สวัสดีค่ะ อ่านกระทู้เกี่ยวกับท่องเที่ยวหลาย ๆ กระทู้แล้วรู้สึกดีจัง ได้ความรู้ความเข้าใจขึ้นอีกเยอะ เลยตัดสินใจขอเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวบ้าง แต่ก้อไม่ได้ถนัดในเชิงกูรู อะไรใหม่ อะไรอร่อย ที่พักไหนที่ไหนดี รูปสวย ๆ มุมเก๋ ๆ ก้อถ่ายกับเค้าไม่ค่อยเก่ง ฯลฯ เอาเป็นว่าขอแชร์ในแบบที่ถนัด จากมุมมองประสบการณ์ที่เรามีที่เราผ่านมา อาจจะไม่ได้สาระถึงขั้นสุดติ่งกระดิ่งแมว แต่ก้อหวังว่าเพื่อน ๆ น่าจะได้อะไรดี ๆ บ้างสำหรับการเดินทางในทริปต่อไป
ก่อนที่เราจะเริ่มต้นเดินทางไปที่ไหน แน่นอนว่าเราต้องมีหนังสือเดินทาง (passport)
หนังสือเดินทางคือการแสดงตัวตนของคุณ หรือเปรียบง่าย ๆ คือเป็นบัตรประจำตัวประชาชนของคุณแต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษให้คนทั้งโลกได้รับรู้รับทราบว่าคุณคือใคร มาจากไหน อายุเท่าไหร่ และลึกไปกว่านั้นที่ไม่มีใครเห็นได้ด้วยตาเปล่าในบาร์โค้ด มันคือรายละเอียด (ยิบ!) ว่าคุณเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านช่องอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ผมสีอะไร หงอกกี่เส้น ทำสีผมมาแล้วกี่ครั้ง สักคิ้วมากี่มิติ ฯลฯ รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก ก่อนที่คุณจะขึ้นเครื่องบิน ทางสายการบินจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าคุณคือคนในหนังสือเดินทางนั้นจริง ขึ้นไฟลท์นัมเบอร์นี้ของวันนี้จริง มีวีซ๋าเบอร์นี้สอดคล้องกับหนังสือเดินทางเล่มนี้จริง เป็นต้น
เมื่อ 3 - 4 ปีก่อนมีกรณีที่เกิดขึ้นจริงกับบริษัทของเพื่อนฉันเอง ซึ่งให้บริการคุณผู้หญิงสองคนไปเข้าคอร์สทำศัลยกรรมทำหน้าที่เกาหลีแบบยกเซ็ท ("ยกเซ็ท" ขอย้ำ) ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนถึงวันกลับ เก็บกระเป๋าครบถ้วน ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่สนามบินอินชอน เช็คอินที่เคาท์เตอร์สายการบินเรียบร้อย สายการบินแปะสติ๊กเกอร์บนกระเป๋าเดินทาง ส่งต่อเข้าสายพานลำเลียงเพื่อนำการโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องบินต่อไป ลูกทัวร์สองนางนี้ก็เดินเฉิดฉายด้วยใบหน้าใหม่ที่สวยงามถึงจุดตรวจคนเข้าเมืองขาออก (ตม.) เจ้าหน้าที่แดนกิมจิรับหนังสือเดินทางจากมือของสาวนางแรก พลิกไปพลิกมา พลิกดูแล้วก็เงยหน้ามองเจ้าของหนังสือเดินทางเล่มนั้น พลิกแล้วพลิกอีก ดูแล้วดูอีก จากนั้นเริ่มยกหูโทรศัพท์หาใครบางคน ซึ่งคงไม่ใช่การโทรสั่งพิซซ๋าหรือจาจางเหมี่ยนเดลิเวอรี่อย่างแน่นอน จากนั้นผู้ชายวัยกลางคนในชุดเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาปรากฎร่างยืนทะถึงใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มตามต่อหน้าสาวนางนั้น ทางหัวหน้าทัวร์ซึ่งยืนเป็นคิวถัดไปเห็นท่าว่าคงจะไม่ดีซะแล้ว จึงเข้าไปช่วยเจรจาส่งภาษาอังกฤษที่ฝั่งนั้นก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรือภาษากิมจิที่ฝั่งนั้นส่งมาก็ไม่ค่อยจะเข้าถึงก้านสมองการแปลภาษาของฝั่งนี้ คุยกันไปคุยกันมาจนเมื่อยเหงือกลุกลามเข้าไปถึงกรามชั้นในซี่ที่ 436 สรุปใจความได้ว่า เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ลูกค้าคนนั้นประทับตราออกนอกประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่า ใบหน้าในหนังสือเดินทางกับใบหน้าจริงไม่ตรงกัน คือไม่เหมือนกันเลย! โอ....... เคยได้ยินแต่ที่เค้าเล่าต่อกันมา แต่นี่คือเรื่องจริงผ่านจอที่กำลังเกิดขึ้นอยุ่ตรงหน้า! ทีนี่ก็ฮากันเจ็บลิ้นปี่หล่ะ ทางหัวหน้าทัวร์ต้องงัดเอกสารทุกสิ่งอย่างที่มีในชีวิตให้เจ้าหน้าที่ดูและอธิบายให้เข้าใจว่า ลูกค้าคนนี้มากับกรุ๊ปนี้ มาทำศัลยกรรมทั้งหน้า ทำให้หน้าเปลี่ยนไป มีใบเสร็จจากโรงพยาบาล โรงแรมที่พักช่วงมาทำและรักษาตัว มีไฟลท์มาไฟลท์กลับดังนี้ ฯลฯ จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ยอมเข้าใจ ไม่ต้องเข้าห้องเย็น (*ห้องเย็น* ส่วนตัวฉันใช้คำนี้เรียกห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ตม.) ตัวอย่างนี้เป็นเคสแรก ๆ ที่กระแสศัลยกรรมเกาหลีพลิกชีวิตมามีผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าคลื่นยักษ์กระทบฝั่งศรีลังกา เล่นเอาสับสนอลหม่านกันไปทั้งโอปป้าและพี่ไทย
อีกเคสนึงที่ชวนให้อะเลออลังวังก้ามากขึ้นไปอีกเกี่ยวกับพาสปอร์ต VS แก๊งค์เจ้าหน้าที่ตม. คือเคสของคุณผู้หญิงข้ามเพศ ประมาณ 8 - 9 ปีก่อนหน้านี้ถือว่ามีความเข้มงวดมาก (*ขอย้ำว่าก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ปัจจุบันนี้*) ตม.บางประเทศจะไม่อนุญาตให้ชายแต่งหญิงหรือหญิงแต่งชายเข้าประเทศเลย ถ้าในหนังสือเดินทางขึ้นต้นด้วยคำว่า Mister (นาย) จะมาใส่กระโปรง เสื้อลูกไม้ ไม่ได้เด็ดขาด หรือถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า Miss / Mrs. (นางสาวหรือนาง) ก็เช่นกัน จะมีหนวดมีเคราไม่ได้ ... เอาหล่ะซิ อย่างที่เราทุกคนรู้กันว่าหัวหน้าทัวร์ส่วนใหญ่ที่เป็นคุณผู้หญิงข้ามเพศนั้นมีเยอะทีเดียว ความยากลำบากในการผ่านด่านตม.นี่หล่ะ เป็นตัววัดฝีมือหัวหน้าทัวร์ข้ามเพศขั้นเทพตัวจริง! ซึ่งในสมัยนั้นจะไม่แปลกใจเลยถ้าคุณลูกทัวร์จะเห็นหัวหน้าทัวร์ผู้งดงามเปรียบประดุจเจ้าหญิงหงส์หยกจากดาวอันโดรเมดร้าจะแปลงร่างเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนคไทขณะเดินทางจุดตรวจคนเข้าเมือง และแน่นอน เจ้าหญิงหงส์หยกคนเดิมจะแปลงร่างกลับมาเจอกับลูกทัวร์อีกครั้งที่จุดรับสายพานกระเป๋า... จ้ะ .. เจ้าหญิงกลับมาแล้ว... ปรบมือ รัวๆๆๆๆๆ
โหหหววววว ... รายละเอียดในหนังสือเดินทางนั้นสำคัญจริง ๆ !
มาถึงจุดจุดนี้แล้วหลายคนอาจจะเริ่มเป็นกังวลว่า แล้วเลนส์บิ๊กอายหล่ะคะ โอเคมั้ย หนูจะต้องถอดออกก่อนเข้าจุดตรวจหรือเปล่า ขนตาปลอมอีก 4 แผงที่แปะไว้ ผมหนูอีกหล่ะ เนี้ยะ เพิ่งทำสีชมพูหกใส่มาตรงผมม้า ปลายผมหนูทำสีแดงหกใส่ ฯลฯ คือ...อยากจะสะกิดไหล่บอกน้องเบา ๆ ว่า ไม่ต้องกังวลค่ะ ตราบใดที่โครงร่างและโครงหน้าของคุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนอย่างเจ๊สองคนนั้นที่เกาหลี ก็เชิด ๆ เริ่ด ๆ สะบัดบ็อบยื่นหนังสือเดินทางให้เค้าตรวจได้เลย.. อ่ะเค๊!
(ครั้งหน้า จะมาแบ่งปันประสบการณ์เอ๋อเหวอแอนด์สาระติดปลายนวมนิด ๆ หน่อย ๆ จากสนามบินที่นี่ ที่นั่น และที่โน่น ให้ได้อ่านกันเพลิน ๆ นะค๊ะ ^^)
หนังสือ..เดินทาง : ใครคือใคร ไอเดนทิตี้
ก่อนที่เราจะเริ่มต้นเดินทางไปที่ไหน แน่นอนว่าเราต้องมีหนังสือเดินทาง (passport)
หนังสือเดินทางคือการแสดงตัวตนของคุณ หรือเปรียบง่าย ๆ คือเป็นบัตรประจำตัวประชาชนของคุณแต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษให้คนทั้งโลกได้รับรู้รับทราบว่าคุณคือใคร มาจากไหน อายุเท่าไหร่ และลึกไปกว่านั้นที่ไม่มีใครเห็นได้ด้วยตาเปล่าในบาร์โค้ด มันคือรายละเอียด (ยิบ!) ว่าคุณเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านช่องอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ผมสีอะไร หงอกกี่เส้น ทำสีผมมาแล้วกี่ครั้ง สักคิ้วมากี่มิติ ฯลฯ รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญมาก ก่อนที่คุณจะขึ้นเครื่องบิน ทางสายการบินจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าคุณคือคนในหนังสือเดินทางนั้นจริง ขึ้นไฟลท์นัมเบอร์นี้ของวันนี้จริง มีวีซ๋าเบอร์นี้สอดคล้องกับหนังสือเดินทางเล่มนี้จริง เป็นต้น
เมื่อ 3 - 4 ปีก่อนมีกรณีที่เกิดขึ้นจริงกับบริษัทของเพื่อนฉันเอง ซึ่งให้บริการคุณผู้หญิงสองคนไปเข้าคอร์สทำศัลยกรรมทำหน้าที่เกาหลีแบบยกเซ็ท ("ยกเซ็ท" ขอย้ำ) ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนถึงวันกลับ เก็บกระเป๋าครบถ้วน ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่สนามบินอินชอน เช็คอินที่เคาท์เตอร์สายการบินเรียบร้อย สายการบินแปะสติ๊กเกอร์บนกระเป๋าเดินทาง ส่งต่อเข้าสายพานลำเลียงเพื่อนำการโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องบินต่อไป ลูกทัวร์สองนางนี้ก็เดินเฉิดฉายด้วยใบหน้าใหม่ที่สวยงามถึงจุดตรวจคนเข้าเมืองขาออก (ตม.) เจ้าหน้าที่แดนกิมจิรับหนังสือเดินทางจากมือของสาวนางแรก พลิกไปพลิกมา พลิกดูแล้วก็เงยหน้ามองเจ้าของหนังสือเดินทางเล่มนั้น พลิกแล้วพลิกอีก ดูแล้วดูอีก จากนั้นเริ่มยกหูโทรศัพท์หาใครบางคน ซึ่งคงไม่ใช่การโทรสั่งพิซซ๋าหรือจาจางเหมี่ยนเดลิเวอรี่อย่างแน่นอน จากนั้นผู้ชายวัยกลางคนในชุดเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาปรากฎร่างยืนทะถึงใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มตามต่อหน้าสาวนางนั้น ทางหัวหน้าทัวร์ซึ่งยืนเป็นคิวถัดไปเห็นท่าว่าคงจะไม่ดีซะแล้ว จึงเข้าไปช่วยเจรจาส่งภาษาอังกฤษที่ฝั่งนั้นก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรือภาษากิมจิที่ฝั่งนั้นส่งมาก็ไม่ค่อยจะเข้าถึงก้านสมองการแปลภาษาของฝั่งนี้ คุยกันไปคุยกันมาจนเมื่อยเหงือกลุกลามเข้าไปถึงกรามชั้นในซี่ที่ 436 สรุปใจความได้ว่า เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ลูกค้าคนนั้นประทับตราออกนอกประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่า ใบหน้าในหนังสือเดินทางกับใบหน้าจริงไม่ตรงกัน คือไม่เหมือนกันเลย! โอ....... เคยได้ยินแต่ที่เค้าเล่าต่อกันมา แต่นี่คือเรื่องจริงผ่านจอที่กำลังเกิดขึ้นอยุ่ตรงหน้า! ทีนี่ก็ฮากันเจ็บลิ้นปี่หล่ะ ทางหัวหน้าทัวร์ต้องงัดเอกสารทุกสิ่งอย่างที่มีในชีวิตให้เจ้าหน้าที่ดูและอธิบายให้เข้าใจว่า ลูกค้าคนนี้มากับกรุ๊ปนี้ มาทำศัลยกรรมทั้งหน้า ทำให้หน้าเปลี่ยนไป มีใบเสร็จจากโรงพยาบาล โรงแรมที่พักช่วงมาทำและรักษาตัว มีไฟลท์มาไฟลท์กลับดังนี้ ฯลฯ จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ยอมเข้าใจ ไม่ต้องเข้าห้องเย็น (*ห้องเย็น* ส่วนตัวฉันใช้คำนี้เรียกห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ตม.) ตัวอย่างนี้เป็นเคสแรก ๆ ที่กระแสศัลยกรรมเกาหลีพลิกชีวิตมามีผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าคลื่นยักษ์กระทบฝั่งศรีลังกา เล่นเอาสับสนอลหม่านกันไปทั้งโอปป้าและพี่ไทย
อีกเคสนึงที่ชวนให้อะเลออลังวังก้ามากขึ้นไปอีกเกี่ยวกับพาสปอร์ต VS แก๊งค์เจ้าหน้าที่ตม. คือเคสของคุณผู้หญิงข้ามเพศ ประมาณ 8 - 9 ปีก่อนหน้านี้ถือว่ามีความเข้มงวดมาก (*ขอย้ำว่าก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ปัจจุบันนี้*) ตม.บางประเทศจะไม่อนุญาตให้ชายแต่งหญิงหรือหญิงแต่งชายเข้าประเทศเลย ถ้าในหนังสือเดินทางขึ้นต้นด้วยคำว่า Mister (นาย) จะมาใส่กระโปรง เสื้อลูกไม้ ไม่ได้เด็ดขาด หรือถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า Miss / Mrs. (นางสาวหรือนาง) ก็เช่นกัน จะมีหนวดมีเคราไม่ได้ ... เอาหล่ะซิ อย่างที่เราทุกคนรู้กันว่าหัวหน้าทัวร์ส่วนใหญ่ที่เป็นคุณผู้หญิงข้ามเพศนั้นมีเยอะทีเดียว ความยากลำบากในการผ่านด่านตม.นี่หล่ะ เป็นตัววัดฝีมือหัวหน้าทัวร์ข้ามเพศขั้นเทพตัวจริง! ซึ่งในสมัยนั้นจะไม่แปลกใจเลยถ้าคุณลูกทัวร์จะเห็นหัวหน้าทัวร์ผู้งดงามเปรียบประดุจเจ้าหญิงหงส์หยกจากดาวอันโดรเมดร้าจะแปลงร่างเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนคไทขณะเดินทางจุดตรวจคนเข้าเมือง และแน่นอน เจ้าหญิงหงส์หยกคนเดิมจะแปลงร่างกลับมาเจอกับลูกทัวร์อีกครั้งที่จุดรับสายพานกระเป๋า... จ้ะ .. เจ้าหญิงกลับมาแล้ว... ปรบมือ รัวๆๆๆๆๆ
โหหหววววว ... รายละเอียดในหนังสือเดินทางนั้นสำคัญจริง ๆ !
มาถึงจุดจุดนี้แล้วหลายคนอาจจะเริ่มเป็นกังวลว่า แล้วเลนส์บิ๊กอายหล่ะคะ โอเคมั้ย หนูจะต้องถอดออกก่อนเข้าจุดตรวจหรือเปล่า ขนตาปลอมอีก 4 แผงที่แปะไว้ ผมหนูอีกหล่ะ เนี้ยะ เพิ่งทำสีชมพูหกใส่มาตรงผมม้า ปลายผมหนูทำสีแดงหกใส่ ฯลฯ คือ...อยากจะสะกิดไหล่บอกน้องเบา ๆ ว่า ไม่ต้องกังวลค่ะ ตราบใดที่โครงร่างและโครงหน้าของคุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนอย่างเจ๊สองคนนั้นที่เกาหลี ก็เชิด ๆ เริ่ด ๆ สะบัดบ็อบยื่นหนังสือเดินทางให้เค้าตรวจได้เลย.. อ่ะเค๊!
(ครั้งหน้า จะมาแบ่งปันประสบการณ์เอ๋อเหวอแอนด์สาระติดปลายนวมนิด ๆ หน่อย ๆ จากสนามบินที่นี่ ที่นั่น และที่โน่น ให้ได้อ่านกันเพลิน ๆ นะค๊ะ ^^)