คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
ขยายความ จาก หลาย ๆ คห ข้างต้นครับ
Q1 : ด้วยข้อจำกัดอะไรทำใมถึงใช้แค่ 0 และ 1
A1 : ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของตัวระบุสถานะ ที่ 1 ตำแหน่ง ส่งและรับค่า สัญญาณเป็น มีไฟ / ไม่มีไฟ ครับ
รหัสระดับย่อยที่สุดที่เราจะใช้ได้ คือ 0 (ไม่มีกระแสไฟ) กับ 1 (มีกระแสไฟ) อาจรวมไปถึง แถบแม่เหล็ก (มี / ไม่ สภาพแม่เหล็ก)
เป็นจุดที่ง่ายที่สุด และ วัดได้ชัดเจนที่สุด ในการนำไปประกอบเป็นวงจรไฟฟ้า ต่าง ๆ
หมายเหตุ เวลาใช้งานจะใช้เป็นชุดรหัส เพื่อเพิ่มความหลากหลายของคำสั่ง
1 bit = 2 รูปแบบ
2 bits = 4 รูปแบบ
...
Q2 : ถ้ามีการประมวลผลแบบอื่นที่มีมิติมากขึ้นน่าจะทำให้มนุษย์ได้ประโยชน์มากกว่านี้หรือเปล่าครับ
A2 : ถามว่าถ้ามีมิติที่มากกว่านี้ ในระบบไฟฟ้าไม่แน่ใจแต่ในระบบชีวเคมีมีตัวอย่าง คือ รหัสพันธุกรรม ใช้รหัส A T G C ซึ่งสถานะสัญญาณที่ต่างกัน 4 ชนิด (ใน 1 ตำแหน่ง เป็นได้ 4 สถานะ)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD
ดังนั้นในส่วนของระบบไฟฟ้า ถ้าที่ 1 ตำแหน่ง สามารถกำหนดสถานะที่ชัดเจน และ เสถียร ได้สมมติว่าเป็น ไม่มีไฟ มีไฟน้อย มีไฟปานกลาง มีไฟมาก เราก็อาจใช้รหัส 0 1 2 3 ได้ ... แต่การตรวจรับค่าสัญญาณ ไม่มีไฟ มีไฟน้อย มีไฟปานกลาง มีไฟมาก มันอาจไม่เสถียร และ ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม ซึ่งทำให้อาจสิ้นเปลืองในการผลิต ...
แต่หากสามารถทำได้ น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เลยล่ะครับ เพราะ ทุกวันนี้ การจะส่งข้อมูลตัวอักษร 1 ตัว ใช้รหัสสัญญาณ 8 bits (สมมติภาพเป็น สายไฟส่งข้อมูล 8 เส้น) เพื่อส่งรหัส 0/1 บนสายแต่ละเส้น ... แต่หากบนสาย 1 เส้น สามารถส่งสัญญาณได้มากกว่า 0/1 (แบบรหัสพันธุกรรม) อาจจะทำให้การส่งข้อมูล / ประมวลผล ทำได้ดียิ่งขึ้น
หลักในการส่ง/รับ สัญญาณคือ
ง่ายเป็นสากล : เข้าใจตรงกัน ง่ายต่อการแยกสถานะ ในที่นี้คือ 0/1
เสถียร : สามารถแยกสถานะได้อย่างชัดเจน ในที่นี้คือ 0/1 หรือ ในระบบพันธุกรรมคือ A T G C
Q1 : ด้วยข้อจำกัดอะไรทำใมถึงใช้แค่ 0 และ 1
A1 : ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของตัวระบุสถานะ ที่ 1 ตำแหน่ง ส่งและรับค่า สัญญาณเป็น มีไฟ / ไม่มีไฟ ครับ
รหัสระดับย่อยที่สุดที่เราจะใช้ได้ คือ 0 (ไม่มีกระแสไฟ) กับ 1 (มีกระแสไฟ) อาจรวมไปถึง แถบแม่เหล็ก (มี / ไม่ สภาพแม่เหล็ก)
เป็นจุดที่ง่ายที่สุด และ วัดได้ชัดเจนที่สุด ในการนำไปประกอบเป็นวงจรไฟฟ้า ต่าง ๆ
หมายเหตุ เวลาใช้งานจะใช้เป็นชุดรหัส เพื่อเพิ่มความหลากหลายของคำสั่ง
1 bit = 2 รูปแบบ
2 bits = 4 รูปแบบ
...
Q2 : ถ้ามีการประมวลผลแบบอื่นที่มีมิติมากขึ้นน่าจะทำให้มนุษย์ได้ประโยชน์มากกว่านี้หรือเปล่าครับ
A2 : ถามว่าถ้ามีมิติที่มากกว่านี้ ในระบบไฟฟ้าไม่แน่ใจแต่ในระบบชีวเคมีมีตัวอย่าง คือ รหัสพันธุกรรม ใช้รหัส A T G C ซึ่งสถานะสัญญาณที่ต่างกัน 4 ชนิด (ใน 1 ตำแหน่ง เป็นได้ 4 สถานะ)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD
ดังนั้นในส่วนของระบบไฟฟ้า ถ้าที่ 1 ตำแหน่ง สามารถกำหนดสถานะที่ชัดเจน และ เสถียร ได้สมมติว่าเป็น ไม่มีไฟ มีไฟน้อย มีไฟปานกลาง มีไฟมาก เราก็อาจใช้รหัส 0 1 2 3 ได้ ... แต่การตรวจรับค่าสัญญาณ ไม่มีไฟ มีไฟน้อย มีไฟปานกลาง มีไฟมาก มันอาจไม่เสถียร และ ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม ซึ่งทำให้อาจสิ้นเปลืองในการผลิต ...
แต่หากสามารถทำได้ น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เลยล่ะครับ เพราะ ทุกวันนี้ การจะส่งข้อมูลตัวอักษร 1 ตัว ใช้รหัสสัญญาณ 8 bits (สมมติภาพเป็น สายไฟส่งข้อมูล 8 เส้น) เพื่อส่งรหัส 0/1 บนสายแต่ละเส้น ... แต่หากบนสาย 1 เส้น สามารถส่งสัญญาณได้มากกว่า 0/1 (แบบรหัสพันธุกรรม) อาจจะทำให้การส่งข้อมูล / ประมวลผล ทำได้ดียิ่งขึ้น
หลักในการส่ง/รับ สัญญาณคือ
ง่ายเป็นสากล : เข้าใจตรงกัน ง่ายต่อการแยกสถานะ ในที่นี้คือ 0/1
เสถียร : สามารถแยกสถานะได้อย่างชัดเจน ในที่นี้คือ 0/1 หรือ ในระบบพันธุกรรมคือ A T G C
Kaew123 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2284255 ถูกใจ, oddy.freebird ถูกใจ, polpris ถูกใจ, ramai ถูกใจ, หว่างนึงฮั่น ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1519832 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมการแปลผลคอมพิวเตอร์ถึงใช้ binary code ครับ?
หรือว่าปกติแล้ว
0 กะ หนึ่ง หรือ เปิด - ปิด เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
คือแค่ 0 กะ 1 มิติง่ายๆ ก็ก่อประโยชน์แก่มนุษย์ขนาดนี้
ถ้ามีการประมวลผลแบบอื่นที่มีมิติมากขึ้นน่าจะทำให้มนุษย์ได้ประโยชน์มากกว่านี้หรือเปล่าครับ
หรือว่าจริงๆมันมีแค่ 0 กะ 1 นั่นแหละที่เป็นพื้นฐาน
ป.ล.ผมไม่เก่งเรื่องพวกนี้