ฉันเป็นคนร่าเริง บ้าบอ อยู่ไปวันๆ
... ใช่...อยู่ไปวันๆจริงๆด้วย
แม้ฉันไม่ได้มาจากครอบครัวระดับมหาเศรษฐีอมตะนิรันดร์กาล
แต่ตั้งแต่ฉันเกิดมา ฉันก็มีชีวิตสะดวกสบาย มีคนรับใช้ล้อมรอบ มีคนขับรถ ได้รับการศึกษาที่พ่อแม่ได้เสาะแสวงหาและคัดสรรมาเป็นอย่างดี
โตขึ้นก็มีรถยนต์อย่างดีขับไปเรียนหนังสือ มีของแบรนด์เนมใช้สอยทิ้งๆขว้างๆ
ระหว่างเรียนไม่เคยต้องทำงานพิเศษเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนให้เหนื่อยยาก พอเรียนจบก็ไม่ต้องทำงานส่งใครเรียนต่อด้วย
รวมทั้ง ไม่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่ญาติโยมฝั่งโน้นฝั่งนี้ด้วย
หลังจากเรียนจบแล้ว ก็ทำงาน แต่งงานมานานแต่ไม่มีบุตร สามีก็มีนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ก็ยังเกรงใจฉันอยู่บ้าง
ค่าใช้จ่ายสำหรับเฉพาะตัวคนเดียว รายได้มาจากตัวเอง สามี และคุณแม่ด้วย ไม่ต้องทำเงินเก็บทองเผื่อให้ใครๆ
ไม่เคยวอรี่ว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เหมาๆเอาเองว่าอันตัวเรานี้ เคยทำบุญทำทานมาตั้งมากมายในชีวิต
พอแก่ตัว แล้วตายจากโลกนี้ไป
อย่างน้อยๆระดับเรา ต้องได้เป็นเทวดาชั้นดี
จบ---
ง่ายๆคิดเข้าข้างตนเองนี่ล่ะ ไม่ชอบคิดมาก สบายใจดี ฉี่ไม่เหลืองข้น คนสุขภาพดีอย่างเรา
จุดเปลี่ยนในชีวิตของฉันเริ่มมีเค้าลางเมื่อกลางปี 2558 ด้วยฉันมีเพื่อนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตสี่ห้าคน เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ฉันเองได้สกรีนมาแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พวกลัทธิประหลาดๆ
เมื่อสังเกตดูให้ดีๆ เพื่อนใหม่ๆเหล่านี้...แต่ละคนก็มีทางไปแต่ละแนว แต่สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ ดังนี้
1. สายฤทธิ์
2. สายเทพ
3. สายธรรม
สายฤทธิ์และสายเทพดูน่าจะดึงดูดความสนใจอยู่ในหมู่ปุถุชน เพราะคนเรามักอยากเห็นอะไรต้องเห็นจะจะ
ฉันก็สนใจนะของพวกนี้
แต่ส่วนลึกๆในใจ ก็แอบกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น

---วันที่เจอดี---
คนรุ่นใหม่อย่างฉัน ต่อให้เป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องราวลี้ลับ เวทย์มนต์คาถา ก็แค่ Just for Fun ฉันไม่มีทางเชื่อหรอกว่าในยุคนี้จะยังมีคนโดนของ
ซึ่งก็คือฉันเองนั่นล่ะที่โดนของ
เอาเป็นว่าที่มาของของเข้าตัวว่ามาจากใคร? มาได้งัย? ฉันทำอะไรผิดจึงโดน ? แล้วทำไมจึงรู้ว่าโดนของ?
คำตอบคือ-- ไม่ทราบ
แต่ที่แน่ๆศีลห้าของฉันไม่ครบทุกข้อ เมื่อฉันโดน ของมันก็เข้าตัว
แล้วฉันจะไปโกรธโทษใครเล่า ของมันก็ลอยไปมาๆอยู่แล้ว
หากว่าศีลห้าของฉันครบ ฉันจะไม่เป็นไรเลย.. แต่ทว่า...
เจ้าแผลพุพองหนองเย้มสีเหมือนยางไม้ที่กำลังจะกลายเป็นอำพัน มันปรากฏเด่นชัดอยู่ข้างๆตาตุ่มเท้าขวา ฉันเป็นแผลสดเยิ้มๆคันๆนานสองสัปดาห์
จนต้องไปทำแผลให้น้ำเกลือใส่ยาตรง ที่โรงพยาบาล ไปทุกวัน ทำแผลทั้งสัปดาห์ แผลก็ยังไม่หาย.. จนใครๆที่ทำงานต่างก็ทักว่า
แผลพี่มันเยิ้มแปลกๆ ว่ามั้ย
ใจก็เริ่มเสีย
ฉันนึกยังไงไม่ทราบ วันนึงได้โพสต์รูปแผลนั้นลงใน เฟสบุ๊ค ทันใดนั้นเอง มี pm จากเพื่อนๆเข้ามาเสนอแนวทางช่วยเหลือ หนึ่งเพื่อนที่แสนดีที่สุดในนั้นเอ่ยคำพูดบางอย่าง ทำให้ฉันสนใจที่จะไปสอบถามเขาเพิ่มเติมที่หลังไมค์ต่อ...
ตัวเขารู้ว่าแผลนั้นเกิดจากอะไร
แต่เขาช่วยไม่ได้...
ได้แค่แนะนำให้ไปกราบครูบาท่านนึง ทางภาคเหนือ เขาบอกว่าไปกราบท่านซะ และขอให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ละกัน
วิทยาศาสตร์ การแพทย์สมัยใหม่ไม่ช่วยให้แผลหน้าตาธรรมดาๆอย่างนั้นหายไป
คงต้องลองดูว่า การเยียวยารักษาโดยใช้ "ศรัทธา" นั้นไซร้ ผลจะเป็นอย่างไร
ฉันจึงจุดธูปห้าดอกตามคำแนะนำ ปักธูปหน้าบ้าน อธิษฐานจิตขอไปกราบครูบาวันที่......
อธิษฐานจิตแบบนี้เพราะว่าครูบาท่านไม่มีโทรศัพท์ ท่านอายุจะร้อยปีแล้ว แถมไม่ใช้มือถือด้วย
ปักธูปหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย เดินกลับห้อง
เปิดคอมฯ จองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปกับสามี ด้วยใจล่องลอย
ในชีวิตของฉัน ไม่เคย make appointment กับใครวิธีนี้มาก่อน
พลางคิดไปด้วยว่า ไปแล้วจะเสียค่าตั๋วเปล่าๆมั้ย กราบท่านแล้วจะเป็นไง?
หลายคำถามประดังประเด เรียงแถวเป็นแนวทหาร ผุดเข้ามาในความคิดของปุถุชนคนอย่างเรา
แต่ทว่า... ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับคำถามเหล่านั้น
แล้วในที่สุดฉันก็เดินทางไปกราบครูบาท่าน ไปด้วยความศรัทธา ระคนกับความสงสัยใคร่รู้. มันปนกันอย่างแนบนัวจริงๆ
---วันที่ได้รับความเมตตาปรานี---
ครูบาเป็นพระสงฆ์ร่างเล็ก ผ่ายผอม ไม่ช่างพูด ออกแนวสงบเงียบ ท่านอยู่แบบสมถะ กุฏิ ศาลารับแขกก็แสนจะเรียบง่าย
ฉันกราบท่าน เพื่อนชาวแพร่ที่อุตส่าห์เดินทางมาจากเชียงรายไปสมทบกับฉันที่วัดครูบา ได้กราบเรียนท่านเป็นภาษาเหนือว่า
ฉันกำลังกลัวว่าฉันโดนผีเล่นงานเอา ขอท่านสงเคราะห์ด้วย
ครูบาเรียกฉันให้ไปใกล้ๆ กราบพระพุทธรูป แล้วก็พรมน้ำมนต์ให้ฉันด้วยดอกกล้วยไม้ที่ท่านหยิบจากแจกันพระใกล้ๆท่าน
จากนั้นก็สอนธรรมะให้ฉันฟังด้วยภาษากลาง ฟังเข้าใจง่าย
เพื่อนบอกฉันภายหลังว่าสายตาเปี่ยมด้วยเมตตาของครูบามองลงมาที่ฉันตลอด แต่ตอนนั้นฉันเอาแต่ร้องไห้ ม่านน้ำตาตนเองคงจะบดบังการเห็นทุกอย่างหมด..แม้ดวงตามองอะไรไม่เห็น หากแต่ความอบอุ่นทางจิตที่ได้รับจากท่าน มันช่างตื้นตันราวกับลูกแมวจรได้เจอเจ้าของบ้านที่แสนอบอุ่น และใจดี
เอาเข้าจริงๆแล้ว ในวันนั้น ฉันร้องไห้เพราะอะไรไม่ทราบ.....
จากนั้น..ครูบาท่านขอให้ฉัน
"รักษาศีลห้าให้ครบ (ช่วงนั้นฉันมีมโนกรรม)
และสวดมนต์ทุกวัน"
ไม่มีการเรียกร้องขอเงินค่ารักษาจากท่าน
เมื่อเสร็จธุระ ฉันกราบลาท่าน แยกย้ายกับเพื่อนที่แสนดีมีเมตตา
พอกลับถึงที่พัก
ฉันล้างเท้าเบาๆกลัวโดนแผล
ถ้าโดนน้ำมันจะแสบ น้ำเหลืองซึมผ้าปิดแผลเป็นระยะๆ
วันนึงๆ ต้องเปลี่ยนผ้าปิดแผลมากกว่าหนึ่งครั้ง ถ้าวันไหนไม่มีเวลาเปลี่ยน
เวลาเอาออก ก็จะค่อยๆลอกผ้าออกมาตามวิธีคุณพยาบาลแนะนำ น้ำเหลืองเยิ้มกรังหนาทั้งของเก่าของใหม่ ตอนลอกออกมาแสบแทบเป็นบ้า
เมื่อตอนเช้าก่อนเดินทางจากที่พักไปกราบครูบา ฉันยังต้องทำแผล แสบเชียว
ทำไมตอนนี้ไม่รู้สึก
พลิกตาตุ่มขวาดูแผล
แผลร่อนแห้งแล้ว
แปลก
เอาล่ะ...
ต่อไปนี้ฉันจะสวดมนต์
ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น
เพื่อคุ้มครองตนเองจากภัยเวทย์มนต์มืด และคาถา
----ปฐมบทของการสวดมนต์---
เพื่อนสายเทพของฉันคนนึงเคยทำนายว่าฉันจะเข้าสู่วงการ (ธรรมะ) อย่างจริงจังในอีกสามปีข้างหน้า ยังไม่ใช่เวลานี้
มันเลยทำให้ฉันประมาทเข้าไปอีก
คิดไปเองว่าเวลาเป็นของหาง่าย คำทำนายเช่นนี้ นัยนึงแปลว่าฉันยังเหลือเวลาเริงร่าแบบโลกๆได้อีกนานอักโข
ฉันยังไม่ตายง่ายๆหรอก
ชีวิตนี้ชิวๆ
แต่ใครจะการันตีล่ะ ขนาดโดนของ ก็ไม่เห็นมีใครมาทำนาย
ต้องช่วยตัวเอง
ต้องดั้นด้นไปหาครูบา
จุดธูปเอง จ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พักเอง
เพื่อนคือผู้บอกทางเท่านั้น
ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำตามหรือไม่
ถ้าเราไม่ไป .....เขาก็ได้ทำหน้าที่เขาแล้ว
ถ้าเราไป .....เขาก็ได้ทำหน้าที่เขาแล้ว. เช่นกัน
ตัวเราคือผู้ที่จะกำหนด ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ
คิดคือคิด
ได้คิดไม่ได้แปลว่าได้ทำ
แค่คิดว่าจะสวดมนต์
ไม่ได้แปลว่าฉันสวดมนต์เป็นประจำทุกวัน
สิ่งที่ฉันกระทำหลังจากกราบครูบา
ก็เปรียบเหมือน ฉันรับถังน้ำสะอาดมาจากครูบาท่าน
เพียงแค่หันหลังออกจากวัด
ฉันก็จัดการคว่ำถังน้ำ
ทิ้งทั้งถัง ทิ้งทั้งน้ำ
ให้ไหลเจิ่งนองหน้าวัดเสียแล้ว
อนิจจา
เพื่อนผู้อารีตำหนิว่าฉันขี้เกียจสวดมนต์
ฉันอ้างว่ายังสวดอยู่นะ
แค่บางวันเท่านั้นที่เหนื่อยมาก หลับไปเลย
จริงๆแล้วเพราะเมื่อย เหน็บชากินตะหาก
ใครจะไปสวดมนต์ยาวๆกัน
จริงๆก็ขี้เกียจด้วย...
พอดีช่วงนั้น
เพื่อนผู้อารีกำลังทำโครงการถวายเก้าอี้สวดมนต์ 9 วัด 108 ชุด ฉันจึงส่งปัจจัยร่วมด้วย
ตัวเองไม่ยอมสวดมนต์ แต่ขอร่วมถวายเก้าอี้สวดมนต์ด้วยคนนะคะ
ทำบุญสไตล์ฉัน ขอร่วมด้วยช่วยกันก็ยังดี
สาธุ++
เพื่อนรุ่นพี่ท่านนี้เหน็บว่า
ถ้ามันจ้างคนสวดมนต์แทนตัวเองได้ คงจะจ้างไปนานแล้ว
เขารู้ทันอีกแหนะ
☺️🎀🎀🔮🔮
สวดมนต์ ---เก้าอี้สวดมนต์.จุดเปลี่ยนแปลงของคนที่เปลี่ยนไป
... ใช่...อยู่ไปวันๆจริงๆด้วย
แม้ฉันไม่ได้มาจากครอบครัวระดับมหาเศรษฐีอมตะนิรันดร์กาล
แต่ตั้งแต่ฉันเกิดมา ฉันก็มีชีวิตสะดวกสบาย มีคนรับใช้ล้อมรอบ มีคนขับรถ ได้รับการศึกษาที่พ่อแม่ได้เสาะแสวงหาและคัดสรรมาเป็นอย่างดี
โตขึ้นก็มีรถยนต์อย่างดีขับไปเรียนหนังสือ มีของแบรนด์เนมใช้สอยทิ้งๆขว้างๆ
ระหว่างเรียนไม่เคยต้องทำงานพิเศษเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนให้เหนื่อยยาก พอเรียนจบก็ไม่ต้องทำงานส่งใครเรียนต่อด้วย
รวมทั้ง ไม่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่ญาติโยมฝั่งโน้นฝั่งนี้ด้วย
หลังจากเรียนจบแล้ว ก็ทำงาน แต่งงานมานานแต่ไม่มีบุตร สามีก็มีนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ก็ยังเกรงใจฉันอยู่บ้าง
ค่าใช้จ่ายสำหรับเฉพาะตัวคนเดียว รายได้มาจากตัวเอง สามี และคุณแม่ด้วย ไม่ต้องทำเงินเก็บทองเผื่อให้ใครๆ
ไม่เคยวอรี่ว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เหมาๆเอาเองว่าอันตัวเรานี้ เคยทำบุญทำทานมาตั้งมากมายในชีวิต
พอแก่ตัว แล้วตายจากโลกนี้ไป
อย่างน้อยๆระดับเรา ต้องได้เป็นเทวดาชั้นดี
จบ---
ง่ายๆคิดเข้าข้างตนเองนี่ล่ะ ไม่ชอบคิดมาก สบายใจดี ฉี่ไม่เหลืองข้น คนสุขภาพดีอย่างเรา
จุดเปลี่ยนในชีวิตของฉันเริ่มมีเค้าลางเมื่อกลางปี 2558 ด้วยฉันมีเพื่อนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตสี่ห้าคน เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ฉันเองได้สกรีนมาแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พวกลัทธิประหลาดๆ
เมื่อสังเกตดูให้ดีๆ เพื่อนใหม่ๆเหล่านี้...แต่ละคนก็มีทางไปแต่ละแนว แต่สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ ดังนี้
1. สายฤทธิ์
2. สายเทพ
3. สายธรรม
สายฤทธิ์และสายเทพดูน่าจะดึงดูดความสนใจอยู่ในหมู่ปุถุชน เพราะคนเรามักอยากเห็นอะไรต้องเห็นจะจะ
ฉันก็สนใจนะของพวกนี้
แต่ส่วนลึกๆในใจ ก็แอบกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
---วันที่เจอดี---
คนรุ่นใหม่อย่างฉัน ต่อให้เป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องราวลี้ลับ เวทย์มนต์คาถา ก็แค่ Just for Fun ฉันไม่มีทางเชื่อหรอกว่าในยุคนี้จะยังมีคนโดนของ
ซึ่งก็คือฉันเองนั่นล่ะที่โดนของ
เอาเป็นว่าที่มาของของเข้าตัวว่ามาจากใคร? มาได้งัย? ฉันทำอะไรผิดจึงโดน ? แล้วทำไมจึงรู้ว่าโดนของ?
คำตอบคือ-- ไม่ทราบ
แต่ที่แน่ๆศีลห้าของฉันไม่ครบทุกข้อ เมื่อฉันโดน ของมันก็เข้าตัว
แล้วฉันจะไปโกรธโทษใครเล่า ของมันก็ลอยไปมาๆอยู่แล้ว
หากว่าศีลห้าของฉันครบ ฉันจะไม่เป็นไรเลย.. แต่ทว่า...
เจ้าแผลพุพองหนองเย้มสีเหมือนยางไม้ที่กำลังจะกลายเป็นอำพัน มันปรากฏเด่นชัดอยู่ข้างๆตาตุ่มเท้าขวา ฉันเป็นแผลสดเยิ้มๆคันๆนานสองสัปดาห์
จนต้องไปทำแผลให้น้ำเกลือใส่ยาตรง ที่โรงพยาบาล ไปทุกวัน ทำแผลทั้งสัปดาห์ แผลก็ยังไม่หาย.. จนใครๆที่ทำงานต่างก็ทักว่า
แผลพี่มันเยิ้มแปลกๆ ว่ามั้ย
ใจก็เริ่มเสีย
ฉันนึกยังไงไม่ทราบ วันนึงได้โพสต์รูปแผลนั้นลงใน เฟสบุ๊ค ทันใดนั้นเอง มี pm จากเพื่อนๆเข้ามาเสนอแนวทางช่วยเหลือ หนึ่งเพื่อนที่แสนดีที่สุดในนั้นเอ่ยคำพูดบางอย่าง ทำให้ฉันสนใจที่จะไปสอบถามเขาเพิ่มเติมที่หลังไมค์ต่อ...
ตัวเขารู้ว่าแผลนั้นเกิดจากอะไร
แต่เขาช่วยไม่ได้...
ได้แค่แนะนำให้ไปกราบครูบาท่านนึง ทางภาคเหนือ เขาบอกว่าไปกราบท่านซะ และขอให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ละกัน
วิทยาศาสตร์ การแพทย์สมัยใหม่ไม่ช่วยให้แผลหน้าตาธรรมดาๆอย่างนั้นหายไป
คงต้องลองดูว่า การเยียวยารักษาโดยใช้ "ศรัทธา" นั้นไซร้ ผลจะเป็นอย่างไร
ฉันจึงจุดธูปห้าดอกตามคำแนะนำ ปักธูปหน้าบ้าน อธิษฐานจิตขอไปกราบครูบาวันที่......
อธิษฐานจิตแบบนี้เพราะว่าครูบาท่านไม่มีโทรศัพท์ ท่านอายุจะร้อยปีแล้ว แถมไม่ใช้มือถือด้วย
ปักธูปหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย เดินกลับห้อง
เปิดคอมฯ จองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปกับสามี ด้วยใจล่องลอย
ในชีวิตของฉัน ไม่เคย make appointment กับใครวิธีนี้มาก่อน
พลางคิดไปด้วยว่า ไปแล้วจะเสียค่าตั๋วเปล่าๆมั้ย กราบท่านแล้วจะเป็นไง?
หลายคำถามประดังประเด เรียงแถวเป็นแนวทหาร ผุดเข้ามาในความคิดของปุถุชนคนอย่างเรา
แต่ทว่า... ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับคำถามเหล่านั้น
แล้วในที่สุดฉันก็เดินทางไปกราบครูบาท่าน ไปด้วยความศรัทธา ระคนกับความสงสัยใคร่รู้. มันปนกันอย่างแนบนัวจริงๆ
---วันที่ได้รับความเมตตาปรานี---
ครูบาเป็นพระสงฆ์ร่างเล็ก ผ่ายผอม ไม่ช่างพูด ออกแนวสงบเงียบ ท่านอยู่แบบสมถะ กุฏิ ศาลารับแขกก็แสนจะเรียบง่าย
ฉันกราบท่าน เพื่อนชาวแพร่ที่อุตส่าห์เดินทางมาจากเชียงรายไปสมทบกับฉันที่วัดครูบา ได้กราบเรียนท่านเป็นภาษาเหนือว่า
ฉันกำลังกลัวว่าฉันโดนผีเล่นงานเอา ขอท่านสงเคราะห์ด้วย
ครูบาเรียกฉันให้ไปใกล้ๆ กราบพระพุทธรูป แล้วก็พรมน้ำมนต์ให้ฉันด้วยดอกกล้วยไม้ที่ท่านหยิบจากแจกันพระใกล้ๆท่าน
จากนั้นก็สอนธรรมะให้ฉันฟังด้วยภาษากลาง ฟังเข้าใจง่าย
เพื่อนบอกฉันภายหลังว่าสายตาเปี่ยมด้วยเมตตาของครูบามองลงมาที่ฉันตลอด แต่ตอนนั้นฉันเอาแต่ร้องไห้ ม่านน้ำตาตนเองคงจะบดบังการเห็นทุกอย่างหมด..แม้ดวงตามองอะไรไม่เห็น หากแต่ความอบอุ่นทางจิตที่ได้รับจากท่าน มันช่างตื้นตันราวกับลูกแมวจรได้เจอเจ้าของบ้านที่แสนอบอุ่น และใจดี
เอาเข้าจริงๆแล้ว ในวันนั้น ฉันร้องไห้เพราะอะไรไม่ทราบ.....
จากนั้น..ครูบาท่านขอให้ฉัน
"รักษาศีลห้าให้ครบ (ช่วงนั้นฉันมีมโนกรรม)
และสวดมนต์ทุกวัน"
ไม่มีการเรียกร้องขอเงินค่ารักษาจากท่าน
เมื่อเสร็จธุระ ฉันกราบลาท่าน แยกย้ายกับเพื่อนที่แสนดีมีเมตตา
พอกลับถึงที่พัก
ฉันล้างเท้าเบาๆกลัวโดนแผล
ถ้าโดนน้ำมันจะแสบ น้ำเหลืองซึมผ้าปิดแผลเป็นระยะๆ
วันนึงๆ ต้องเปลี่ยนผ้าปิดแผลมากกว่าหนึ่งครั้ง ถ้าวันไหนไม่มีเวลาเปลี่ยน
เวลาเอาออก ก็จะค่อยๆลอกผ้าออกมาตามวิธีคุณพยาบาลแนะนำ น้ำเหลืองเยิ้มกรังหนาทั้งของเก่าของใหม่ ตอนลอกออกมาแสบแทบเป็นบ้า
เมื่อตอนเช้าก่อนเดินทางจากที่พักไปกราบครูบา ฉันยังต้องทำแผล แสบเชียว
ทำไมตอนนี้ไม่รู้สึก
พลิกตาตุ่มขวาดูแผล
แผลร่อนแห้งแล้ว
แปลก
เอาล่ะ...
ต่อไปนี้ฉันจะสวดมนต์
ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น
เพื่อคุ้มครองตนเองจากภัยเวทย์มนต์มืด และคาถา
----ปฐมบทของการสวดมนต์---
เพื่อนสายเทพของฉันคนนึงเคยทำนายว่าฉันจะเข้าสู่วงการ (ธรรมะ) อย่างจริงจังในอีกสามปีข้างหน้า ยังไม่ใช่เวลานี้
มันเลยทำให้ฉันประมาทเข้าไปอีก
คิดไปเองว่าเวลาเป็นของหาง่าย คำทำนายเช่นนี้ นัยนึงแปลว่าฉันยังเหลือเวลาเริงร่าแบบโลกๆได้อีกนานอักโข
ฉันยังไม่ตายง่ายๆหรอก
ชีวิตนี้ชิวๆ
แต่ใครจะการันตีล่ะ ขนาดโดนของ ก็ไม่เห็นมีใครมาทำนาย
ต้องช่วยตัวเอง
ต้องดั้นด้นไปหาครูบา
จุดธูปเอง จ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พักเอง
เพื่อนคือผู้บอกทางเท่านั้น
ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำตามหรือไม่
ถ้าเราไม่ไป .....เขาก็ได้ทำหน้าที่เขาแล้ว
ถ้าเราไป .....เขาก็ได้ทำหน้าที่เขาแล้ว. เช่นกัน
ตัวเราคือผู้ที่จะกำหนด ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ
คิดคือคิด
ได้คิดไม่ได้แปลว่าได้ทำ
แค่คิดว่าจะสวดมนต์
ไม่ได้แปลว่าฉันสวดมนต์เป็นประจำทุกวัน
สิ่งที่ฉันกระทำหลังจากกราบครูบา
ก็เปรียบเหมือน ฉันรับถังน้ำสะอาดมาจากครูบาท่าน
เพียงแค่หันหลังออกจากวัด
ฉันก็จัดการคว่ำถังน้ำ
ทิ้งทั้งถัง ทิ้งทั้งน้ำ
ให้ไหลเจิ่งนองหน้าวัดเสียแล้ว
อนิจจา
เพื่อนผู้อารีตำหนิว่าฉันขี้เกียจสวดมนต์
ฉันอ้างว่ายังสวดอยู่นะ
แค่บางวันเท่านั้นที่เหนื่อยมาก หลับไปเลย
จริงๆแล้วเพราะเมื่อย เหน็บชากินตะหาก
ใครจะไปสวดมนต์ยาวๆกัน
จริงๆก็ขี้เกียจด้วย...
พอดีช่วงนั้น
เพื่อนผู้อารีกำลังทำโครงการถวายเก้าอี้สวดมนต์ 9 วัด 108 ชุด ฉันจึงส่งปัจจัยร่วมด้วย
ตัวเองไม่ยอมสวดมนต์ แต่ขอร่วมถวายเก้าอี้สวดมนต์ด้วยคนนะคะ
ทำบุญสไตล์ฉัน ขอร่วมด้วยช่วยกันก็ยังดี
สาธุ++
เพื่อนรุ่นพี่ท่านนี้เหน็บว่า
ถ้ามันจ้างคนสวดมนต์แทนตัวเองได้ คงจะจ้างไปนานแล้ว
เขารู้ทันอีกแหนะ
☺️🎀🎀🔮🔮