สวัสดีค่ะ ^^
เราเพิ่งไปเที่ยวฮ่องกงกลับมาเมื่อต้นเดือนค่ะ และมีโอกาสได้บินกับสายการบินในฝัน กับเครื่อง A380 ที่อยากลองนั่งมากๆ
อยากแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวฮ่องกง-มาเก๊า ครั้งนี้เพราะได้รูปกลับมาเพียบ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร 55+
มีเรื่องควรทำ-ไม่ควรทำ มาบอก จะได้ไม่พลาดกัน เราไปเสี่ยงดวงเอาข้างหน้าก็เยอะ บางที่ก็ไม่ได้แพลนไว้ด้วย
หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ นะค้าาาา ใครว่างๆ ไม่มีไรทำก็มาอ่านเพลินๆ กันได้เล้ยยยยยย
โดยแผนคร่าวๆ ที่วางไว้เป็นแบบนี้
>> แผนการเดินทางคือไป Apr-28 กลับ May-03
>> เราซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีกับ Emirates จริงๆ เป้าหมายหลักของเราคืออยากนั่งเครื่องลำใหญ่ของสายนี้ แน่นอนค่ะว่าซื้อเองเจ็บเอง (เราอยากให้ของขวัญวันเกิดตัวเองซักครั้งค่ะ เลยตัดสินใจจองเดินทางวันเกิดเลย) สำหรับ Business Class แล้ว เส้นทาง HKG ราคาเบาสุดค่ะ ถ้าอยากทราบราคาก็เข้าไปในเว็บเค้าเลยนะคะ จองง่ายเสียเงินง่ายมากค่ะ ; )
>> เราได้เพื่อนไปด้วยอีก 2 คน (ตอนแรกเราใจร้อน อยากจะไปก็ไป เกือบได้เที่ยวคนเดียวละค่ะ)
>> จองที่พักกับ Airbnb เพราะมันถูกกว่าโรงแรมเยอะ เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ
>> ตั๋ว Hong Kong Disneyland, กระเช้านองปิง เราซื้อไปจากที่ไทยค่ะ (search ใน google ดูนะคะ มีไม่กี่เจ้าค่ะ เราไปรับถึงที่เลยเพราะกลัวส่งไม่ทัน)
>> เรารู้เรื่องฮ่องกงน้อยมากๆ (เพราะเป้าหมายหลักคืออยากบิน) ก็หาจากกระทู้ pantip และรีวิวต่างๆ ที่ไหนสวยๆ ต้องไปก็เซฟไว้ดู ทำใส่ตารางไว้
Day1 Apr-28
วันนี้เป็นวันที่แทบจะหมดไปกับการเดินทางค่ะ ไฟลท์ 14.00 น. บินกับ Emirates ครั้งแรกด้วย ตื่นเต้น^^
เราไปถึงสนามบินประมาณ 10.30 น. ค่ะ จริงๆ ก็อยากไปถึงเร็วกว่านี้แต่ขนาดเผื่อแล้วรถก็ยังติดอยู่เลย ใครอยากมานั่ง Lounge นานๆ เผื่อเวลามาเยอะๆ ก็ดีค่ะ Check-In ที่แถวของ Business เลย ไม่มีคิวค่ะ โล่งมาก
เรา Check-In ผ่าน Emirates App มาแล้ว และกรอกรายละเอียดพวกพาสปอร์ตเรียบร้อย ก็เลยเร็วค่ะ กระเป๋าได้ 40 kg นะคะ แต่เราชั่งได้แค่ 11 kg เท่านั้น (แน่นอน ใครจะไปถึง 40 kg ได้ล่ะ) เสร็จแล้วก็ได้รับสิ่งเหล่านี้
- Boarding Pass
- บัตร Premium Lane
- ป้าย Tag Business (ไม่รู้เอาไปทำไร เลยห้อยกระเป๋าเป้ไว้ 55+)
กรอกใบขาเข้าเสร็จ เราก็แยกกับเพื่อนๆ ตรงนี้ค่ะ เพราะบัตร Premium Lane จะมีช่องให้เข้าไปตรวจสัมภาระติดตัวและตรวจเอกสารก่อนออกนอกประเทศ โดยช่องนี้จะแยกกับผู้โดยสารเยอะๆ แถวก็เลยสั้นมาก ขั้นตอนนี้เลยใช้เวลาแป๊ปเดียว
ทีนี้เราก็เดินผ่านพวกสินค้า Duty Free ไปอย่างรวดเร็วค่ะ กลัวตัวเองจะเสียเงินตั้งแต่ยังไม่ออกจากประเทศ 55+ เราก็มีเงินที่เราแลกไปค่อนข้างจำกัด เลยไม่อยากใช้ซื้ออะไรแพงๆ ก่อน
ต่อไปคือตามหา Emirates Lounge ค่ะ สามารถเข้าไปนั่งได้จนถึงเวลา Boarding เลยค่ะ ก็เดินไปตามป้ายเรื่อยๆ ลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น หาป้ายนี้เจอไม่มีหลงแน่ค่ะ
ตรงเข้าไปเลยค่ะ ด้านหน้าจะเป็นแบบนี้ (เดินไปถ่ายไปรูปเลยไม่ชัด ขออภัยค่ะ)
เข้าไปเลยค่ะ เลือกที่นั่งได้ตามสบาย ที่นั่งเยอะและกว้างขวาง มีวิวให้ดูด้วย มีโต๊ะและคอมพิวเตอร์สำหรับคนอยากเล่นเน็ต ละก็มี Wifi ให้ด้วยค่ะ
แต่เราไม่นั่งตรงนี้ค่ะ เราเดินตรงเข้าไปด้านในเลย เพราะเป้าหมายหลักของเราคืออาหาร ^^ ที่นั่งก็เลือกได้ตามสบายค่ะ เราเลือกที่นั่งริมกระจกไป
มีอาหารเยอะค่ะ เลือกตักได้เลยตามสบาย เราก็เก้ๆ กังๆ ยืนเลือกตั้งนานไม่รู้จะกินไรดี (ถือ Gopro มาถ่ายด้วยแต่มือไม่นิ่งเลย รูปเลยไม่ชัด 55) ก็เลือกตักอันที่ดูน่าจะกินเป็นมาลอง รสชาตอร่อยหมดค่ะ ทั้งของคาวของหวาน พวกของหวานก็มีให้เลือกเยอะค่ะ ขนมหวานอร่อยมาก จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรเหมือนกัน ถ่ายรูปมาไม่หมดค่ะ ลุกไปหยิบมาหลายรอบ ข้าวเช้าไม่ได้กินเลยหิวจัด กระเพาะจุได้เยอะซะด้วย
บาร์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีค่ะ มีให้เลือกเพียบเลย เห็นหลายๆ คนจะมายืนตรงบาร์นี้บ่อยๆ 55+ เราก็อยากลองของใหม่นะ แต่วันนี้ไม่พร้อม เลยจัด Absolute ผสม Soda มาพอ
ห้องน้ำก็หรูหราค่ะ ตกแต่งโทนสีเดียวกันหมดเลย (มือไม่นิ่งเลย T_T)
นั่งอืดๆ อยู่ซักพักก็รีบออกมาเจอกับเพื่อนๆ ค่ะ เพื่อนบอกให้รีบมาทำบัตร King Power วันนี้ทำบัตรฟรี แถมได้คูปองส่วนลด 20% แต่ซื้อได้เฉพาะวันนี้เท่านั้น เลยอดไป สายประหยัดแบบเรา จ่ายเงินค่า Business Class ไปเพื่อสนองความอยากแล้ว ที่เหลือก็ต้องประหยัดค่ะ T_T เที่ยวครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่กดเงินเพิ่มอีก ปีที่แล้วไปญี่ปุ่นล้มละลายมากค่ะ ช้อปจนลืมเก็บเงินไว้เข้า Universal เลยต้องกดเพิ่ม
เสร็จแล้วก็ว่าจะเดินไปนั่งสวยๆ ที่หน้าเกทรอเวลา สรุป Final Call แบบงงๆ ค่ะ น่าจะเพราะเครื่อง A380 มันลำใหญ่คนเยอะมาก แถม Full Load อีก เลยเรียกเร็วขึ้น ทีนี้วิ่งกันเลยค่า เครื่องนี้แหละค่ะที่เราจะนั่งกัน เครื่องใหญ่และใหม่มาก เป็นลาย expo 2020 ด้วย สวย : )
ที่นั่งรวมๆ เป็นแบบนี้ค่ะ ของเราเลือกริมหน้าต่างไว้
กว้างค่ะ เหยียดขาวางได้สบาย จะนั่งจะนอนท่าไหนได้หมด มีช่องเก็บของด้านข้างด้วย
อยากนวดหรือปรับเบาะก็ใช้เจ้านี่ค่ะ ถอดออกมาจากแท่นได้
หูฟังค่าาา ใช้ดี เก็บเสียงจากด้านนอกดีเลย
รีโมทเราไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ ใช้ตอนมากดหาหนังที่อยากดูเฉยๆ จิ้มๆ จอเอามากกว่า จอเค้าใหญ่ดีค่ะ
ซักพักแอร์คนสวยก็มาแจกผ้าร้อนค่ะ เครื่องดื่มมีน้ำผลไม้กับแชมเปญค่ะ เราเลือกอันนี้เพราะแก้วมันสวยดี
ใน Lounge ก็กิน บนเครื่องก็กิน 55+
เมนูค่าาาาา พอเครื่องขึ้นซักพักจะมีแอร์มาถามว่าจะรับอะไร
คิดจะรีวิวแล้วก็ต้องทำให้สุดค่ะ ห้องน้ำก็ต้องรีวิว 55+ ใช้มือถือที่ติดตัวไปนี่ล่ะ รีบเข้ารีบออกเผื่อมีคนรอ
ห้องน้ำไม่แคบนะคะ มีกระจกบานใหญ่ด้วย และกล้วยไม้ : )
กลับมาที่นั่งของเรากันต่อ ก็ถ่ายรูปเล่น กดหาหนังดูรอไปเรื่อยๆ มีหนังให้เลือกเยอะมากๆ
Inflight entertainment สุดยอดมากจริงๆ เราชอบมาก เพราะมี 2 Broke Girls season ใหม่ๆ ให้ดูด้วย
แล้วอาหารก็มาค่ะ เราเลือก Chicken ซึ่งอร่อยมากค่าาา ขนมอะไรก็มีให้ ส่วนแก้วกาแฟนั่นเราเลือกเติมชา ใส่นมด้วยยิ่งหอมอร่อยสุดๆ จนแอร์เดินผ่านมาต้องขอเพิ่มอีก : P
น้ำ และน้ำอัดลมกระป๋อง จะมีไว้ข้างตัวตลอดเวลา หิวก็เทดื่มได้เลย
ขวดนี้ เราเปิดกินแล้วก็ถือลงมาด้วยค่ะ ช่วยชีวิตเราได้เลย ขนาดกำลังพอดี เอาไว้เติมน้ำดื่มเวลาออกไปเที่ยว สะดวกสุดๆ
สิ่งที่ดีมากๆ คือบาร์ด้านหลังค่ะ ไปนั่งเล่น เม้าท์มอยกะแอร์ได้ (แต่ส่วนใหญ่ ผช ก็รุมจีบนางอยู่ตรงบาร์นั่นแหละค่ะ)
พวกขนมสวยๆ ตรงนั้น อร่อยมากค่ะ
ผ่านไปเกือบๆ 3 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินฮ่องกงค่ะ (จะบอกว่าเวลาพอๆ กับขับรถไปกลับที่ทำงานเลย T_T)
ต่อรถไฟจาก terminal ไปอีกค่ะ แป๊ปเดียวก็ถึง
รอกระเป๋าแล้วก็ออกไปทางเคาท์เตอร์ A นะคะ เราจะไปรับซิมฟรีไว้ใช้กัน ตรงไปที่เคาท์เตอร์ A08 สีเขียวๆ เลยค่ะ
ไปตามเวลาที่เรากดจองไว้ใน App เจ้าหน้าที่จะขอพาสปอร์ต และก็เอา QR code ในอีเมลล์เราไปใช้ยืนยันด้วย
เจ้าหน้าที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ ใส่ซิมให้เรียบร้อย ตั้งค่าให้เสร็จ ละก็อธิบายวิธีใช้ละเอียดยิบ
เดี๋ยววิธีเราจะมาบอกนะคะ...
เวลาที่นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว (เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) เดินหาที่ซื้อบัตร Octopus เคาท์เตอร์กลมๆ ที่มีคนต่อแถวอยู่นั่นแหละค่ะ ซื้อได้เลย
เราเติมไปก่อน 300 HKD (มัดจำ 50 HKD ใช้ได้จริง 250 HKD) เราเพิ่งนึกได้ว่าลืมถ่ายรูปมา
บัตรนี้ช่วยให้สะดวกมากๆ ค่ะ ใช้ได้หมดทุกการเดินทาง MTR, Bus, Seven-Eleven หรือร้านอาหารใหญ่ๆ บางร้านก็รับนะคะ
เราพักอยู่แถวๆ สถานี Austin ซึ่งจะให้ขึ้น Airport Express ไปต่อ MTR ก็ได้ค่ะ แต่มันแพง
เราหามาแล้วว่า Bus มันถูกกว่า แล้วกระเป๋าลากเราก็ใบใหญ่มาก ไม่อยากลากเปลี่ยนสถานีบ่อยๆ เลยอยากนั่ง Bus ต่อเดียวจบ
หาลิฟต์แถวๆ นั้นลงมาชั้นล่าง แล้วข้ามถนนมารอรถ Bus ที่ป้ายกัน
ระบบของที่นี่ดี มีป้ายบอกเลขรถ Bus ชัดเจนว่าต้องต่อแถวขึ้นตรงไหน แล้วก็มาตรงเวลา ออกตรงเวลาสุดๆ
เราใช้ wifi สนามบินเปิด Google map ดู ก็สามารถขึ้น Bus สาย A22 ไปลงถนน Jordan แล้วเดินต่ออีก 5 นาที ก็ถึงที่พักค่ะ
แตะบัตร Octopus เสียไปประมาณ 40 HKD ก็วางกระเป๋าไว้บนชั้น (มีชั้นวางกระเป๋าอย่างดีค่ะ)
แล้วก็เดินขึ้นไปชั้น 2 เพราะอยากดูวิวสวยๆ
ระหว่างที่นั่งอยู่ชั้น 2 ก็มีหน้าจอให้เช็คด้วยนะคะ ว่ากระเป๋าที่วางไว้ยังอยู่ดีมั้ย
ปล.1 โปรดใช้วิจารณญาณในการซื้อตั๋วนะคะ ของเรานี่เป็นของขวัญชิ้นแรกให้ตัวเองเลย ^^
ปล.2 ตั้งชื่อกระทู้ใหม่แล้วนะคะ หวังว่าจะถูกต้องซะที (เป็น Consumer Review)
แชร์ประสบการณ์เที่ยวฮ่องกง บิน Business Class กับ Emirates เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะเราเพิ่งไปเที่ยวฮ่องกงกลับมาเมื่อต้นเดือนค่ะ และมีโอกาสได้บินกับสายการบินในฝัน กับเครื่อง A380 ที่อยากลองนั่งมากๆ
อยากแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวฮ่องกง-มาเก๊า ครั้งนี้เพราะได้รูปกลับมาเพียบ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร 55+
มีเรื่องควรทำ-ไม่ควรทำ มาบอก จะได้ไม่พลาดกัน เราไปเสี่ยงดวงเอาข้างหน้าก็เยอะ บางที่ก็ไม่ได้แพลนไว้ด้วย
หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ นะค้าาาา ใครว่างๆ ไม่มีไรทำก็มาอ่านเพลินๆ กันได้เล้ยยยยยย
โดยแผนคร่าวๆ ที่วางไว้เป็นแบบนี้
>> แผนการเดินทางคือไป Apr-28 กลับ May-03
>> เราซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีกับ Emirates จริงๆ เป้าหมายหลักของเราคืออยากนั่งเครื่องลำใหญ่ของสายนี้ แน่นอนค่ะว่าซื้อเองเจ็บเอง (เราอยากให้ของขวัญวันเกิดตัวเองซักครั้งค่ะ เลยตัดสินใจจองเดินทางวันเกิดเลย) สำหรับ Business Class แล้ว เส้นทาง HKG ราคาเบาสุดค่ะ ถ้าอยากทราบราคาก็เข้าไปในเว็บเค้าเลยนะคะ จองง่ายเสียเงินง่ายมากค่ะ ; )
>> เราได้เพื่อนไปด้วยอีก 2 คน (ตอนแรกเราใจร้อน อยากจะไปก็ไป เกือบได้เที่ยวคนเดียวละค่ะ)
>> จองที่พักกับ Airbnb เพราะมันถูกกว่าโรงแรมเยอะ เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ
>> ตั๋ว Hong Kong Disneyland, กระเช้านองปิง เราซื้อไปจากที่ไทยค่ะ (search ใน google ดูนะคะ มีไม่กี่เจ้าค่ะ เราไปรับถึงที่เลยเพราะกลัวส่งไม่ทัน)
>> เรารู้เรื่องฮ่องกงน้อยมากๆ (เพราะเป้าหมายหลักคืออยากบิน) ก็หาจากกระทู้ pantip และรีวิวต่างๆ ที่ไหนสวยๆ ต้องไปก็เซฟไว้ดู ทำใส่ตารางไว้
Day1 Apr-28
วันนี้เป็นวันที่แทบจะหมดไปกับการเดินทางค่ะ ไฟลท์ 14.00 น. บินกับ Emirates ครั้งแรกด้วย ตื่นเต้น^^
เราไปถึงสนามบินประมาณ 10.30 น. ค่ะ จริงๆ ก็อยากไปถึงเร็วกว่านี้แต่ขนาดเผื่อแล้วรถก็ยังติดอยู่เลย ใครอยากมานั่ง Lounge นานๆ เผื่อเวลามาเยอะๆ ก็ดีค่ะ Check-In ที่แถวของ Business เลย ไม่มีคิวค่ะ โล่งมาก
เรา Check-In ผ่าน Emirates App มาแล้ว และกรอกรายละเอียดพวกพาสปอร์ตเรียบร้อย ก็เลยเร็วค่ะ กระเป๋าได้ 40 kg นะคะ แต่เราชั่งได้แค่ 11 kg เท่านั้น (แน่นอน ใครจะไปถึง 40 kg ได้ล่ะ) เสร็จแล้วก็ได้รับสิ่งเหล่านี้
- Boarding Pass
- บัตร Premium Lane
- ป้าย Tag Business (ไม่รู้เอาไปทำไร เลยห้อยกระเป๋าเป้ไว้ 55+)
กรอกใบขาเข้าเสร็จ เราก็แยกกับเพื่อนๆ ตรงนี้ค่ะ เพราะบัตร Premium Lane จะมีช่องให้เข้าไปตรวจสัมภาระติดตัวและตรวจเอกสารก่อนออกนอกประเทศ โดยช่องนี้จะแยกกับผู้โดยสารเยอะๆ แถวก็เลยสั้นมาก ขั้นตอนนี้เลยใช้เวลาแป๊ปเดียว
ทีนี้เราก็เดินผ่านพวกสินค้า Duty Free ไปอย่างรวดเร็วค่ะ กลัวตัวเองจะเสียเงินตั้งแต่ยังไม่ออกจากประเทศ 55+ เราก็มีเงินที่เราแลกไปค่อนข้างจำกัด เลยไม่อยากใช้ซื้ออะไรแพงๆ ก่อน
ต่อไปคือตามหา Emirates Lounge ค่ะ สามารถเข้าไปนั่งได้จนถึงเวลา Boarding เลยค่ะ ก็เดินไปตามป้ายเรื่อยๆ ลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น หาป้ายนี้เจอไม่มีหลงแน่ค่ะ
ตรงเข้าไปเลยค่ะ ด้านหน้าจะเป็นแบบนี้ (เดินไปถ่ายไปรูปเลยไม่ชัด ขออภัยค่ะ)
เข้าไปเลยค่ะ เลือกที่นั่งได้ตามสบาย ที่นั่งเยอะและกว้างขวาง มีวิวให้ดูด้วย มีโต๊ะและคอมพิวเตอร์สำหรับคนอยากเล่นเน็ต ละก็มี Wifi ให้ด้วยค่ะ
แต่เราไม่นั่งตรงนี้ค่ะ เราเดินตรงเข้าไปด้านในเลย เพราะเป้าหมายหลักของเราคืออาหาร ^^ ที่นั่งก็เลือกได้ตามสบายค่ะ เราเลือกที่นั่งริมกระจกไป
มีอาหารเยอะค่ะ เลือกตักได้เลยตามสบาย เราก็เก้ๆ กังๆ ยืนเลือกตั้งนานไม่รู้จะกินไรดี (ถือ Gopro มาถ่ายด้วยแต่มือไม่นิ่งเลย รูปเลยไม่ชัด 55) ก็เลือกตักอันที่ดูน่าจะกินเป็นมาลอง รสชาตอร่อยหมดค่ะ ทั้งของคาวของหวาน พวกของหวานก็มีให้เลือกเยอะค่ะ ขนมหวานอร่อยมาก จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรเหมือนกัน ถ่ายรูปมาไม่หมดค่ะ ลุกไปหยิบมาหลายรอบ ข้าวเช้าไม่ได้กินเลยหิวจัด กระเพาะจุได้เยอะซะด้วย
บาร์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีค่ะ มีให้เลือกเพียบเลย เห็นหลายๆ คนจะมายืนตรงบาร์นี้บ่อยๆ 55+ เราก็อยากลองของใหม่นะ แต่วันนี้ไม่พร้อม เลยจัด Absolute ผสม Soda มาพอ
ห้องน้ำก็หรูหราค่ะ ตกแต่งโทนสีเดียวกันหมดเลย (มือไม่นิ่งเลย T_T)
นั่งอืดๆ อยู่ซักพักก็รีบออกมาเจอกับเพื่อนๆ ค่ะ เพื่อนบอกให้รีบมาทำบัตร King Power วันนี้ทำบัตรฟรี แถมได้คูปองส่วนลด 20% แต่ซื้อได้เฉพาะวันนี้เท่านั้น เลยอดไป สายประหยัดแบบเรา จ่ายเงินค่า Business Class ไปเพื่อสนองความอยากแล้ว ที่เหลือก็ต้องประหยัดค่ะ T_T เที่ยวครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่กดเงินเพิ่มอีก ปีที่แล้วไปญี่ปุ่นล้มละลายมากค่ะ ช้อปจนลืมเก็บเงินไว้เข้า Universal เลยต้องกดเพิ่ม
เสร็จแล้วก็ว่าจะเดินไปนั่งสวยๆ ที่หน้าเกทรอเวลา สรุป Final Call แบบงงๆ ค่ะ น่าจะเพราะเครื่อง A380 มันลำใหญ่คนเยอะมาก แถม Full Load อีก เลยเรียกเร็วขึ้น ทีนี้วิ่งกันเลยค่า เครื่องนี้แหละค่ะที่เราจะนั่งกัน เครื่องใหญ่และใหม่มาก เป็นลาย expo 2020 ด้วย สวย : )
ที่นั่งรวมๆ เป็นแบบนี้ค่ะ ของเราเลือกริมหน้าต่างไว้
กว้างค่ะ เหยียดขาวางได้สบาย จะนั่งจะนอนท่าไหนได้หมด มีช่องเก็บของด้านข้างด้วย
อยากนวดหรือปรับเบาะก็ใช้เจ้านี่ค่ะ ถอดออกมาจากแท่นได้
หูฟังค่าาา ใช้ดี เก็บเสียงจากด้านนอกดีเลย
รีโมทเราไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ ใช้ตอนมากดหาหนังที่อยากดูเฉยๆ จิ้มๆ จอเอามากกว่า จอเค้าใหญ่ดีค่ะ
ซักพักแอร์คนสวยก็มาแจกผ้าร้อนค่ะ เครื่องดื่มมีน้ำผลไม้กับแชมเปญค่ะ เราเลือกอันนี้เพราะแก้วมันสวยดี
ใน Lounge ก็กิน บนเครื่องก็กิน 55+
เมนูค่าาาาา พอเครื่องขึ้นซักพักจะมีแอร์มาถามว่าจะรับอะไร
คิดจะรีวิวแล้วก็ต้องทำให้สุดค่ะ ห้องน้ำก็ต้องรีวิว 55+ ใช้มือถือที่ติดตัวไปนี่ล่ะ รีบเข้ารีบออกเผื่อมีคนรอ
ห้องน้ำไม่แคบนะคะ มีกระจกบานใหญ่ด้วย และกล้วยไม้ : )
กลับมาที่นั่งของเรากันต่อ ก็ถ่ายรูปเล่น กดหาหนังดูรอไปเรื่อยๆ มีหนังให้เลือกเยอะมากๆ
Inflight entertainment สุดยอดมากจริงๆ เราชอบมาก เพราะมี 2 Broke Girls season ใหม่ๆ ให้ดูด้วย
แล้วอาหารก็มาค่ะ เราเลือก Chicken ซึ่งอร่อยมากค่าาา ขนมอะไรก็มีให้ ส่วนแก้วกาแฟนั่นเราเลือกเติมชา ใส่นมด้วยยิ่งหอมอร่อยสุดๆ จนแอร์เดินผ่านมาต้องขอเพิ่มอีก : P
น้ำ และน้ำอัดลมกระป๋อง จะมีไว้ข้างตัวตลอดเวลา หิวก็เทดื่มได้เลย
ขวดนี้ เราเปิดกินแล้วก็ถือลงมาด้วยค่ะ ช่วยชีวิตเราได้เลย ขนาดกำลังพอดี เอาไว้เติมน้ำดื่มเวลาออกไปเที่ยว สะดวกสุดๆ
สิ่งที่ดีมากๆ คือบาร์ด้านหลังค่ะ ไปนั่งเล่น เม้าท์มอยกะแอร์ได้ (แต่ส่วนใหญ่ ผช ก็รุมจีบนางอยู่ตรงบาร์นั่นแหละค่ะ)
พวกขนมสวยๆ ตรงนั้น อร่อยมากค่ะ
ผ่านไปเกือบๆ 3 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินฮ่องกงค่ะ (จะบอกว่าเวลาพอๆ กับขับรถไปกลับที่ทำงานเลย T_T)
ต่อรถไฟจาก terminal ไปอีกค่ะ แป๊ปเดียวก็ถึง
รอกระเป๋าแล้วก็ออกไปทางเคาท์เตอร์ A นะคะ เราจะไปรับซิมฟรีไว้ใช้กัน ตรงไปที่เคาท์เตอร์ A08 สีเขียวๆ เลยค่ะ
ไปตามเวลาที่เรากดจองไว้ใน App เจ้าหน้าที่จะขอพาสปอร์ต และก็เอา QR code ในอีเมลล์เราไปใช้ยืนยันด้วย
เจ้าหน้าที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ ใส่ซิมให้เรียบร้อย ตั้งค่าให้เสร็จ ละก็อธิบายวิธีใช้ละเอียดยิบ
เดี๋ยววิธีเราจะมาบอกนะคะ...
เวลาที่นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว (เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) เดินหาที่ซื้อบัตร Octopus เคาท์เตอร์กลมๆ ที่มีคนต่อแถวอยู่นั่นแหละค่ะ ซื้อได้เลย
เราเติมไปก่อน 300 HKD (มัดจำ 50 HKD ใช้ได้จริง 250 HKD) เราเพิ่งนึกได้ว่าลืมถ่ายรูปมา
บัตรนี้ช่วยให้สะดวกมากๆ ค่ะ ใช้ได้หมดทุกการเดินทาง MTR, Bus, Seven-Eleven หรือร้านอาหารใหญ่ๆ บางร้านก็รับนะคะ
เราพักอยู่แถวๆ สถานี Austin ซึ่งจะให้ขึ้น Airport Express ไปต่อ MTR ก็ได้ค่ะ แต่มันแพง
เราหามาแล้วว่า Bus มันถูกกว่า แล้วกระเป๋าลากเราก็ใบใหญ่มาก ไม่อยากลากเปลี่ยนสถานีบ่อยๆ เลยอยากนั่ง Bus ต่อเดียวจบ
หาลิฟต์แถวๆ นั้นลงมาชั้นล่าง แล้วข้ามถนนมารอรถ Bus ที่ป้ายกัน
ระบบของที่นี่ดี มีป้ายบอกเลขรถ Bus ชัดเจนว่าต้องต่อแถวขึ้นตรงไหน แล้วก็มาตรงเวลา ออกตรงเวลาสุดๆ
เราใช้ wifi สนามบินเปิด Google map ดู ก็สามารถขึ้น Bus สาย A22 ไปลงถนน Jordan แล้วเดินต่ออีก 5 นาที ก็ถึงที่พักค่ะ
แตะบัตร Octopus เสียไปประมาณ 40 HKD ก็วางกระเป๋าไว้บนชั้น (มีชั้นวางกระเป๋าอย่างดีค่ะ)
แล้วก็เดินขึ้นไปชั้น 2 เพราะอยากดูวิวสวยๆ
ระหว่างที่นั่งอยู่ชั้น 2 ก็มีหน้าจอให้เช็คด้วยนะคะ ว่ากระเป๋าที่วางไว้ยังอยู่ดีมั้ย
ปล.1 โปรดใช้วิจารณญาณในการซื้อตั๋วนะคะ ของเรานี่เป็นของขวัญชิ้นแรกให้ตัวเองเลย ^^
ปล.2 ตั้งชื่อกระทู้ใหม่แล้วนะคะ หวังว่าจะถูกต้องซะที (เป็น Consumer Review)