จากหนังสือเรื่อง Predictably Irrational โดย Dan Ariely มีอยู่ตอนหนึ่งที่กล่าวถึงทดลองการผูกติดของคนเราไว้อย่างน่าสนใจ
การทดลองนี้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม ให้ทั้งสองกลุ่มฟังเสียงหึ่งๆ ที่น่ารำคาญนาน 30 วินาทีเหมือนกัน (ที่เป็นเสียงนี้เพราะเสียงนี้ไม่มีราคาตลาดกลางที่เป็นบรรทัดฐานให้กะเกณฑ์ได้อยู่) แต่จะมีการให้ค่าจ้างเพื่อให้ฟังซ้ำที่ต่างกันคือ กลุ่ม A จะได้ 10 เซ็นต์ ส่วนกลุ่ม B จะได้ถึง 90 เซ็นต์
การทดลองนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากที่เห็นลูกห่านที่เกิดใหม่เดินตามสิ่งที่มันเห็นสิ่งแรก หรือการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งของสิ่งมีชีวิต โดยหลังการทดลองแรกผ่านไป ก็มีการเพิ่มเงื่อนไขเข้ามาอีกเพื่อค้นหาว่า หากให้เงิน 50 เซ็นต์เพื่อฟังเสียงนั่นซ้ำอีก สัดส่วนของผู้ยอมรับเงินจำนวน 50 เซ็นต์จะออกมาเป็นเช่นไร (เพื่อกำหนดมาตรฐานราคาใหม่สำหรับค่าจ้าง) และสุดท้ายหากให้ผู้ทดลองทำการประมูลราคาที่ยินดีจ่ายสำหรับการฟังซ้ำได้ ราคาที่ประมูลในแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันหรือไม่
ผลลัพธ์ที่สรุปได้คือ แม้จะมีการพยายามกำหนดราคาใหม่ขึ้นมาก็ตาม แต่กลุ่มแรกที่ผูกติดกับ 10 เซ็นต์ มีแนวโน้มเสนอราคาประมูลที่ต่ำ ส่วนกลุ่มที่สองที่ได้ 90 เซ็นต์ก็ตรงกันข้าม กลุ่มนี้เสนอราคาประมูลที่สูงกว่ามาก
สรุปได้ว่าผู้ทดลองทั้งสองกลุ่มได้ "ตีตรา" ราคาการฟังเสียงน่ารำคาญนั่นไปเสียแล้ว จากประสบการณ์ของตน
อีกการทดลองหนึ่ง (ไม่เกี่ยวกับในหนังสือนั้นแล้วนะครับ) แบ่งเด็กออกเป็น 2 ห้องคือ ห้องคิง และห้องรอง ด้วยผลการสอบ แล้วแยกห้องของเด็กโดยเรียงตามลำดับคะแนนแบบนี้
...คนได้คะแนนที่หนึ่งอยู่ห้องคิง คนได้คะแนนที่สองอยู่ห้องรอง คนได้คะแนนที่สามอยู่ห้องคิง สลับกันจนครบหมดทุกคน ซึ่งแน่นอนว่าการแบ่งนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ และการเรียนการสอนก็ใช้เนื้อหา ตำรา ครูผู้สอนคนเดียวกันด้วย
ดูจากตรงนี้แล้วผลการเรียนเมื่อทดสอบอีกครั้งปลายเทอม ควรจะมีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน แต่ผลลัพธ์จริงๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้น การทดลองกลับให้ค่าที่ว่า เด็กห้องคิงมีผลการสอบที่ดีไม่ต่างจากเดิม ส่วนเด็กห้องรองกลับแย่ลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเจาะลึกถึงเหตุผลของการทดลองนี้ ก็พบว่าแม้ตัวครูผู้สอนจะเป็นคนเดียวกันก็ตาม แต่ด้วยความที่คิดว่าเป็นห้องคิงครูผู้สอนจึงสอนอย่างเข้มข้นกว่า ส่วนในเด็กห้องรองจะสอนอ่อนลงไปเพราะกลัวว่าจะตามไม่ทัน ส่วนตัวของเด็กห้องคิงเองก็รู้สึกว่าเก่งกว่า ดีกว่าอีกห้อง จึงขยันและขวนขวายในการเรียนรู้มากกว่าเด็กอีกห้อง ที่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าจึงไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนเท่าไหร่
จากทั้งสองการทดลองนี้และประสบการณ์ที่เราพบเจอมา ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกได้ว่า พลังแห่งการตีตรานั้นมีอยู่จริง คนเราจะประเมินสิ่งหนึ่ง โดยใช้หลักยึดจากประสบการณ์ที่พานพบมา ที่คล้ายคลึงกัน แล้วตีค่า ตีราคา ตีตราสิ่งนั้นลงในจิตใจของเรา
เพราะโลกนี้เป็นแบบนั้น มันจึงมีทางเลือก 2 ทางที่มนุษย์อย่างคุณๆ หรือผม จะทำได้
อย่างแรก...ขวนขวายหาตรามาตีติดตัวเราให้เยอะๆ เพราะมันคือ เหยื่อล่ออันโอชะของโอกาส ถ้าเปรียบโอกาสเป็นฉลาม ตราก็คือเลือดสดๆ คาวๆ นี่เอง
หรือสอง...ฉีกตราที่คนอื่นหรือตัวเราตีติดตัวเราออกซะ แล้วออกเดินทางแสวงหาโอกาสใหม่ๆ มองเลยข้าม "ตรา" ที่ตีในหัวเราออกไป หาตราใหม่ๆ ที่เปิดมุมมองด้วยคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นๆ มาติดแทน ข้อนี้ยอมรับว่าทำยากเอาการอยู่ เพราะถ้าจะทำได้ เราเองก็ต้องไม่มองตราที่เราตีติดตัวชาวบ้านด้วยเช่นกัน...
วันนี้คุณตีตราให้กับอะไรไปบ้างแล้ว ตีตราลูกคุณแล้วหรือยัง ว่าเป็นเด็กดีเด็กไม่ดี เก่ง หรือไม่เก่ง
แล้วกับลูกน้องคุณล่ะ ตีตราเขาว่ายังไง เก่งไม่เก่ง ราคาค่าตอบแทนเหมาะสมดีงามแล้วใช่มั้ย ในทางกลับกันคุณเองล่ะตีค่าตีราคาของตนเองว่าอย่างไร ใช้มุมมองไหนในการมอง
ที่สำคัญในการดำเนินชีวิต อย่าลืม! ตรวจสอบตราที่ชาวบ้านตีไว้ให้คุณด้วย ว่ามันให้โอกาสเราได้มากน้อยแค่ไหน เรา "ยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข" กับตราที่คนอื่นตีให้เราหรือเปล่า
ถ้ามองเห็นว่าตราที่ถูกคนอื่นตีมา มันไม่ใช่คุณ แสดงพลังออกให้โลกได้เห็นว่าคุณค่าของคนระดับคุณเหมาะสมกับตราระดับไหน ฉีกตราที่ถูกคนอื่นติดไว้ที่หน้าคุณไปซะ
...จากนั้นแปะมันใหม่ด้วยตราที่คุณเป็นคนเลือกจะติดมันลงไปเอง
...
ติดตามบทความอื่นๆ ได้เพิ่มเติมที่
http://stepdiary.com/story/AVQ9Anin22fEdWA_Kskx/พลังแห่งการตีตรา-และกรอบแห่งการยึดติด
พลังแห่งการตีตรา และกรอบแห่งการยึดติด
การทดลองนี้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม ให้ทั้งสองกลุ่มฟังเสียงหึ่งๆ ที่น่ารำคาญนาน 30 วินาทีเหมือนกัน (ที่เป็นเสียงนี้เพราะเสียงนี้ไม่มีราคาตลาดกลางที่เป็นบรรทัดฐานให้กะเกณฑ์ได้อยู่) แต่จะมีการให้ค่าจ้างเพื่อให้ฟังซ้ำที่ต่างกันคือ กลุ่ม A จะได้ 10 เซ็นต์ ส่วนกลุ่ม B จะได้ถึง 90 เซ็นต์
การทดลองนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากที่เห็นลูกห่านที่เกิดใหม่เดินตามสิ่งที่มันเห็นสิ่งแรก หรือการยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งของสิ่งมีชีวิต โดยหลังการทดลองแรกผ่านไป ก็มีการเพิ่มเงื่อนไขเข้ามาอีกเพื่อค้นหาว่า หากให้เงิน 50 เซ็นต์เพื่อฟังเสียงนั่นซ้ำอีก สัดส่วนของผู้ยอมรับเงินจำนวน 50 เซ็นต์จะออกมาเป็นเช่นไร (เพื่อกำหนดมาตรฐานราคาใหม่สำหรับค่าจ้าง) และสุดท้ายหากให้ผู้ทดลองทำการประมูลราคาที่ยินดีจ่ายสำหรับการฟังซ้ำได้ ราคาที่ประมูลในแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันหรือไม่
ผลลัพธ์ที่สรุปได้คือ แม้จะมีการพยายามกำหนดราคาใหม่ขึ้นมาก็ตาม แต่กลุ่มแรกที่ผูกติดกับ 10 เซ็นต์ มีแนวโน้มเสนอราคาประมูลที่ต่ำ ส่วนกลุ่มที่สองที่ได้ 90 เซ็นต์ก็ตรงกันข้าม กลุ่มนี้เสนอราคาประมูลที่สูงกว่ามาก
สรุปได้ว่าผู้ทดลองทั้งสองกลุ่มได้ "ตีตรา" ราคาการฟังเสียงน่ารำคาญนั่นไปเสียแล้ว จากประสบการณ์ของตน
อีกการทดลองหนึ่ง (ไม่เกี่ยวกับในหนังสือนั้นแล้วนะครับ) แบ่งเด็กออกเป็น 2 ห้องคือ ห้องคิง และห้องรอง ด้วยผลการสอบ แล้วแยกห้องของเด็กโดยเรียงตามลำดับคะแนนแบบนี้
...คนได้คะแนนที่หนึ่งอยู่ห้องคิง คนได้คะแนนที่สองอยู่ห้องรอง คนได้คะแนนที่สามอยู่ห้องคิง สลับกันจนครบหมดทุกคน ซึ่งแน่นอนว่าการแบ่งนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ และการเรียนการสอนก็ใช้เนื้อหา ตำรา ครูผู้สอนคนเดียวกันด้วย
ดูจากตรงนี้แล้วผลการเรียนเมื่อทดสอบอีกครั้งปลายเทอม ควรจะมีค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน แต่ผลลัพธ์จริงๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้น การทดลองกลับให้ค่าที่ว่า เด็กห้องคิงมีผลการสอบที่ดีไม่ต่างจากเดิม ส่วนเด็กห้องรองกลับแย่ลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเจาะลึกถึงเหตุผลของการทดลองนี้ ก็พบว่าแม้ตัวครูผู้สอนจะเป็นคนเดียวกันก็ตาม แต่ด้วยความที่คิดว่าเป็นห้องคิงครูผู้สอนจึงสอนอย่างเข้มข้นกว่า ส่วนในเด็กห้องรองจะสอนอ่อนลงไปเพราะกลัวว่าจะตามไม่ทัน ส่วนตัวของเด็กห้องคิงเองก็รู้สึกว่าเก่งกว่า ดีกว่าอีกห้อง จึงขยันและขวนขวายในการเรียนรู้มากกว่าเด็กอีกห้อง ที่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าจึงไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนเท่าไหร่
จากทั้งสองการทดลองนี้และประสบการณ์ที่เราพบเจอมา ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกได้ว่า พลังแห่งการตีตรานั้นมีอยู่จริง คนเราจะประเมินสิ่งหนึ่ง โดยใช้หลักยึดจากประสบการณ์ที่พานพบมา ที่คล้ายคลึงกัน แล้วตีค่า ตีราคา ตีตราสิ่งนั้นลงในจิตใจของเรา
เพราะโลกนี้เป็นแบบนั้น มันจึงมีทางเลือก 2 ทางที่มนุษย์อย่างคุณๆ หรือผม จะทำได้
อย่างแรก...ขวนขวายหาตรามาตีติดตัวเราให้เยอะๆ เพราะมันคือ เหยื่อล่ออันโอชะของโอกาส ถ้าเปรียบโอกาสเป็นฉลาม ตราก็คือเลือดสดๆ คาวๆ นี่เอง
หรือสอง...ฉีกตราที่คนอื่นหรือตัวเราตีติดตัวเราออกซะ แล้วออกเดินทางแสวงหาโอกาสใหม่ๆ มองเลยข้าม "ตรา" ที่ตีในหัวเราออกไป หาตราใหม่ๆ ที่เปิดมุมมองด้วยคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นๆ มาติดแทน ข้อนี้ยอมรับว่าทำยากเอาการอยู่ เพราะถ้าจะทำได้ เราเองก็ต้องไม่มองตราที่เราตีติดตัวชาวบ้านด้วยเช่นกัน...
วันนี้คุณตีตราให้กับอะไรไปบ้างแล้ว ตีตราลูกคุณแล้วหรือยัง ว่าเป็นเด็กดีเด็กไม่ดี เก่ง หรือไม่เก่ง
แล้วกับลูกน้องคุณล่ะ ตีตราเขาว่ายังไง เก่งไม่เก่ง ราคาค่าตอบแทนเหมาะสมดีงามแล้วใช่มั้ย ในทางกลับกันคุณเองล่ะตีค่าตีราคาของตนเองว่าอย่างไร ใช้มุมมองไหนในการมอง
ที่สำคัญในการดำเนินชีวิต อย่าลืม! ตรวจสอบตราที่ชาวบ้านตีไว้ให้คุณด้วย ว่ามันให้โอกาสเราได้มากน้อยแค่ไหน เรา "ยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข" กับตราที่คนอื่นตีให้เราหรือเปล่า
ถ้ามองเห็นว่าตราที่ถูกคนอื่นตีมา มันไม่ใช่คุณ แสดงพลังออกให้โลกได้เห็นว่าคุณค่าของคนระดับคุณเหมาะสมกับตราระดับไหน ฉีกตราที่ถูกคนอื่นติดไว้ที่หน้าคุณไปซะ
...จากนั้นแปะมันใหม่ด้วยตราที่คุณเป็นคนเลือกจะติดมันลงไปเอง
...
ติดตามบทความอื่นๆ ได้เพิ่มเติมที่
http://stepdiary.com/story/AVQ9Anin22fEdWA_Kskx/พลังแห่งการตีตรา-และกรอบแห่งการยึดติด