คนเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? และอะไรคือเป้าหมายในชีวิตที่แท้จริงกันแน่?

สวัสดีค่ะ เนื่องจากกระทู้ก่อนปลิวไป ก็เลยขอมาตั้งใหม่อีกรอบนึงละกัน หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์และให้ข้อคิดสำหรับคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
“ในชีวิตคนเรามีวันที่ยิ่งใหญ่อยู่สองวัน คือ วันที่เขาเกิด และวันที่เขาพบว่า เขาเกิดมาทำไม” ข้อคิดจาก วิลเลี่ยม บาร์คเลย์ ที่เป็นเหมือนข้อเตือนใจ เตือนสติเราอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะต้องใช้ชีวิตโดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อความสำเร็จ ความก้าวหน้า นำมาซึ่งความสุขในชีวิตเราเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของชีวิตเราเอง ที่อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตให้ทุกคนได้ฟัง ซึ่งขอบอกก่อนเลยว่าการออกมาเล่าเรื่องของเรานั้น ไม่ใช่ว่าต้องการโอ้อวดหรือต้องการความสงสารเห็นใจแต่อย่างใด แต่หวังเพียงแค่เรื่องของเราจะช่วยให้คนที่กำลังหมดหวังท้อแท้ในชีวิตได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป

มาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่ากับชีวิตของสาวบ้านนอกกับการต่อสู้ชีวิตในเมืองกรุง จากจุดที่ไม่มีอะไรเลย ใช้ชีวิตผ่านไปแค่วันๆ จนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเมื่อเราเริ่มคิดได้ และรู้ว่าชีวิตของเราตอนนี้เกิดมาเพื่ออะไร ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวเล็กๆ อันที่จริงก็มีญาติเยอะนะ แต่บอกตามตรงว่าพอเราไม่มีเงินไม่มีผลประโยชน์กับใคร ใครเขาจะอยากมาคบค้าสมาคมด้วย ญาติก็ตีตัวออกห่างเพราะกลัวว่าครอบครัวเราจะไปรบกวนเรื่องเงินเรื่องทองกับบ้านเขา มีพ่อเป็นเสาหลักใหญ่ของบ้าน มีแม่ แล้วก็มีพี่ชายอีก 2 คน ห่างกันเกือบสิบปี คุยกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เราเป็นน้องคนเล็ก ตอนนั้นจำได้ พี่ชายคนโตจบแล้ว เหลือคนกลาง กับเรา ซึ่งพี่ชายคนกลางก็หัวอ่อน เรียนไม่ค่อยเก่ง ค่อนข้างดื้อ ทำให้แม่เหนื่อยใจบ่อยๆ แต่เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะยังเด็ก ทำได้เพียงช่วยงานบ้านเล็กน้อย เท่าที่เราทำได้ เพื่อแบ่งเบาภาระ

    ตอนแรกพ่อ กับแม่ก็ทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้าน แต่พักหลังเริ่มแล้ง น้ำไม่พอพืชผลที่ปลูกไว้ก็ตายหมด ขาดทุนต้องกู้หนี้ยืมสินธนาคารมา พ่อเลยต้องออกจากบ้านไปรับจ้างก่อสร้างที่กรุงเทพ ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน นานๆพ่อจะกลับมาบ้านที ส่วนแม่ก็อยู่บ้านคอยรับจ้างงานเล็กๆน้อยๆ ชีวิตเราที่ลำบากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งใช้ชีวิตตามสบายเที่ยวเล่นไปวันๆเหมือนเด็กคนอื่นเลย บางทีก็รู้สึกนะว่า ตอนนี้เราใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไร น้อยใจชีวิตบ้างว่าทำไมชีวิตเราไม่สุขสบายเหมือนเพื่อนคนอื่น  ใช้ชีวิตเพื่อให้ผ่านไปวันๆ ตื่นเช้ามา ไปเรียนหนังสือ หลังเลิกเรียนก็ต้องรีบวิ่งไปรับจ้างล้างจานได้เงินค่าจ้างวันละ 20 บาท ล้างจนมือเปื่อย บางครั้งก็โดนเจ้าของร้านโกงบ้าง หาเรื่องเราบ้าง ว่าเราล้างไม่สะอาด ทำจานร้านเขาแตกบ้างไม่ได้ค่าจ้างเลยก็มี แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อชีวิตคนจนอย่างเราไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก
ชีวิตในวัยเด็กของหลายๆคนคงเป็นวัยที่มีแต่ความสนุก เสียงหัวเราะ เฮฮา วิ่งเล่นกับเพื่อน แต่ของเราแทบจะไม่มีช่วงเวลาสนุกแบบนั้นในชีวิตเลย จากแต่ก่อนที่ยังอยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ตอนนี้นานมากเกือบปีกว่าจะมีวันได้อยู่ครบกันทุกคน เพราะพ่อกลับมาเยี่ยมบ้านบ้าง แต่พักหลังๆ พ่อก็ต้องย้ายงานบ่อยๆ ไปต่างจังหวัดบ้าง ทำให้นานเป็นปีกว่าจะได้เจอหน้าพ่อ

งานแรกในชีวิตเลยค่ะ หาเราเจอมั้ยคะ 55555

หากบางครั้งที่คิดถึง หรือมีธุระด่วนเราก็ต้องวิ่งไปบ้านญาติไปขอยืมโทรศัพท์บ้านเขาโทร จะโทรนานก็เกรงใจ เพราะค่าโทรสมัยก่อนแพงมาก เราก็เคยถามแม่ด้วยความสงสัยนะว่า ทำไมพ่อถึงไม่หางานทำแถวบ้านล่ะ ทำไมต้องไปเหนื่อยทำงานไกลบ้านด้วย แม่บอกว่า ที่บ้านไม่มีงานให้ทำหรอก  งานแถวบ้านเรารายได้มันน้อย คงไม่พอเลี้ยงคนทั้งครอบครัวแน่ และคงไม่มีเงินส่งเราเรียน ภาพที่เห็นพ่อกับแม่ทำงานหนัก ทำให้เราคิดเสมอว่าในอนาคตชีวิตเราจะต้องดีกว่านี้ พ่อกับแม่จะต้องสบาย แต่ก็เหมือนฝันลมๆแล้งๆ เพราะชีวิตไม่ได้เรียนสูง งานดีๆ เงินดีๆ คงเป็นเรื่องยาก

หลังจากเข้ามาทำงานในกรุงเทพ เราก็เรียนรามควบไปด้วย จนได้ปริญญาตรีอีกใบ

ในที่สุดก็คว้าปริญญามาให้พ่อภูมิใจได้แล้ว

เรายังคงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กบ้านนอกคนอื่นๆทั่วไป ปิดเทอมใหญ่หยุดยาวหลายเดือนแม่ก็จะพาไปเยี่ยมพ่อบ้าง ยิ่งเราเห็นภาพพ่อทำงานหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความน้อยใจในชีวิตว่าทำไมชีวิตเราถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ เห็นพ่อเหนื่อย และ ลำบาก จึงตั้งปณิธาน กับตัวเองว่า วันนึง เราจะรีบเรียนให้จบ และ หางานทำ ส่งเงินให้พ่อกับแม่ใช้  พ่อจะได้หยุดพัก จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
และช่วงเวลาที่สำคัญในการเลือกทางเดินชีวิตก็มาถึง…
หลังจากเราจบ ม.6 ช่วงนั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เกิดความสับสนในชีวิตมาก ไม่รู้จะเลือกเดินไปทางไหนต่อ อยากเรียนต่อ ปริญญาตรีมาก เพราะ จบไปจะได้หางานได้ง่าย มีสังคมที่ดี มีเพื่อนเยอะ มีกิจกรรมสนุกๆในมหาลัยแบบที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน  เพื่อนส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อทางสายนี้กัน แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่าถ้าเราเลือกเรียนต่อทางนี้ก็จะต้องเสียเวลาไปอีก 4 ปี ต้องเสียเงินค่าเรียน พ่อกับแม่ก็เหนื่อยอีก อีกอย่างท่านก็แก่มากแล้ว สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเลือกเรียนเป็นผู้ช่วยพยาบาล 6 เดือน หลักสูตรเร่งรัด จบแล้วจะได้มีงานทำเลย แล้วตั้งใจไว้ว่าถ้ามีงานทำแล้ว ก็ค่อยเรียนต่อปริญญาตรีเพิ่มเติม เรียนไปทำงานไป เก็บวุฒิปริญญาตรีไว้ใช้เผื่อสมัครงานตำแหน่งใหญ่ในอนาคต
ชีวิตโดดเดี่ยวในเมืองกรุง….
ครั้งแรกที่เราเข้ามาเผชิญชีวิตในเมืองกรุงคนเดียว  นึกถึงตอนนั้น เด็กบ้านนอกมาเรียนกรุงเทพ ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก ขึ้นรถเมล์ก็ลำบาก ขึ้นผิดขึ้นถูก หลงทาง เหนื่อยกายสุดๆช่วงนั้น แต่เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ เหนื่อยใจกับคำพูดดูถูกเหยียดหยาม บั่นทอนจิตใจของคนแถวบ้านนี่สิ บ้างก็ว่าเรียนไม่จบหรอก อย่าไปเลยกรุงเทพ แสงสีมันเยอะ เดี๋ยวก็ได้ผัวกลับมาบ้าง แต่แม่เราก็คอยให้กำลังใจเราตลอดเวลา บอกว่าอย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา ตัวเราเป็นยังไงรู้อยู่แก่ใจ แค่ทำตัวเองให้ดีก็พอแล้ว  คำพูดพวกนี้แหละจะเป็นแรงผลักดันให้เราเอาความสำเร็จกลับไปฝากพ่อและแม่ให้ได้
ลืมบอกไปว่าครั้งแรกแม่เราก็กลัวๆ กล้าๆ เป็นห่วงไม่กล้าให้เรามาเรียนที่กรุงเทพหรอก กลัวว่าเด็กบ้านนอกอย่างเราจะถูกหลอก ไม่ทันคนอื่น แต่บังเอิญมีเพื่อนแถวบ้านที่จะเข้ามาเรียนพอดี แม่ก็ฝากฝังไว้ให้ช่วยดูแลกันอย่าทิ้งกัน แต่สุดท้ายเพื่อนที่ตกลงจะมาด้วยกันตั้งแต่แรก เปลี่ยนใจเรียนต่อที่บ้านกัน เหลือเราคนเดียว ก็นึกในใจว่า เอาไงดีวะ ยังไงก็เสียค่าสมัครไปแล้ว ตั้งใจแล้ว จะให้กลับไปสมัครเรียนแถวบ้านอีกก็เหมือนความตั้งใจที่ตั้งไว้พัง แถมเสียเงินเปล่าๆ เอาวะ เป็นไงเป็นกันลองดูซักตั้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่