แชร์บทความเขียนไปเรื่อย ใน Facebook จากประสบการณ์ชีวิตผม

ก็นะ จริงๆแล้ว เฟสบุ๊ค ส่วนใหญ่เค้าเขียนกันแค่ 1-2 บรรทัด บอกว่า ร้อนมั่ย หิวจัง สนุกมาก อยากจะบอกว่าเคยโดนเพื่อนว่า โพสต์ของเชาว์ขี้เกียจอ่าน ยาวมากๆ บางทีมีแต่ความรู้ ปวดสมอง วันนี้เชาว์ก็เลยเอามาให้อ่าน ยอมรับว่าน่าเบื่อ ไม่อยากเข้ามาอ่านก็ไม่ต้องอ่านนะครับ แต่บอกเลยว่ามีประโยชน์สำหรับการพัฒนาลูกของคุณพ่อ คุณแม่แน่นอนครับ

1.เป็นครูไม่ได้แค่สอน
สำหรับตัวเชาว์แล้วการเป็นครูที่ดี เป็นอนาคตสูงสุดของเชาว์ที่ต้องฟันฝ่าให้ได้ ช่วงนี้งานก็เยอะ อะไรก็เยอะ เชาว์เริ่มคิดถึงเด็กๆ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานั้น การเป็นครูจริงๆนั้น เป็นยากมากๆ เหตุผลที่เชาว์จะต้องพยายาม ก็คือ การทำให้เด็กพัฒนาได้อย่างสูงสุด
สิ่งแรกเลย เป็นครูไม่ใช่แค่สอนนักเรียน แต่ยังต้องสอนตนเอง ศึกษาหาความรู้ใหม่มาสอนนักเรียนอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องสอนแนะนำผู้ปกครอง ให้กลับไปดูแล ให้นักเรียนมีคุณภาพที่ดีต่อสังคม สำหรับเชาว์แล้ว เชาว์จะเป็นคนที่มุ่งมั่นมาก อยากที่จะช่วย แนะนำ สั่งสอนเด็กให้ดี อีกทั้งพยายามหาวิธีการใหม่ๆที่จะช่วยสอนเด็กนักเรียนให้มีคุณภาพได้
สิ่งที่สอง วางแผนเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวนักเรียน ถามว่าทำไมต้องวางแผน การที่เด็กนักเรียน 40 คนมาเรียนร่วมกัน ครูอย่างเราจะทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจเนื้อหาบทเรียนมาที่สุด มันไม่ใช่แค่วิธีการสอนที่สนุก น่าสนใจ แต่ต้องเปิดใจเด็กให้รับกับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอๆด้วย การวางแผนจะช่วยให้เรารู้ว่า เราควรพัฒนาตรงไหน
สิ่งที่สาม เป็นที่ปรึกษาให้เด็ก ครูเปรียมเสมือนพ่อแม่คนที่สอง เชาว์เชื่ออย่างนั้นจริงๆ มีปัญหาอะไร เชาว์ก็จะปรึกษาครู เพราะไว้ใจ เป็นครูก็ต้องทำให้เด็กไว้ใจเราให้ได้ เด็กหลายคนเค้าก็มีปัญหา มองให้ลึก และจะพบว่า ความน่าสนใจในตัวเด็กมันมีอะไรที่มากกว่านั้น
การเติมแต่งความเป็นมนุษย์ในตัวเด็กนั้น หน้าที่ครูอย่างเราจะต้องสร้างสรรค์ออกมา มันคือ งานศิลปะที่ยากที่สุด และใช้เวลามากที่สุด หลายคนอาจจะมองว่าศิลปะชิ้นนี้ คนสร้าง สร้างไม่ดี แต่ในใจลึกๆแล้ว ครูทุกคน ล้วนก็มีแบบการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองทั้งนั้น
สำหรับเชาว์เองนั้น เชาว์เห็นเด็กเป็นเป้าหมาย ถามว่าทำไม เด็กจะดีหรือไม่ดี ภาพสะท้อนมันขึ้นกับครู ผู้ปกครอง ถ้าโรงเรียนเราสร้างสรรค์เค้าดี มันก็จะออกมาดี ครูอย่างเราก็จะออกมาดีด้วย ฉะนั้น จงใช้จิตวิญญาณของเรา สร้างสรรค์ศิลปะชิ้นนี้ อย่างงดงามกันเถอะและความสุขในใจลึกๆของเค้าจะเป็นตัวกำหนดว่า เราทำดีหรือยัง

2.ประเพณีวันเกิดของโรงเรียน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเชาว์ต้องซื้อเค้กด้วย ทั้งๆที่เป็นวันเกิดของตนเอง จริงๆแล้วประเพณีโรงเรียนนี้ ที่เชาว์เคยเรียนเค้าสอนดีมากเลยละ จริงๆแล้ววันเกิดละ เป็นวันที่เราลืมตาดูโลก และมอบความสุขให้กับคนอื่นมากมาย และพร้อมของการมีตัวตนอยู่ของเรา
เพราะฉะนั้นที่โรงเรียนแห่งนี้ นักเรียนที่มีวันเกิดตรงกับวันเรียนหนังสือ จะต้องเรียนรู้จักคำว่า "ให้" มากกว่ารับ เด็กทุกคนจึงให้สิ่งของ เพื่อแสดงน้ำใจ และการรับรู้ของการมีตัวตนที่ทำให้เพื่อนๆมีความสุข
วันนี้เชาว์ก็เลยแจกเค้กนักเรียน ครู และนักเรียนมีความสุขมากๆ เชาว์เห็นแล้วรู้สึกมีความสุขมากเลยละ. ความสุขของเด็กๆ ทำให้เชาว์มีกำลังใจที่จะเป็นผู้ให้ละครับ

3.ตะลุยทัศนศึกษา 7 วัน เรียนรู้จากประสบการณ์ปัญหา เด็กพิเศษ
ปัญหาหลายอย่าง บางครั้งไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นง่ายๆ เชาว์จึงอยากที่ไปเรียนรู้ ทำความเข้าใจถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เชาว์ละ จากใจเลย เชาว์อยากให้ทุกคนมีความสุข เชาว์ยอมลำบากเพื่อทุกคน สังคมมันโหดร้ายมากๆ ถ้าไม่เข้มแข็งเราก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้ ระหว่างที่ตะลุยไปเรื่อยๆนั้น เชาว์ได้พบอะไรหลายอย่าง ทั้งสนุก เสียใจ เครียด หาทางออกไม่ได้ เชาว์รับรู้ความรู้สึกนั้น และก็ตระหนักว่า เราจะเป็นครูที่ดี ก็ต้องช่วยเหลือเด็ก ส่งเสริม และไม่เลือกปฎิบัติ และต้องช่วยอย่างจริงใจ
เชาว์ก็รู้ตัวเชาว์เองว่าศักยภาพของเชาว์มันไม่พอ แต่เชาว์ก็พยายามที่จะแก้ปัญหาต่างๆของหลายๆบุคคลให้ได้ มีหลายคนบอกว่าทำแล้วไม่กลัวเข้าตัวเองหรอ เชาว์บอกเลยว่าเชาว์กลัว แต่เชาว์ก็ต้องทำเพราะสิ่งที่ได้นั้น มันมีมูลค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ จิตใจของเชาว์รู้สึกแต่ว่าอยากที่ให้ ให้ ให้ (ให้จนตัวเองลำบาก)
สิ่งที่ตนเองอยากได้ ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อคนอื่น สิ่งแรกที่เชาว์อยากได้คือ ความเก่ง เก่งในการช่วยเหลือคนอื่น ความรู้ มันสมอง เชาว์อยากมีมัน อย่างต่อมา คือ พละกำลังในช่วยเหลือ แก้ไข เชาว์อยากมึ 2 สิ่งนี้ เพื่อทำประโยชน์ที่ดีได้มากขึ้น
การทัศนศึกษาครั้งนี้ เสี่ยงมากๆ หลายอย่าง สำหรับเชาว์ก็ได้ไปสถานที่ต่างๆมากมาย เช่น สวนหลวง เอกมัย ฉะเชิงเทรา ตึกช้าง ฟันเรเลียมพระราม4 ราชเทวี บางหว้า
ไปแบบไม่กลัวเหนือยกันเลย สิ่งที่ได้เรียนรู้ คือ ความรัก ความบกพร่อง และประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ถามว่ามันเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่เชาว์มีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาแบบใหม่ๆมากขึ้น
ผลตอบรับอาจจะดีหรือไม่ เชาว์ก็ไม่รู้ แต่ว่าเชาว์รู้สึกว่า เชาว์รักเด็กทุกคน เปรียบเป็นลูกของตนเอง รักมาก อยากให้พวกเค้า เติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุข และไม่โดนใครในสังคมรังแก ซึ่งการที่จะได้ถึงจุดนั้นได้ ต้องพยายามที่จะพัฒนาให้เป็น BEST แต่ไม่ต้องperfect และคำว่าดีที่สุด แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
Best นั้นใช้ได้แค่ช่วงเวลา แต่ไม่ตลอดไป ตอนนี้เรามองว่าดีที่สุดแล้ว มันใช่สำหรับตอนนี้ แต่ต่อไปเราก็พัฒนาอีก ไปเรื่อยๆ การกำหนดเป้าหมายก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างศาสนาก็มีศาสดาที่เป็นเป้าหมาย ว่าจะทำดี เช่นกัน ความพยายามจะเกิดขึ้น ก็ต้องมีจุดเป้าหมาย เราพยายามเพื่อใคร เพื่ออะไร ผลลัพธ์อยากให้เป็นอย่างไร
เชาว์เชื่อว่าทุกคนทำได้ พ่อแม่ทุกคนสามารถเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดได้ ทุกคนมีความพยายามที่สุดยอด แต่อย่าลืมสิ่งสำคัญ ให้ใส่ความรอบคอบด้วย เลี้ยงลูกก็เหมือนกับการใช้จ่าย พลาดขึ้นมาทีเนี้ย แก้ไขกันบานเลย ใช้ความรู้สึกจากใจเลี้ยงเค้าให้เติบโตแข็งแรง คอยเข้าไปคุยกับเค้าในจิตใจทุกวัน
และเมื่อถึงเวลานั้น เชาว์เชื่อว่า พวกเค้าจะต้องมีความสุขที่ยั่งยืน เป็นต้นไม้ที่แข็งแรงที่จะมอบความสุขให้กับคนรอบข้างอย่างเราๆแน่นอน
เรื่องราวนี้อาจจะเป็นความฝันหรือความจริง มีเพียงเราเท่านั้นที่ทำ........

4.การเขียนนิทานเหตุการณ์ความเป็นจริงในสังคม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสิงโตตัวหนึ่งปกครองในป่าที่แสนสวยงาม มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ สิงโตตัวนี้ก็จะนับถือสิงโตแก่ตัวหนึ่งที่นิสัยจะโครตดีในสายตาสิงโตตัวนี้ แต่แย่สำหรับสัตว์ป่ามากX10 สัตว์ป่าน้อยใหญ่ ต่างมีเรื่องกับเจ้าสิงโตแก่ผู้นี้าโดยตลอด
วันหนึ่งมีนกฮูกบินมาหาอาหารแถวนี้ และที่นี้ก็มีโรงเรียนสำหรับสัตว์เด็กๆที่ต้องการจะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต สำหรับโรงเรียนแห่งนี้ เจ้าสิงโตแก่ ผู้ที่ยอมให้ใครเด่นกว่าตัวเอง ก็หาวิธีทางที่จะกำจัดสัตว์ป่าที่มีอิทธิมาจากที่อื่นมาที่นี้ให้อยู่ไม่ได้ และก็ต้องไป นกฮูกนั้นได้เห็นสัตว์เด็กๆ ถูกสิงโตแก่ขมเหง แกล้งว่าช่วยเหลือสัตว์เด็กๆ แต่แท้ที่จริงกลับ ไม่ได้ทำอะไรเลย คิดแต่จะหาผลประโยชน์จากสัตว์เด็กๆ เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจและความน่าเชื่อถือ
นกฮูกผู้หาประสบการณ์ก็อยากที่จะช่วยเหลือสัตว์เด็กเหล่านี้ ให้มีความรู้เพิ่มขึ้น โดยไม่ทันคิดว่า ใครอยู่ก่อนและมีอำนาจมากแค่ไหน นกฮูกได้พยายามคิด หาวิธีสอนสัตว์เด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆมากมาย จนสิงโตแก่ เริ่มไม่พอใจ มากขึ้น และมากขึ้น
จนช่วงฤดูหนาวมากๆ จะมีวันเฉลิมฉลอง จัดงานความเชื่อต่างๆ มีการกินเลี้ยงกันมากมาย นกฮูกก็เห็นสัตว์เด็กๆเหนื่อยกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆมาทั้งปี ก็เลยคิดที่จะจัดงานแบบนี้บาง โดยเจ้าม้าที่สอนสัตว์เด็กๆก็สนับสนุนด้วย แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้น ในสมัยก่อนประเพณีอย่างนี้ สิงโตแก่ผู้เห็นแก่สัตว์เด็กๆ มาก กลัวจะอันตราย ก็เลยไม่เคยจัดเลย มาฤดูหนาวมากๆ หลายฤดูกาล นกฮูกได้ยินอย่างนั้นก็ได้สงสารสัตว์เด็กๆ "พวกเจ้าชั่งน่าสงสาร ทำไมเจ้าสิงโตแก่ถึงไม่คิดถึงสัตว์เด็กเหล่านี้บ้างเลย " นกฮูกก็มีความปราณณาที่จะจัดงานตามประเพณี โดยปรึกษากับเหล่าสัตว์เด็กๆ
"นี่ พวกเจ้าอยากกินอะไรละ" ก็มีเสือเด็กตัวหนึ่งตอบว่า ฉันอยากกินเนื้อย่างอร่อยๆ มีน้ำชุปที่ดี และก็ให้สหายทุกๆคนมาร่วมฉลองร่วมกัน สัตว์เด็กๆทุกตัวก็ยอมรับว่า เราจะจัดแบบนี้กัน นกฮูกก็ขอแรงจากสัตว์เด็กๆ มาลงทุน ทำงานฉลองที่ดี ที่ทุกวันมีความสุขร่วมกัน เจ้าสิงโตแก่พอรู้เรื่องนี้เข้า ก็ไม่พอใจนกฮูกอย่างมาก และวันนี้เจ้าสิงโตแก่ก็ได้เดินเข้ามาประกาศว่า
ข้าจะจัดงานเลี้ยงตามประเพณีเช่นกัน แต่ว่า วันที่จัดจะเป็นวันฉลองพอดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นกฮูกคิดว่า ควรที่จะให้สัตว์เด็กๆ ไปฉลองกับครอบครัวเขาดีกว่า และจะได้มีเรื่องเล่าให้พ่อแม่สัตว์ฟังด้วย เจ้าสิงโตแก่หันมามองนกฮูกด้วยสายตาที่อิจฉามากๆ 'ฟังนะ ใครมันจะจัดอย่างไรก็ช่าง" นกฮูกเริ่มใจไม่ค่อยดีและก็เครียดมากขึ้น
หลังจากนั้นเจ้าสิงโตแก่มันยังไม่จบ หาเรื่องแขวะนกฮูกต่อ "สัตว์เด็กๆ ข้าจะจัดงานตามประเพณีให้เจ้าทั้งหลาย เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรละ รู้มั่ยว่า การจัดงานด้วยการย่างเนื้อกิน มันไม่ดี สัตว์เด็กๆเกิดอันตราย พ่อแม่สัตว์ก็ต้องมา ถามว่าใครจะรับผิดชอบ" สิงโตแก่ผู้ที่มีความไม่ดี และหลงตัวเอง ได้พูดต่อ" ข้าเนื้ยจะนำอาหารที่มีประโยชน์ มาให้พวกเจ้ากิน ข้ารักพวกเจ้าแค่ไหน พวกเจ้าก็แค่อยู่เฉยๆ รอเลี้ยงฉลองก็พอ ข้าจะดูแลทุกอย่างเอง"
ด้วยความที่สิงโตแก่นั้น อยากที่จะเอาชนะนกฮูกให้ได้ จึงไซโคสัตว์เด็กๆต่อ ในสิ่งที่นกฮูกทำในทางไม่ดี "ข้าจะไม่ให้เจ้าเอาแรงของเจ้า มาเหนื่อยกับข้า ข้าจะจัดงานเลี้ยง เตรียมการทุกอย่างเอง พวกเจ้าก็แค่รอคอยเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรหรอก เด็กๆอย่างเจ้าไม่ควรช่วยหรอกข้าเห็นพ่อแม่เจ้า ต้องมาช่วยด้วย อย่าเดือดร้อนพ่อแม่เจ้าเลย ข้าจะจัดเลง"
"ส่วนเรื่องของวันจัดนั้น ข้าจะจัดตรงกับวันฉลองพอดี งานนี้ก็แค่เล็กๆน้อยๆ ไม่มีความสำคัญอะไรหรอก ข้าเห็นถึงความปลอดภัยและชีวิตพวกเจ้าเป็นหลักนะ"เจ้าสิงโตแก่บอกหลังจากนั้นสิงโตแก่ก็ พูดไปเรื่อย ฝ่ายนกฮูกก็ทนไม่ได้ บินหนีไปที่อื่น สัตว์เด็กก็ต่างตามมา
ครูนกฮูกเป็นไงบ้างครับ ผมสงสารจังเลยครับ นกฮูกได้นั่งซึมอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ก็ระบายความในใจกับสัตว์เด็กๆที่ตามมา สัตว์เด็กบอกว่า รู้มั่ยว่าหลังจากที่ครูไป เจ้าสิงโตแก่มันพูดว่า ใครเป็นคนสั่งการ หา มันไปไหน" นกฮูกพอได้ยินอย่างนี้ก็เศร้าใจนัก และก็ปรึกษาวางแผนว่าจะเอาอย่างไรต่อดี เมื่อนกฮูกได้ทำใจแล้ว ก็กลับไปเจอเจ้าสิงโตแก่อีกครั้ง แต่สิงโตแก่ก็ไม่พูดอะไร จนถึงตอนเย็น
ระหว่างที่นกฮูกกำลังจะบินกลับบ้าน ม้าที่เป็นคนดูแลสัตว์เด็กๆก็มาปลอบใจ นกฮูกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่รู้สึกว่าจะทำให้เครียดกว่าเดิมกระมั่ง "นี่นะ ไอเจ้าสิงโตแก่สารเลว มันพูดลับหลังอีก มันไปพูดกับช้างว่า ไอนกฮูกยิ้มไม่รู้จักเจียมกะลาหัวตัวเอง มันคิดว่ามันเข้าราชสำนักได้แล้วเก่ง ข้าละเก่งมามาย มีประสบการณ์มากเป็นผู้อาวุโสกว่าใคร การที่มันทำอย่างนั้น มันไม่รู้จริงๆ แท้ที่จริงใครเด่นกว่า และมีคนเชื่อถือมากมายอีก "และสิงโตแก่็พล่าม ยกยอตัวเองเรื่อยๆ นกฮูกกลัวเจ้าสิงโตเห็นจึงบินจากไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่คิดดีอย่างจริงใจย่อมมีคนเห็นใจ และคนเลว ต่อให้ทำให้ตัวเองดูดีอย่างไร ก็ยังเลวอยู่ดี ถ้าไม่หัดที่จะแก้ไขตัวเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่