมานนั้นค่ะ ทะเลาะกันได้ทุกครั้งเราอยากไปเที่ยวกับเพื่อนเที่ยวกลางวันนะ ไปห้างไปเดินเล่นกินข้าว หาประสบการณ์ เราให้เหตุผลว่า เราอยู่ไกลบ้าน ต้องหาประสบการณ์ให้มากที่สุด แต่เราก็ตามใจทุกอย่าง ทะเลาะกันเรื่องเราออกบ้านไปเดินหาอะไรกินบ่อยมาก จนเค้าขอเลิก เราร้องไห้กลางถนนซึ่งเมืองนอก นี่นั่งนึกได้เพลงนี้เลยค่ะ ฉันกำลังขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไปทิ้งตัวลงคุกเข่า  แต่กอดขาไม่ได้ อยู่ไกลไปค่ะ  55555555 แต่ก็กลับมารักกัน แต่มันถึงจุดๆหนึ่ง มันเกือบจะล้มมันเหนื่อยมันล้าเหมือนแทบขาดใจ อันนี้ก็บอดี้สแลมป่ะหล่ะ -.- เราก็ต้องการอะไรที่ก้าวไปข้างหน้าไปด้วยกันค่ะ แต่เค้าไม่เข้าใจ เมื่อถึงเวลา สองเหตุผลไม่เข้าใจทำให้เราจบกัน ในเวลาที่เราไปอยู่ที่นู้นได้ประมาน 4-5 เดือนค่ะ เราบอกก่อนเลยว่า เราไม่ได้คิดนอกใจไม่มีใครให้คิดนอกใจ เราไม่คิดว่ารักกับคนต่างชาติจะดี เราไม่ต้องการช่องว่างระหว่างภาษาค่ะ เพราะฉะนั้นตัดทิ้งได้เลย เราเลยรู้สึกไม่เปิดนะ พยายามไม่เปิด เพราะเรารู้ว่าเราขาดความรักไม่ได้ค่ะ แต่​ณ ตอนนั้นเรายืนยันนอนยันว่าไม่มีคนอื่นแน่นอน

ในระหว่างที่เราพักอยู่กับโฮมสเตย์ บ้านที่เราพัก เค้าจะรับนักเรียนอยู่ประมานสองคน ซึ่งเราก็จองคิวบ้านหลังนี้ยาวๆไปเลยค่ะ5555 เพราะสะดวกสะบายถึงแม้ว่าจะไกลโรงเรียนไปหน่อยแต่ก็หยวนๆไปค่ะ ในช่วงเดือนแรกๆ ยังไม่มีนักเรียนคนอื่นมาค่ะ แต่พอผ่านไปเดือนกว่าๆ นับตั้งแต่เราเริ่มถึงก็มีนักเรียนญี่ปุ่นอายุ 15 ก็จะเป็นสาวรำวง  เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ละ  เราก็ทำตัวไม่ค่อยสนิทด้วยซักเท่าไหร่ แต่เราก็แนะนำวิธีไปโรงเรียนเบื้อต้น ดูแลในส่วนที่พอทำได้ และนางก็หนักกว่าเราตรงที่ภาษาอังกฤษ ไม่ได้และไม่รู้เลย คือเท่ากับศูนย์เลยค่ะ แต่นางก็ไม่ทนที่จะเดินกับเราค่ะเพราะเราเดินเร็วมากกก เลยเลือกขึ้นบัสทุกวันเพราะไม่ต้องการไปโรงเรียนเช้า เราก็เอ่อก็ดีนะ จะได้ไม่เหนื่อย เราก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ อีกอย่างตึกกเรียนก็คนละตึก ห้องน้ำห้องนอนคนละห้อง ยกเว้นห้องนั่งเล่น ที่จะใช้ร่วมกันแต่เราก็โลกส่วนตัวสูงบวกกับเราก็มีกลุ่มเพื่อนเราที่จะคอยไปไหนด้วยอยู่แล้ว ส่วนเรื่องนอกใจแฟนเรื่องนี้ตัดไปได้เลยนี่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่เลิกกันแน่นอนค่ะ

คนที่สองที่มาอยู่ที่บ้าน ก็เป็นนักเรียนญี่ปุ่น อายุ่ 17 อันนี้เราก็แบบ เห้ยยะ น่ารักอ่ะ 5555555 แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการเจาะแจะ แนะนำทุกอย่างเหมือนคนแรก เหมือนเป็นพี่ที่ดีดูแลเด็กใหม่ คอยช่วยนู้นนี่ แต่เวลาโฮสซักเสื้อผ้าตากแห้งให้เราเค้าจะมากองๆรวมกัน เราก็แบบเห้ย ต้องเก็บก่อนอาย เราก็รื้อโดยที่ไม่สนใจอะไรค่ะ เราหยิบของเราเค้าหยิบของเค้า ก็ผู้หญิงเหมือนกัน โฮสเลยไม่คิดอะไรมั้งค่ะ 555 เราก็ไม่ได้คิดอะไรคิดแค่ว่า เอ่อเรามีแฟนละ แค่นั้นจริงๆ แต่พอหลังจากคนนี้จากไปก็เป็นช่วงที่ทะเลาะกันหนักขึ้นค่ะ เราเลยเลิกกันณตอนนั้น มันทำให้เราคิดว่าเห้อ รักระยะไกล เป็นไปไม่ได้หรอก เราหมดศรัทธาไปเลยค่ะเป๋เลย แต่ก็ไม่ขาดซักทีนะค่ะ เหมือนกับเราก็ยังใจอ่อน เราไม่รู้นะเราผิดมั้ย แต่มันถึงจุดพอเถอะนะพอเถอะคนดี 55555เราก็ยังติดต่อบ้าง แต่ไม่เหมือนเดิมพยายามให้เค้าอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ค่ะ เราไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากอยากจบด้วยดีสามารถคุยกันได้แบบพี่แบบน้อง

และประมานเข้าสู่เดือนที่ 5 ในเวลานั้นเอง เราก็ได้ข่าวจากโฮสมาค่ะว่า จะมีนักเรียกมาใหม่นะตอนบ่ายสามถ้ายังไงกลับบ้านมาให้ทันเจอนะ เราก็ตอบตกลงคิดว่าญี่ปุ่นอีกและเห้อ แต่วันนั้นเราก็ลืมไปเลยค่ะ ไปเดินเล่นชายหาด ซื้อของเข้าบ้าน กินขนมนู้นนั้นนี่เพลิน พอถึงบ้าน โอ้วววว ลืมได้ไงวันนี้มีนักเรียนใหม่มาอีกคนนี่หว่า เห้ออออ เราก็เก็บของรีบขึ้นไปค่ะ เพื่อจะไปทักทาย เราก็ลุ้นค่ะว่าเมื่อไหร่จะมีเพื่อนเดินไปโรงเรียนบางทีมันเหงาไปค่ะ 55555 ไปถึงปุ๊บ ภาพนี้มันติดตาค่ะ หมวกสีดำบานๆ ใส่แว่นตากลมๆ ผมยาวประบ่า เสื้อยืดยาวๆ กางเกงยืน ถุงเท้าสีเทาแบบแค่หุ้มซ้น ใส่เสื้อโค้ดตัวใหญ่สีดำ คิดในใจหนาวขนาดนี้เลยเรอะ ตูร้อนตับแตก เห้ยมันยังไม่หนาว คือนางไม่เช็คอากาศก่อนมาเหรอ เตรียมตัวเร็วไปกว่าจะหนาวอีกสองสามอาทิตย์แหนะ 55555555 แรกเริ่มก็ทักบทสนทนาที่เรียบง่ายค่ะ ชื่ออะไรเราชื่อนี้นะ เธอชื่ออะไร เรามากจากไทย เธอมาจากไหน อ้อเรามาจากไต้หวัน โอ้ยินดีที่ได้รู้จักนะ ยินดีค่ะ จบ ค่ะ จบจริงๆ แล้วก็ไปนั่งข้างๆ เพราะโฮสเตรียมขนมไว้ให้กินด้วยกันค่ะ เราก็แบบกินอย่างเร็วเพราะมันไม่อร่อยและจืดติดคอ ไอ่เราจะไม่กินก็เกรงใจ นั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรเลยค่ะ เราก็เหลือบมองเรา เราก็เหลือบมองนางค่ะแต่เราก็คิดในใจโถวแม่คูณ ร้อนตาจุงเบย ถอดได้ไหมหนิ -.,- แต่มันพีคตรงนี้คุณผู้ชมมมม โฮสถามว่าตอนนี้เรียนอะไรอยู่ นางรีบตอบ แฟชั่นดีไซน์ เราแบแทบพุ่ง ขนมในปากนะค่ะ แทบพุ่ง  โอเคเราอาจจะตามแฟชั่นไม่ทันเองก็ได้เราผิดเอง -w-

เราก็แนะนำบ้านทุกอย่างเหมือนกับที่เคยแนะนำให้กับคนก่อนๆค่ะ วันแรกเป็นหน้าที่โฮสที่จะไปส่งนักเรียนใหม่เพื่อให้รู้ทางไปกลับบ้านค่ะ แต่เราขอเดินเพราะช่วงนั้นน้ำหนักตัวพุ่งเยอะไปค่ะ ชีท ขนมปัง มาเต็ม เห้ออ~~  และแล้ววันที่สอง อยู่ๆนางก็เดินมาขอเดินกับเราค่ะ เราก็โอเคได้เลย เราตอบไปสั้นมากค่ะ แค่นั้นจริงๆ แล้วนางก็ต้องคิดแน่นอนว่า คนไรวะหยิ่ง 555 แต่ ณ ตอนนั้นเราไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ในเมื่อเราเป็นประเภท ไม่ชอบพูดก่อนเค้า ก็เหมือนเกรงใจ เพราะงั้นการสนทนาจบค่ะ วันที่ต้องเดินเราก็ขึ้นไปข้างบนเตรียมแซนวิชเองค่ะ นางก็เตรียมของนาง แต่พยายามก๊อบเรา เราก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นเด็กใหม่ เราก็พยายามทำให้ดูว่า เรากินอะไรได้ในตู้เย็น เช้ามาพูดคำสั้นๆค่ะ good morning แค่นี้ค่ะ 555555 นางเลยถามว่า what time will you go to school? เราก็ตอบ อ่อ ประมาน7 โมงจะเริ่มเดินนะ เค้าก็โอเค จบบทสนทนา ความจริงเราอยากถามนะค่ะว่าเรีนห้องไหนชั้นไหน แต่ปากเราเนี่ยแหะค่ะ หนัก หนักอะไรไม่รู้ กับเพื่อนที่โรงเรียนคุยจ้อ กับเพื่อนที่บ้านด้วยกัน ไมไม่จ้อแวะ  กลัวจะตกหลุมรักก็ไม่ใช่ รักแรกพบก็ยังไม่มี บวกกับไม่อ่ะ ขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อนนะ T T กำลังเศร้าแต่ไม่ขอเหล้าซักหยด เหย็ดดดดด เดี๋ยวไม่เพราะเอาใหม่ๆ อุบะ!! 55555

ระหว่างทางที่เดินนั้น เราก็ไม่ได้สนใจค่ะเดินปกติ ด้วยความที่เราเดินคนเดียวบ่อยจนชินเราก็เป็นคนเดินเร็วมากๆ เดินฉับๆไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นทั้งนั้น อะไรมันจะหยิ่งได้ขนาดนี้นะ แหมะ คิดเองคนเดียวค่ะ ความจริงไม่ได้ปากหนักอะไรค่ะ อายที่จะพูดกลัวพูดผิด 5555 เดินไปเราก็นึกขึ้นได้ เดี๋ยวเพื่อนร่วมทางอยู่ไหนนะ นี่แหละค่ะ เป็นเหตุผลว่าทำไมคนญี่ปุ่นสองคนแรกถึงไม่ยอมเดินกับเรา เพราะแบบนี้แหละค่ะ พอเราเห็นนางไกลเดินตามทันเราก็แบบเอ่อนางมาละเดินต่อ  ตอนแรกจากที่ยางใส่เสื้อแขนยาวหนาๆ นางถอดเลยจ้า เพราะไม่ชิน จากอากาศเย็นเป้นร้อนเพราะเหนื่อยตามไม่ทัน เราก็คิดในใจ เห้อ ไม่มีเพื่อนเดินตอนเช้าอีกละ แต่ไม่ค่ะ นางเดินกับเราทุกวันค่ะ ทุกวันจริงๆ ถ้าวันไหนฝนตกก็ต้องไปบัสค่ะ วันไหนเราขี้เกียจบอกว่าเราอยากนั่งบัสก็ไปค่ะ นางไม่บ่นเลยว่าอยากไปบัสมั่ง เหมือนคนนิสัยไม่ดีนะค่ะ แต่เราบอกแล้วว่าถ้าอยากนั่งบัส ก็ไปได้นะ ไม่ต้องตามเราก็ได้ถ้าเดินแล้วไม่ไหว เราโอเคถ้าจะเดินคนเดียว แหนะ เราไม่ได้รำคานนะค่ะ แค่ไม่อยากให้เหนื่อย 55555 แต่จริงๆ พอมารู้เหตุผลคือ นางไม่ชอบนั่งบัสเพราะนางจำไม่ได้ว่าต้องลงตรงไหนขึ้นบัสสายไหน นางกลัว   โถ่เด็กหนอเด็ก 5555 ณ ตอนนั้นเค้าอายุน้อยกว่าเราค่ะ เพียง 19 ปีเท่านั้นเอง เป็นคนยิ้มทุกสถานะการณ์ค่ะ เราก็แบบ เอ้อนี่ถ้าด่าจะยังยิ้มอยู่มั้ยหนิ 555555

และแล้ววันพฤหัสก็มาถึงเรารู้จักกันมา 4-5 วัน แล้ว แต่ก็ไม่เคยคุยกันเกินสองนาที เราคุยกับเพื่อนค่ะ บอกว่าเนี่ยอีกละคุยไม่เกินสองทางทีก็จบละ อะไรจะสั้นขนาดนี้ เพื่อนก็พูดติดตลก เห้ยหัวใจว่างหนิช่วงนี้ระหวังตกหลุมรักเด็กซื่อๆเอานะ เราก็ตอบมั่นใจมั่นหน้าค่ะ ไม่อ่ะ ฉันว่าเราหยุด ก่อนดีไหมก่อนจะสายไป อันนี้ก็ไม่เกี่ยวค่ะ 5555 เราก็ยืนกรานค่ะ ไม่ใช่ผู้หญิงในอุดมคติ เห้อ แต่รู้ไหมค่ะเหตุการครั้งแรกที่ทำให้เราคุยกันครั้งแรกมากกว่าครึ่งชั่วโมงคืออะไร นางลืมรหัสเข้าบ้านเหมือนเราตอนแรกเลยจ้า ด้วยความที่ตกใจ นางรีบทักแชทมาหาเราค่ะ เราก็ตกใจกระวนกระวายจะสอบพรุ่งนี้ยังไม่รู้เรื่องเลย เห้อ เราเลยบอกว่าจะวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด แต่คุยไปคุยมา โฮสก็โทรหาเราค่ะว่าอยู่กับแอลหรือเปล่า เราก็ไม่นะค่ะ [ขอเรียกนางว่า 'แอล' แทนแล้วกันนะค่ะ] เราก็เลยบอกว่ากำลังจะรีบกลับบ้านให้เร้วที่สุดค่ะ  แต่เราก็นึกไอเดียได้ว่าเราไม่ได้เอารีโมทที่บ้านไป ก็เลยบอกเค้าค่ะว่ากดปุ่มปิดมันซะ รีบๆเลย เพราะเรารู้ประสบการณ์ค่ะว่ามันดังมากแค่ไหน ในตอนนั้นเราทั้งขำ ทั้งห่วงค่ะ จะอ่านหนังสือต่อก็ไม่เอาละ เราก็เลยรีบกลับบ้านเลยค่ะเป็นห่วงว่าแอลจะโอเคมั้ย เพราะดูแล้ว แอลเหมือนกับเด็กน้อยที่ขี้กลัวอยู่พอสมควรค่ะ พอถึงบ้านสิ่งแรกที่เรามองหาก่อนคือแอลเลยค่ะ แอบย่องๆ แต่ก็เหมือนทำเป็นไม่สนใจ 555 นิสัยไม่ดีอีกละ ห่วงแต่ไม่พูดค่ะ มองๆ อ่อนั่งทำการบ้านโอเค เราก็จบไปนั่งอ่านหนังสือต่อ 55555 แอลก็เดินมาขอบคุณเราก็บอกไม่เป็นไร แค่นั้นแหละค่ะ จบบทสนทนา 555555

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะค่ะ พักมือแปป แหะๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่