ข้อความที่เชื่อกันว่าเป็นคำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัด ถ้าผมุสลิมผู้ใดไม่เชื่อจะขาดจาก "ศาสนาอิสลาม"
ศาสนาอิสลามห้ามและไม่สนับสนุนการฆ่าชีวิตมนุษย์ แม้แต่โทษประหาร ก็ไม่มีการสนีบสนุนถ้ามีการหลีกเลี่ยงได้ด้วยความยุติธรรม
1. ไม่มีโทษประหารในเรื่องการผิดประเวณีในอัลกุรอาน
2. อิสลามให้ความมีอิสระในการเลือกถือศาสนา ไม่มีการลงโทษมุสลิมผู้ละทิ้งศาสนาอิสลาม เนื่องจากเลิกศรัทธา (ซึ่งไม่เกี่ยวกับการบ่อนทำลายแผ่นดิน)
3. ไม่มีโทษประหารถ้าสามารภที่จะตกลงกันได้ด้วยความยุติธรรม
{6:151} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเธอจงมากันเถิด ฉันจะอ่านให้ฟัง สิ่งที่พระเจ้าของพวกเธอได้บัญญัติห้ามแก่พวกเธอ คือพวกเธออย่าตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บิดามารดาและอย่าฆ่าลูกของพวกเธอเนื่องจากความยากจน เราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเธอและแก่พวกเขา และจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด และอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเธอ เพื่อว่าพวกเธอจะใช้ปัญญา
{5:32} เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่า ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล และแท้จริงนั้นบรรดาศาสนทูตของเราได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว แล้วได้มีจํานวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน
1.ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง
อธิบาย: การต่อสู้ป้องกันตัว, ป้องกันครอบครัว, ป้องกันบ้านเมือง, อิสลามไม่สนับสนุนโทษประหาร
وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا رَحْمَةً لِلْعَالَمِينَ {107}
And We have not sent you but as a mercy to the worlds[Shakir 21:107]
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวต่อท่านรอซูลว่าพระองค์ทรงส่งท่านรอซูลมาไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่มวลมนุษยชาติเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลจะไม่สอนอะไรที่ขาดความเมตตากรุณาปราณีและขัดต่อจริยาธรรมและคุณธรรมของผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า/อัลลอฮ์, คุณสมบัติและบุคลิกของท่านรอซูลคือ ความมีศรัทธาต่อ อัลลอฮ์อย่างสูงสุด, ศรัทธาและปฏิบัติตามบัญญัติของอัลลอฮ์อย่างเคร่งครัด, เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจริยาธรรมอย่างสูงส่ง, เป็นผู้ที่มีเหตุผลและรอบรู้ในตรรกวิทยา,
แต่น่าอนาจที่มุสลิมส่วนมากให้เครดิตต่อท่านรอซูลในเรื่องนี้น้อยมาก ซึ่งเราเห็นได้จาก ฮาดีษที่เหลวไหลที่อ้างอิงว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูลมูฮัมมัด
พิจารณาจากอัลกุรอานในเรื่อง อิสระในการนีบถือศาสนา, อัลกุรอานไม่ได้ระบุว่า ถ้าเป็นมุสลิมแล้ว หมดศรัทธา จะมีบทลงโทษในโลกมนุษย์ หรือโทษประหาร ผู้ละทิ้งอิสลาม, อัลลอฮ์ยอมรับชาวยิว และชาวคริสเตียน ที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม และมีศรัทธาต่อพระองค์และวันสิ้นโลก
{2:62} แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา และพวกยิว และพวกคริสเตียน และพวกศอบิอ์ ที่มีศรัทธาในอัลลอฮฺ และในวันปรโลก และประกอบความดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระเจ้าของพวกตน และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผู้เขียนบทความนี้ เป็นผู้ที่ไม่เคยมีความเห็นตรงกันกับผมเลย เนื่องจากผมไม่เชื่อ ฮาดีษใดๆทั้งสิ้นที่ไม่ตรงกับอัลกุรอานหรือ ขอบเขตและบริบทของ อัลกุรอาน ท่านผู้นี้ไม่เคยเห็นด้วยกับผมเลย แต่ เผอิญมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ ท่านผู้นี้อธิบายได้ดีมากทีเดียว แสดงถึงการที่เป็นบุคคลที่มีเหตุผลพอสมควร และยึดมั่นในอัลกุรอานว่าอยู่เหนือกว่า ฮาดีษ...
จาก.... http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kheedes&month=03-12-2005&group=4&gblog=1
บทลงโทษการพ้นจากศาสนาอิสลาม
ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ
ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า หลักการของศาสนาอิสลาม มาจาก 2 แหล่ง คือ 1.กุรอาน 2.ซุนนะห์ (แนวทาง กิจปฏิบัติ รวมทั้งคำพูด) ของท่านศาสดา หลักการใดขัดแย้งไปจากนี้ถือว่า ไม่ใช่หลักการอิสลาม และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาดครับ
การพ้นไปจากศาสนาอิสลามนั้น ในภาษาอาหรับ คือ “ริดดะฮฺ” ซึ่งแปลว่า การหันหลังให้ ส่วนผู้ที่กระทำการดังกล่าว เรียกว่า มุรตัด ซึ่งเป็นที่เข้าใจในหลาย ๆ คนว่า โทษคือการประหารชีวิต แต่ในความเป็นจริงเมื่อเราพิจารณาจากกุรอาน เราจะพบว่า กุรอานได้บัญญัติเรื่องการพ้นจากศาสนาไว้ 13 อายะห์ (โองการ) ในแต่ละซูเราะห์ (บท) เช่น
“...จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้” (กุรอาน 2:120)
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (กุรอาน 3:85)
“ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์” (กุรอาน 6:106)
แต่จากทั้งหมด พบว่า ไม่มีโองการใดเลยที่ระบุถึงโทษทัณฑ์ที่ต้องได้รับบนโลกนี้ โทษทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่า จะมีการก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้นแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีโองการใดระบุว่าต้องทำโทษหรือประหารผู้ที่หลุดพ้นจากศาสนา อาทิเช่น ซูเราะห์อัล บากอเราะห์ อายะห์ที่ 217 ความว่า
“...และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล”
นักการศาสนาบางท่านให้ความเห็นว่า การพ้นจากศาสนานั้น เป็นความผิดที่เขาผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าเอง ซึ่งหากว่ามีการลงโทษประหารชีวิตด้วยเหตุผลของการพ้นจากศาสนาจริง มันก็จะไปขัดแย้งกับโองการที่ว่า -
"ไม่มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อ อัฎ-ฎอฆูต(ซัยตอน) และศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้" (กุรอาน 2:256)
เมื่อไม่มีการระบุการลงโทษในทางโลกที่บันทึกในกุรอานแล้ว หากมามองในแง่ของซุนนะห์ท่านศาสดาจะพบว่า
ครั้งหนึ่ง มีชาวยิวกลุ่มหนึ่ง มาเข้ารับศาสนาอิสลาม แต่ต่อมาก็ได้ละทิ้งอิสลามและกลับไปสู่ศาสนาเดิม ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะห์อาลิอิมรอน อายะห์ที่ 71-73 แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกท่านศาสดาลงโทษแต่ประการใด หรืออีกกรณีหนึ่งที่อาหรับเบดูอิน คนหนึ่งมาหาท่านศาสดาและขอเข้ารับอิสลาม แต่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยและมาขอยกเลิกการเป็นมุสลิม (คือ เปลี่ยนจากอิสลามไปเป็นอย่างอื่น) ถึง 3 ครั้ง แต่ทั้ง 3 ครั้งท่านศาสดาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ จนสุดท้ายเขาจึงเดินทางออกไปจากมาดีนะห์ ซึ่งท่านศาสดาก็ไม่ได้กล่าวโทษเอาผิด หรือส่งทหารออกตามล่าแต่อย่างใด
จากบทสรุปในหลายส่วน นักวิชาการมุสลิมให้ความเห็นในหลายด้าน บ้างก็ว่า การพ้นจากศาสนาจำเป็นต้องถูกประหารโดยอ้างเอาหะดิษ ของอิบนุอับบาส ที่ว่า “ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาจงฆ่าเขา” หรือหะดิษที่เกี่ยวกับชนเผ่าอูกัลป์เป็นต้น แต่ทั้งหมดก็ถูกอีกฝ่ายโต้แย้ง โดยอ้างหลักฐานจากกุรอานในซูเราะห์ที่ 2 อายะห์ที่ 256 และซุนนะห์ท่านศาสดา โดยวิจารณ์ว่าการสังหารที่เกิดขึ้น เป็นเพราะคดีความอื่น (เช่นการปล้น) ไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนศาสนา
โดยทั้งนี้มีหลักฐานบางประการจากคอลีฟะห์อุมัร (รด.) ว่าท่านได้สั่งให้ทหารของท่านจัดการกับผู้เปลี่ยนศาสนาอย่างสันติวิธี หรือหากชักชวนไม่ได้ผล ก็ควรจำคุกดีกว่าการประหาร
นักวิชาการมุสลิมจึงให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนศาสนาของมุสลิมคนหนึ่งนั้น ควรจำกัดให้เป็นโทษแบบตะอฺซีร (คือ อยู่ในดุลพินิจของผู้พิพากษา) หากการเปลี่ยนศาสนานั้นไม่ได้ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ ก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษ หรือแค่แนะนำ ตักเตือน แต่หากการเปลี่ยนศาสนามีผลต่อความมั่นคงของรัฐ หรือเปลี่ยนด้วยเจตนาของการก่อกบฏต่อรัฐ ก็อาจจำคุก หรือประหารชีวิตได้ ซึ่งทัศนะนี้ได้รับการยอมรับมากกว่า ทัศนะของบางมัซฮับ (สำนักคิดทางนิติศาสตร์อิสลาม) ที่กล่าวว่ามันเป็นโทษประเภท ฮัด (ความผิดที่ชัดเจน)
ด้วยจิตคารวะ
Create Date : 03 ธันวาคม 2548
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2549 0:22:11 น.
..................
คำสอนใดที่จะนำไปสู่ "ความสันติ" ตามอุดมการณ์ของศาสนาอิสลาม?
ศาสนาอิสลามห้ามและไม่สนับสนุนการฆ่าชีวิตมนุษย์ แม้แต่โทษประหาร ก็ไม่มีการสนีบสนุนถ้ามีการหลีกเลี่ยงได้ด้วยความยุติธรรม
1. ไม่มีโทษประหารในเรื่องการผิดประเวณีในอัลกุรอาน
2. อิสลามให้ความมีอิสระในการเลือกถือศาสนา ไม่มีการลงโทษมุสลิมผู้ละทิ้งศาสนาอิสลาม เนื่องจากเลิกศรัทธา (ซึ่งไม่เกี่ยวกับการบ่อนทำลายแผ่นดิน)
3. ไม่มีโทษประหารถ้าสามารภที่จะตกลงกันได้ด้วยความยุติธรรม
{6:151} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเธอจงมากันเถิด ฉันจะอ่านให้ฟัง สิ่งที่พระเจ้าของพวกเธอได้บัญญัติห้ามแก่พวกเธอ คือพวกเธออย่าตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บิดามารดาและอย่าฆ่าลูกของพวกเธอเนื่องจากความยากจน เราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเธอและแก่พวกเขา และจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด และอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเธอ เพื่อว่าพวกเธอจะใช้ปัญญา
{5:32} เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่า ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล และแท้จริงนั้นบรรดาศาสนทูตของเราได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว แล้วได้มีจํานวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน
1.ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง
อธิบาย: การต่อสู้ป้องกันตัว, ป้องกันครอบครัว, ป้องกันบ้านเมือง, อิสลามไม่สนับสนุนโทษประหาร
وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا رَحْمَةً لِلْعَالَمِينَ {107}
And We have not sent you but as a mercy to the worlds[Shakir 21:107]
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวต่อท่านรอซูลว่าพระองค์ทรงส่งท่านรอซูลมาไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใดนอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่มวลมนุษยชาติเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลจะไม่สอนอะไรที่ขาดความเมตตากรุณาปราณีและขัดต่อจริยาธรรมและคุณธรรมของผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า/อัลลอฮ์, คุณสมบัติและบุคลิกของท่านรอซูลคือ ความมีศรัทธาต่อ อัลลอฮ์อย่างสูงสุด, ศรัทธาและปฏิบัติตามบัญญัติของอัลลอฮ์อย่างเคร่งครัด, เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจริยาธรรมอย่างสูงส่ง, เป็นผู้ที่มีเหตุผลและรอบรู้ในตรรกวิทยา, แต่น่าอนาจที่มุสลิมส่วนมากให้เครดิตต่อท่านรอซูลในเรื่องนี้น้อยมาก ซึ่งเราเห็นได้จาก ฮาดีษที่เหลวไหลที่อ้างอิงว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูลมูฮัมมัด
พิจารณาจากอัลกุรอานในเรื่อง อิสระในการนีบถือศาสนา, อัลกุรอานไม่ได้ระบุว่า ถ้าเป็นมุสลิมแล้ว หมดศรัทธา จะมีบทลงโทษในโลกมนุษย์ หรือโทษประหาร ผู้ละทิ้งอิสลาม, อัลลอฮ์ยอมรับชาวยิว และชาวคริสเตียน ที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม และมีศรัทธาต่อพระองค์และวันสิ้นโลก
{2:62} แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา และพวกยิว และพวกคริสเตียน และพวกศอบิอ์ ที่มีศรัทธาในอัลลอฮฺ และในวันปรโลก และประกอบความดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระเจ้าของพวกตน และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้