ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม............มีแต่เสียง 2/5/2016

กระทู้คำถาม


  ***สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องราชดำเนินทุกคน***
กระทู้นี้ เป็นมุมพักผ่อน มุมนี้ไม่มีสี  ไม่มีกลุ่ม.........แต่มีเสียง...................


ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น


วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2062 หรือเมื่อ 497 ปีก่อน เป็นวันที่โลกสูญเสียยอดอัจฉริยบุคคลชื่อก้องโลกท่านหนึ่งไป
คือ เลโอนาร์โด ดา วินชี หลายคนต้องรู้จักแน่ๆ ค่ะ

เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นชาวอิตาลี (เกิดเมื่อ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - เสียชีวิตในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519)
เขาเป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์
วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ ไม่แค่นี้ ผลงานแต่ละชิ้นยังเป็นตำนานระดับโลกด้วยค่ะ


ภาพวาดตนเองเขียนขึ้นราว ค.ศ. 1512-1515         ภาพวาดโมนาลิซ่าอันมีชื่อเสียงติดอันดับโลก ใช้เวลาวาดถึง 4 ปี
                          


ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น อาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) และ โมนา ลิซ่า (Mona Lisa)
งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา และอีกแทบทุกแขนง

ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง ดา วินชีทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟู
ศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น

ดา วินชี เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกโดยที่เขาไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยหรือสมบูรณ์แบบ
แต่ที่สำคัญคือแนวคิดของเขาต่างหาก เช่น

“เหล็กจะขึ้นสนิม หากไม่ถูกใช้”  “น้ำจะเน่าเสียเมื่อไม่มีการหมุนเวียน” “ความเย็นที่ไม่เคลื่อนตัว จะกลายเป็นน้ำแข็ง”
เปรียบได้กับ “สมองของมนุษย์ หากไม่ถูกใช้ ไม่รู้จักขบคิด จะทำให้สมองทื่อ และหมดประโยชน์ไปในที่สุด”

วันนี้รู้จักแนวคิดดา วินชีก่อน เดี๋ยววันหลังมีโอกาสจะไปแอบดูสมุดจดและผลงานของดา วินชี กันค่ะ

เรามาดูแนวคิดของดา วินชี กันว่าเขามีเคล็ดลับอย่างไร จากหนังสือ How to Think Like Leonardo Da  Vinci
ประพันธ์โดย Michael Gelb ได้เสนอหลัก 7 ประการในการนำไปสู่ความเป็นปราชญ์ ดังนี้

1) มีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไขว่คว้าหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อน
ต้องช่างสังเกตและจะต้องมีการจดบันทึกไว้เสมอ

2) ทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับเข้ามาว่าเป็นจริงและน่าเชื่อถือหรือไม่
ต้องเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และไม่เคยเชื่อสิ่งใดๆ ที่ผ่านเข้ามาโดยที่เขาไม่ได้ประสบเอง

3) ฝึกขัดเกลาประสาทสัมผัส ทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้มีความฉับไว

มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะ
* มองแต่ไม่เห็น ( Look without seeing )
* ฟังแต่ไม่ได้ยิน ( Listen without hearing )
* สัมผัสแต่ไม่รู้สึก ( Touch without feeling )
* ทานแต่ไม่รู้รส ( Eat without tasting )
* เคลื่อนไหวโดยไม่มีสัมปชัญญะ ( Move without physical awareness )
* สูดหายใจแต่ไม่รับรู้กลิ่น (Inhale without awareness of odor or fragrance)
* พูดโดยไม่คิด ( Talk without thinking )

4) คนที่จะฉลาดได้ ต้องมีแนวคิดดังต่อไปนี้

1. ยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จีรังยั่งยืนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ให้คิดเสียว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ให้ทำใจเตรียมพร้อมรับอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ประมาท

2. ให้มองจุดเปลี่ยนของอารมณ์ โดยปกติคนเรามักจะรับรู้ไม่ทันกับจุดที่มีการเปลี่ยนอารมณ์ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต จึงเจ็บปวดและรับไม่ได้ และโทษว่าผู้อื่น เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีเพียง 3 ประการ หลัก ๆ คือ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน บุคคลที่เปลี่ยน หรือใจเราเองที่เปลี่ยน ซึ่งเราต้องมองให้ออก และเห็นจุดเปลี่ยนให้ได้ จึงจะไม่มีคำว่า ทำใจไม่ได้ในชีวิต

3. เมื่อเกิดปัญหา ให้แก้ไขทีละเปาะ และต้องกล้ามองไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในปัญหานี้แล้วลองมองย้อนขึ้นมา เพื่อหาทางแก้ไข หากถึงทางตันแก้ไขไม่ได้ จิตจะรับรู้เอง และถ้าเหตุการณ์นั้นต้องเกิดขึ้นจริงๆ จิตจะไม่กระเพื่อมและยอมรับได้ นอกจากนี้ การคิดในลักษณะเช่นนี้จะทำให้จิตใจเข้มแข็ง และทำให้เกิดปัญญาเห็นหนทางใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาอีกด้วย

4. เมื่อเกิดปัญหา ห้ามกลบเกลื่อนและหนีปัญหาโดยเด็ดขาด ต้องกล้าน้อมรับ ค่อยๆ คิด หาทางแก้ หากเกินกำลังให้เข้าหาผู้รู้เพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป การฝึกแก้ปัญหาในแต่ละครั้งจะทำให้เราเกิดทักษะและสามารถเพิ่มขอบเขตความรู้ของตนเองให้มากขึ้นได้อีกด้วยและที่สำคัญที่สุดของประเด็นนี้ คือต้องรู้จักเลือกกรณีว่า สิ่งใดเป็นปัญหาจริงๆ อย่าคิดฟุ้งซ่าน สิ่งใดที่ไม่เป็นปัญหาก็ไม่ต้องทำให้มันเป็นปัญหา ต้องพิจารณาให้ถูกต้อง

5) สร้างสมดุลในการมองโลกทั้งในด้านศาสตร์และศิลป์
นอกจากเราจะศึกษาหาความรู้ทางด้านวิชาการต่างๆ ซึ่งถูกควบคุมโดยสมองด้านซ้ายแล้วนั้น ควรให้ความสนใจทางด้านสุนทรียศาสตร์ด้วย เช่น ทางดนตรีและศิลปะ เพราะเป็นการพัฒนาสมองข้างขวา นอกจากนี้ เราควรหัดสร้างมโนภาพกับปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ และลองใส่วิธีแก้โดยนึกเป็นภาพลงไปในนั้นว่าเป็นอย่างไร จะเป็นการหัดมองปัญหานอกกรอบ ซึ่งอาจทำให้ค้นพบความคิดใหม่ๆ ได้

6) ดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ในสรีระร่างกายของมนุษย์ สามารถส่งเสริมความฉลาดได้ ดังนี้

– ความสามารถที่จะใช้ได้ทั้งมือขวาและมือซ้าย เพราะจะทำให้สมองเจริญเติบโตได้ทั้งสองข้าง ซึ่งจะส่งเสริมความสามารถของเราทั้งในด้านศาสตร์และศิลป์

– อากัปกิริยาทั้งหลายต้องสมบูรณ์และสง่างาม อธิบายได้โดยทฤษฎีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต คือ หากจิตใจเรากำลังห่อเหี่ยว แล้วเรายังทำร่างกายให้ห่อเหี่ยวตาม จะยิ่งทำให้จิตหดหู่มากขึ้น ไม่เกิดปัญญาในการแก้ไข ดังนั้น ต้องทำร่างกายให้สดชื่น ทั้งการ ยืน เดิน นั่ง การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องประคับประคองจิต ให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

7) ต้องหัดสังเกตสหสัมพันธ์ต่างๆของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราและกับชีวิตของเรา
ต้องสังเกตให้เห็นถึงสิ่งที่เชื่อมระหว่างเหตุการณ์เหล่านั้นให้ได้ มองให้เห็นถึงปัจจัยต่าง ๆ ให้ชัดเจน เมื่อเกิดปัญหาจะไม่มีการปริวิตก และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้น เมื่อมองเห็นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง จะทำให้เรารู้จักการวางตัวและระมัดระวังกิริยาอาการของตนเองได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


.............................................................


จากแรงบันดาลใจของยอดอัจฉริยะผู้นี้ที่ว่า...

"ความอดทนและอดกลั้นต่ออุปสรรคและการดูถูกเหยียดหยาม เป็นเสมือนเสื้อกันความหนาวให้กับเรา
อากาศยึ่งเย็นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อปกป้องตัวเองมากยึ่งขึ้นเท่านั้น..."

ดังนั้นเราจึงอย่าได้กลัวกับการดูถูกเหยียดหยาม จงมองในแง่ดีว่านี่คือโอกาสที่เราจะได้ตระเตรียมเสื้อกันหนาว
และความหนาวนั้นจะไม่สามารถทำร้ายเราได้เลย


สักวันต้องได้ดี เต๋อ เรวัฒน์ MV

คนบางคนบางครั้ง ต้องทุกข์ต้องทนก็มี แต่คนดีๆไม่มีวันแพ้ภัย
กาลเวลาเท่านั้น ที่ช่วยให้เราเข้าใจ ลงเอยยังไงก็คงจะ รู้เอง

https://www.youtube.com/watch?v=1bSYK8H_Z2E
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่