(อยากให้คุณได้อ่านเพราะมันอาจทำให้คุณเข้าใจกับโรคซึมเศร้านี้
โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดถูกเปรียบเทียบจากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยที่อยากจะแบ่งปันกับทุกคนให้เข้าใจ)
เช้าในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส หญิงสาวแก้มแดง ผมหยิกยาวยุ่งรุ่งรังลุกขึ้นขยี้ตา บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงของเธอได้สักสองสามนาที ก่อนลุกขึ้นมองแสงเจิดจ้าที่ลอดผ่านผ้าม่านในห้องของเธอที่เหมือนกับพื้นที่หรือโลกส่วนตัวของเธอ แต่เมื่อเธอก้าวออกจากกห้องของเธอ นั่นจะหมายถึงกิจวัตรประจำวันของเธอได้เริ่มขึ้น หลังจากที่เธอทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เธอจะลงไปข้างล่างเพื่อช่วยแม่ของเธอที่วุ่นวายอยู่ในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้เธอและน้อง และหลังจากนั้นแม่ของเธอจะส่งอาหารของน้องมาให้เธอป้อน และหลังจากป้อนอาหารน้องเธอก็ต้องอยู่เล่นกับน้อง
“เฮ้อ หรือเรียกง่ายๆว่า เฝ้าน้อง นั่นเอง”
กิจวัตรประจำวันของเธอมักดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวาแบบวัยรุ่นคนอื่นๆในยุคปัจจุบันที่มักออกไปเดินเล่นตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ซึ่งต่างจากหญิงสาวคนนี้ที่มักใช้ชีวิตไปตามแบบแผนและเป็นไปอย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่บ่อยนักที่เธอจะเลือกเดินออกจากชีวิตประจำวันหรือออกไปทำแบบวัยรุ่นในปัจจุบัน อาจจะเป็นเพราะติดบ้านและรู้สึกเบื่อหน่ายกับการไปเดินทอดน่องแบบไม่มีจุดมุ่งหมายก็เป็นได้
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อครอบครัวของเธอตัดสินใจออกเดินทางไปเที่ยวนอกเมืองกันสักสองสามวันในช่วงวันหยุดยาว ครอบครัวของเธอเลือกที่จะพักในโรงแรมที่รอบล้อมไปด้วยภูเขา ทันทีที่หญิงสาวได้ก้าวเท้าลงจากรถ กลิ่นหญ้า กลิ่นของธรรมชาติที่ยากจะสัมผัสได้ในเมืองหรือย่านชานเมืองอย่างบ้านเธอนัก เธอยืนดื่มด่ำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องไปช่วยพ่อของเธอแบกข้าวของที่พะรุงพะรังนัก ไหนจะเสื้อผ้าของครอบครัว กระเป๋าเล็ก กระเป๋าน้อย เก้าอี้เด็ก เฮ้อ!เอาง่ายๆคือเต็มสองมือกันเลยทีเดียว และค่ำคืนนี้เธอและครอบครัวจะพักกันในกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปจากส่วนกลางของโรงแรมเพื่อความเป็นส่วนตัวและใกล้ชิดธรรมชาติ แค่ไม่น่าเชื่อเลยว่ากิจวัตรของเธอจะเหมือนเดิมแถบทุกอย่าง แตกต่างแค่สถานที่เท่านั้น ช่างน่าขำเสียจริงๆ
แต่แล้วในค่ำคืนนั้นเองหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่กลับได้ยินเสียงบางสิ่งบ้างอย่างอยู่นอกกระท่อมของเธอ เสียงตระกุกตระกัก สร้างความหวาดกลัวให้เธอไม่ใช่น้อย นั่นเสียงอะไรกัน เสียงตระกุกตระกักนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆช่างคล้ายนัก ช่างคล้ายกับเสียงในวัยเด็กที่ทำให้เธอกลัวเสียเหลือเกิน เธอได้แต่คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เธออายุ 23 ปีแล้ว เธอควรที่จะกล้าพอและเปิดประตูออกไปดูว่าเสียงนั้นมันคืออะไร แต่แล้วเมื่อเธอเปิดประตูออกไปกลับไม่พบที่มาของเสียงนั่น ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิม ไม่แตกต่างกับตอนที่เธอเข้ามาที่บ้านพักนี้ครั้งแรก แต่ด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มาของเสียงเธอที่ไม่ได้หยุดเพียงแค่การชะโงกหน้าออกมาดู เธอกลับเดินไปสวมรองเท้าคู่เก่งของเธอเดินออกจากประตูบ้านพักของเธอ แต่ทันทีที่เธอก้าวเท้าทั้งสองข้างมาหยุดที่หน้าประตู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเหมือนเดิม มันกลับเปลี่ยนแปลงไปหมด
“บ้านพักละ ทางเดินละ”
ใช่แล้ว! แม้แต่บ้านพักที่ควรจะอยู่ข้างหลังของเธอ ก็กลับหายไป ในตอนนี้ทุกอย่างที่เธอจำได้ก่อนจะเดินเข้าที่พัก ทางเดิน บ้านพักหลังข้างๆ บ่อน้ำข้างหน้า กลับหายไปหมด หลงเหลือเพียงป่าไม้ที่ดูคุ้นตา เหมือนกับป่าไม้ตอนที่เดินเข้ามา หรือแม้แต่ต้นไม้ข้างบ้านที่เธอเคยเปิดหน้าต่างออกไปดูของเมื่อบ่ายนี้เอง แต่ทำไมทุกอย่างกลับหายไปหมด ตอนนี้รอบกายเธอมีแต่ต้นไม้และยิ่งความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องมานั้น ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในป่าลึก โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทางออกอยู่ทิศทางไหนกัน สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงการเดินไปข้างหน้าอย่างไรทิศทาง เพราะหากจะให้เธอใช้ความรู้ในการดูดาว บอกได้เลยว่ายาก เพราะจินตนาการของเธอช่างน้อยนิดเกิดกว่าจะเดาออกว่าดาวกลุ่มไหนและนำทางไปยังทิศทางใด
ในขณะที่เธอเดินไปข้างหน้าด้วยความกลัวนั้น กลับมีเสียงเดิม เสียงที่นำเธอออกมานอกบ้าน เสียงที่ดังรอบตัวเธอ ยิ่งทวีความกลัวให้แก่ตัวเธอยิ่งนัก แค่เดินหรอ สาวน้อยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าวิธีนี้มันจะดี ถ้าเป็นเช่นนั้นก็
“วิ่งค่ะ”
แม้เธอจะรู้ดีว่ายิ่งวิ่งอาจทำให้เธอยิ่งหลงทาง แต่มันก็ทำให้เสียงนั้นยิ่งหากออกไป เธอวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เธอมีในตอนนี้ เธอวิ่งจนเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนแน่นหน้าอกไปหมดแล้ว สาวน้อยคนนี้ทำได้แค่ก้มหน้าจับเข่าและหอบอย่างเหนื่อยล้า เธอพักเอาแรงก่อนสักพักก่อนจะฮึดเงยหน้าขึ้นมองดูดาวบนฟ้า
“เฮ้อ”
เธอได้แต่คิดในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าเลย ไม่น่าออกจากบ้านพักมาเลย จนทำให้หลงทิศหลงทางได้ขนาดนี้ ตอนนี้ทุกอย่างช่างมืดมึน เมื่อไหร่กันที่ท้องฟ้าจะสว่างเพื่อช่วยเธอหาทางออกจากป่านี้สักที ในตอนนี้เสียงนั้นก็หายไปแล้ว เธอจึงกลับมาเริ่มเดินอย่างช้าๆอีกครั้ง เธอเดินไปพอกลับพยายามข่มความกลัวไว้ในใจ
“ เราต้องออกไปได้ เราต้องหาทางออกเจอ”
เธอได้แต่ท่องในใจไว้อย่างนั้น แต่แหมือโชคชะตาจะไม่เป็นใจ เพราะเมื่อเธอก้าวเท้าไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอกลับตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่
“กรี๊ด”
เธอทำได้แค่กรีดร้อง หากแต่การกรีดร้องของเธอกลับเหมือนช่วยระบายความกลัวของเธอไปได้บ้าง เธอถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยืนขึ้นปัดดินบนตัวเธอและเริ่มสำรวจรอบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะตกลงมาในหลุมที่มีโพรง เป็นถ้ำหรืออะไรสักอย่าง เธอก็ไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆโพรงนั้นไม่ใหญ่นักหรือแทบจะพอที่กับขนาดตัวเล็กๆของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าดูจากความสูงของหลุมที่เธอตกลงมาในตอนนี้ เธอก็ไม่มีทางเลือกมากนั้น เพราะส่วนสูงแค่ร้อยห้าสิบกว่าของเธอ ต่อให้กระโดดหรือเขย่งสุดปลายเท้ามือของเธอยังถึงแค่ครึ่งหลุมเอง ดังนั้นเธอจึงได้แต่ถอนหายใจและอยากจะกรีดดังเพื่อฮึดสู้ ร่วมทั้งข่มความกลัวในใจของเธอ เพราะการที่เธอจะมุดเข้าไปในโพรงนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะไปเจอกับอะไร มันจะใช่ทางออกหรือไม่ ในโพรงรอบนี้ๆน่าจะเป็นดินร่วนที่พอจะมีความชื้นพอที่จะทำให้เธอรู้สึกสบายบ้าง พอจะมีอาการที่ถ่ายเทพอให้เธอหายใจหายคอได้บ้าง แม้จะมีบ้างช่วงที่เธอจะอึดอัดก็ตาม เธอค่อยๆคลานเข้าไปและคลานต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงหลุมอีกหลุมที่มันน่าจะเชื่อมกันหากแต่หลุมนี้ดีขึ้นหน่อยตรงที่ไม่ลึกเท่ากันหลุมที่เธอตกมาในครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสูงไปสำหรับเธอ
“เฮ้อ”
กลอกตามองบนได้ไหม มันจะอะไรกันนักกันหนา สาวน้อยได้แต่คิดในใจ และเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอจึงทำได้แต่ทรุดตัวลงนั่งมองปากหลุม ที่ไม่มีโพรงให้เธอได้มุดต่อไปข้างหน้า เธอทำได้แค่มองๆมองและมองมันเอาไว้อย่างนี้ เมื่อไหร่กันที่ฟ้าจะสว่าง เธอแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ามืดสนิทแต่กลับไม่มีวี่แววแม้แต่แสงรำไรของพระอาทิตย์ยามเช้า มีแต่เพียงความมืดเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเธอ
“นี่มันอะไรกัน”
เธอได้แต่คิด คิด เบื้องบนต้องการให้ฉันแก้โจทย์อะไรบางอย่างรึป่าว ถึงทำให้เกิดเรื่องประหลาด จะว่ามหัศจรรย์ก็ไม่เชิง เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอเลย แต่กลับจะทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำไป ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ไหลวนไปวนมาอยู่ในหัวเธอ เธออยากจะสะบัดมันออกเพื่อฮึดสู้ แต่เธอสะบัดเท่าไหร่มันก็ยังไม่ออกไป เธอจึงเริ่มปัดป่าย ไปมาในโพรงนั้นเพื่อระบายความบ้าบอนี้ออกไปบ้าง แต่แล้วเธอกลับปัดไปโดนเหมือนรากไม้ชนิดหนึ่ง เธอค่อยปัดดูรากไม้นั้นและยิ่งเธอปัดไปลึกจนสามารถดึงรากไม้นั้นออกมาได้ เธอพบว่ามีป้ายที่ติดอยู่กับรากไม้
“มันดีต่อเธอนะสาวน้อย”
มันคืออะไรกัน แล้วทำไมถึงมามีป้ายมาติดอยู่กับรากไม้เช่นนี้ อย่างนี้แปลว่าเคยมีคนมาที่นี่ใช่ไหม ไม่น่าเชื่อว่าแค่รากไม้กลับทำให้เธอใจชื้นขึ้นมาได้มากโข จากที่มีแต่ความกลัว ความมืดมน ตอนนี้เธอเริ่มที่จะมีหวังว่าเธอจะได้ออกจากป่าประหลาดนี้กันเสียที แต่รากไม้นี้จะทำยังไงกับมันละ
“มันจะดีต่อฉันหรอๆๆๆ”
สาวน้อยกลอกตาไปมาและใช้ความคิดว่าเธอจะทำอะไรกับเจ้ารากไม้นี้ และแล้วเธอจึงตัดสินใจกัดเข้าไปที่ปลายของรากไม้เข้าไปทีนิดเดียว
“คึกคึกๆ”
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เธอกัดรากไม้ไปนิดหน่อยพื้นดินในหลุดที่เธอยืนอยู่กลับเคลื่อนขึ้นมาจนเท่ากับพื้นดินข้างบน
“เย้”
สาวน้อยได้แต่ยิ้มกับการกลับขึ้นมาบนพื้นอีกครั้ง แต่แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเธอได้ไม่นาน เธอก็กลับมาถอนหายใจต่อ เพราะข้างหน้าเธอตอนนี้ก็กลับมาเป็นเช่นเดิมคือ ต้นไม้ ต้นไม้และต้นไม้ แต่จะทำอย่างไรได้ละ เธอคิดในใจ เธอขอเลือกที่จะเดินอย่างไร้ทิศทางดีกว่านั่งอยู่เฉยๆเพื่อรอใครมาช่วย ดังนั้นเธอค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ
“กรี๊ด”
รากไม้ที่มีหนามแหลมคมมาจากต้นไม้ที่เธอกำลังยืนอยู่ข้างๆกลับค่อยพันขาเธอทีละน้อย เธอพยายามจะเอาออกเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะทั้งหนามคมและความหนาของรากไม้ที่ยากจะดึงให้มันขาด และไม่น่าเชื่อเพียงเสี้ยวนาทีมันกลับพันขึ้นมาถึงบนลำตัวเธอ และหยุดลง สภาพเธอในตอนนี้เหมือนดักแด้ แต่ไม่ใช่ดักแด้ที่ถูกพันด้วยใยนุ่มๆ หากแต่เป็นรากหนามขนาดใหญ่ ที่เมื่อเธอขยับหนามเหล่านั้นจะทิ่มแทงเธอ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าแม้เธอจะขยับเพียงเล็กน้อย รากหนามเหล่านั้นกลับค่อยๆคลายตัวออกจากตัวเอง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงมีทางเลือกแค่ จะนอนอยู่เฉยๆเพื่อไม่หนามทิ่มแต่ต้องติดอยู่ในนี้ หรือทนเจ็บเพื่อหลุดออกจากรากหนามนี้ และแน่นอนว่าเธอเลือกที่เจ็บเพื่อหลุดออกจากรากหนามนี้
“อ๊าก”
หนามเหล่านั้นทิ่มแทงเธอ รวมทั้งกรีดแขนเธอ กว่าเธอจะหลุดออกมาได้ ทำเอาซะเนื้อตัวเธอเต็มไปด้วยรอยแผลมากมาย เลือดที่ค่อยๆซึมออกมาที่ขาและแขนเธอช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก แต่ยังดีที่หนามเหล่านั้นไม่ได้กรีดเข้าไปลึกพอที่จะทำให้เธอเลือดออกมากหรือเสียเลือดมากจนอาจตายได้ เฮ้อ ตอนนี้ร่างกายของเธอล้าเกิดพอแล้ว เธออยากจะพักเอาแรงก่อนจะเริ่มเดินต่อไป และไม่แน่หากเธอหลับสักตื่น ตอนนั้นอาจจะเช้าแล้วก็ได้ และจะพักที่ไหนดีละ สาวน้อยได้แต่มองไปรอบๆเพื่อหาที่ปลอดภัยพอที่จะทำให้เธอผ่านค่ำคืนนี้ได้
“บนต้นไม้”
ดูเหมือนเธอจะมีนิทานเรื่องหมีติดใจเธอ และน่าขำที่เธอก็เชื่อมัน เธอคิดว่าบนต้นไม้คงจะปลอดภัยพอที่จะทำให้เธอรอดจากสัตว์ป่าที่อาจจะออกมาตอนไหนก็ได้ และนี่เองเธอจึงค่อยๆปืนป่ายขึ้นไปทั้งที่เหนื่อยตัวเธอยังคงมีบาดแผลอยู่ แต่ตอนนี้เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือ นอนพักเอาแรงเสียหน่อย และเมื่อเธอจัดแจงที่ทางพอที่จะพักพิงได้และความเหนื่อยที่เธอผจญมาในวันนี้จึงทำให้เธอผล่อยหลับไปอย่างง่ายได้
“คงเช้าแล้วสินะ”
ฉันหรือป่าที่อาถรรพ์
โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดถูกเปรียบเทียบจากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยที่อยากจะแบ่งปันกับทุกคนให้เข้าใจ)
เช้าในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส หญิงสาวแก้มแดง ผมหยิกยาวยุ่งรุ่งรังลุกขึ้นขยี้ตา บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงของเธอได้สักสองสามนาที ก่อนลุกขึ้นมองแสงเจิดจ้าที่ลอดผ่านผ้าม่านในห้องของเธอที่เหมือนกับพื้นที่หรือโลกส่วนตัวของเธอ แต่เมื่อเธอก้าวออกจากกห้องของเธอ นั่นจะหมายถึงกิจวัตรประจำวันของเธอได้เริ่มขึ้น หลังจากที่เธอทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เธอจะลงไปข้างล่างเพื่อช่วยแม่ของเธอที่วุ่นวายอยู่ในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้เธอและน้อง และหลังจากนั้นแม่ของเธอจะส่งอาหารของน้องมาให้เธอป้อน และหลังจากป้อนอาหารน้องเธอก็ต้องอยู่เล่นกับน้อง
“เฮ้อ หรือเรียกง่ายๆว่า เฝ้าน้อง นั่นเอง”
กิจวัตรประจำวันของเธอมักดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวาแบบวัยรุ่นคนอื่นๆในยุคปัจจุบันที่มักออกไปเดินเล่นตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ซึ่งต่างจากหญิงสาวคนนี้ที่มักใช้ชีวิตไปตามแบบแผนและเป็นไปอย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่บ่อยนักที่เธอจะเลือกเดินออกจากชีวิตประจำวันหรือออกไปทำแบบวัยรุ่นในปัจจุบัน อาจจะเป็นเพราะติดบ้านและรู้สึกเบื่อหน่ายกับการไปเดินทอดน่องแบบไม่มีจุดมุ่งหมายก็เป็นได้
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อครอบครัวของเธอตัดสินใจออกเดินทางไปเที่ยวนอกเมืองกันสักสองสามวันในช่วงวันหยุดยาว ครอบครัวของเธอเลือกที่จะพักในโรงแรมที่รอบล้อมไปด้วยภูเขา ทันทีที่หญิงสาวได้ก้าวเท้าลงจากรถ กลิ่นหญ้า กลิ่นของธรรมชาติที่ยากจะสัมผัสได้ในเมืองหรือย่านชานเมืองอย่างบ้านเธอนัก เธอยืนดื่มด่ำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องไปช่วยพ่อของเธอแบกข้าวของที่พะรุงพะรังนัก ไหนจะเสื้อผ้าของครอบครัว กระเป๋าเล็ก กระเป๋าน้อย เก้าอี้เด็ก เฮ้อ!เอาง่ายๆคือเต็มสองมือกันเลยทีเดียว และค่ำคืนนี้เธอและครอบครัวจะพักกันในกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ห่างออกไปจากส่วนกลางของโรงแรมเพื่อความเป็นส่วนตัวและใกล้ชิดธรรมชาติ แค่ไม่น่าเชื่อเลยว่ากิจวัตรของเธอจะเหมือนเดิมแถบทุกอย่าง แตกต่างแค่สถานที่เท่านั้น ช่างน่าขำเสียจริงๆ
แต่แล้วในค่ำคืนนั้นเองหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่กลับได้ยินเสียงบางสิ่งบ้างอย่างอยู่นอกกระท่อมของเธอ เสียงตระกุกตระกัก สร้างความหวาดกลัวให้เธอไม่ใช่น้อย นั่นเสียงอะไรกัน เสียงตระกุกตระกักนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆช่างคล้ายนัก ช่างคล้ายกับเสียงในวัยเด็กที่ทำให้เธอกลัวเสียเหลือเกิน เธอได้แต่คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เธออายุ 23 ปีแล้ว เธอควรที่จะกล้าพอและเปิดประตูออกไปดูว่าเสียงนั้นมันคืออะไร แต่แล้วเมื่อเธอเปิดประตูออกไปกลับไม่พบที่มาของเสียงนั่น ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิม ไม่แตกต่างกับตอนที่เธอเข้ามาที่บ้านพักนี้ครั้งแรก แต่ด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มาของเสียงเธอที่ไม่ได้หยุดเพียงแค่การชะโงกหน้าออกมาดู เธอกลับเดินไปสวมรองเท้าคู่เก่งของเธอเดินออกจากประตูบ้านพักของเธอ แต่ทันทีที่เธอก้าวเท้าทั้งสองข้างมาหยุดที่หน้าประตู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเหมือนเดิม มันกลับเปลี่ยนแปลงไปหมด
“บ้านพักละ ทางเดินละ”
ใช่แล้ว! แม้แต่บ้านพักที่ควรจะอยู่ข้างหลังของเธอ ก็กลับหายไป ในตอนนี้ทุกอย่างที่เธอจำได้ก่อนจะเดินเข้าที่พัก ทางเดิน บ้านพักหลังข้างๆ บ่อน้ำข้างหน้า กลับหายไปหมด หลงเหลือเพียงป่าไม้ที่ดูคุ้นตา เหมือนกับป่าไม้ตอนที่เดินเข้ามา หรือแม้แต่ต้นไม้ข้างบ้านที่เธอเคยเปิดหน้าต่างออกไปดูของเมื่อบ่ายนี้เอง แต่ทำไมทุกอย่างกลับหายไปหมด ตอนนี้รอบกายเธอมีแต่ต้นไม้และยิ่งความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องมานั้น ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในป่าลึก โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทางออกอยู่ทิศทางไหนกัน สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงการเดินไปข้างหน้าอย่างไรทิศทาง เพราะหากจะให้เธอใช้ความรู้ในการดูดาว บอกได้เลยว่ายาก เพราะจินตนาการของเธอช่างน้อยนิดเกิดกว่าจะเดาออกว่าดาวกลุ่มไหนและนำทางไปยังทิศทางใด
ในขณะที่เธอเดินไปข้างหน้าด้วยความกลัวนั้น กลับมีเสียงเดิม เสียงที่นำเธอออกมานอกบ้าน เสียงที่ดังรอบตัวเธอ ยิ่งทวีความกลัวให้แก่ตัวเธอยิ่งนัก แค่เดินหรอ สาวน้อยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าวิธีนี้มันจะดี ถ้าเป็นเช่นนั้นก็
“วิ่งค่ะ”
แม้เธอจะรู้ดีว่ายิ่งวิ่งอาจทำให้เธอยิ่งหลงทาง แต่มันก็ทำให้เสียงนั้นยิ่งหากออกไป เธอวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เธอมีในตอนนี้ เธอวิ่งจนเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนแน่นหน้าอกไปหมดแล้ว สาวน้อยคนนี้ทำได้แค่ก้มหน้าจับเข่าและหอบอย่างเหนื่อยล้า เธอพักเอาแรงก่อนสักพักก่อนจะฮึดเงยหน้าขึ้นมองดูดาวบนฟ้า
“เฮ้อ”
เธอได้แต่คิดในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าเลย ไม่น่าออกจากบ้านพักมาเลย จนทำให้หลงทิศหลงทางได้ขนาดนี้ ตอนนี้ทุกอย่างช่างมืดมึน เมื่อไหร่กันที่ท้องฟ้าจะสว่างเพื่อช่วยเธอหาทางออกจากป่านี้สักที ในตอนนี้เสียงนั้นก็หายไปแล้ว เธอจึงกลับมาเริ่มเดินอย่างช้าๆอีกครั้ง เธอเดินไปพอกลับพยายามข่มความกลัวไว้ในใจ
“ เราต้องออกไปได้ เราต้องหาทางออกเจอ”
เธอได้แต่ท่องในใจไว้อย่างนั้น แต่แหมือโชคชะตาจะไม่เป็นใจ เพราะเมื่อเธอก้าวเท้าไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอกลับตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่
“กรี๊ด”
เธอทำได้แค่กรีดร้อง หากแต่การกรีดร้องของเธอกลับเหมือนช่วยระบายความกลัวของเธอไปได้บ้าง เธอถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยืนขึ้นปัดดินบนตัวเธอและเริ่มสำรวจรอบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะตกลงมาในหลุมที่มีโพรง เป็นถ้ำหรืออะไรสักอย่าง เธอก็ไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆโพรงนั้นไม่ใหญ่นักหรือแทบจะพอที่กับขนาดตัวเล็กๆของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าดูจากความสูงของหลุมที่เธอตกลงมาในตอนนี้ เธอก็ไม่มีทางเลือกมากนั้น เพราะส่วนสูงแค่ร้อยห้าสิบกว่าของเธอ ต่อให้กระโดดหรือเขย่งสุดปลายเท้ามือของเธอยังถึงแค่ครึ่งหลุมเอง ดังนั้นเธอจึงได้แต่ถอนหายใจและอยากจะกรีดดังเพื่อฮึดสู้ ร่วมทั้งข่มความกลัวในใจของเธอ เพราะการที่เธอจะมุดเข้าไปในโพรงนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะไปเจอกับอะไร มันจะใช่ทางออกหรือไม่ ในโพรงรอบนี้ๆน่าจะเป็นดินร่วนที่พอจะมีความชื้นพอที่จะทำให้เธอรู้สึกสบายบ้าง พอจะมีอาการที่ถ่ายเทพอให้เธอหายใจหายคอได้บ้าง แม้จะมีบ้างช่วงที่เธอจะอึดอัดก็ตาม เธอค่อยๆคลานเข้าไปและคลานต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงหลุมอีกหลุมที่มันน่าจะเชื่อมกันหากแต่หลุมนี้ดีขึ้นหน่อยตรงที่ไม่ลึกเท่ากันหลุมที่เธอตกมาในครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสูงไปสำหรับเธอ
“เฮ้อ”
กลอกตามองบนได้ไหม มันจะอะไรกันนักกันหนา สาวน้อยได้แต่คิดในใจ และเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เธอจึงทำได้แต่ทรุดตัวลงนั่งมองปากหลุม ที่ไม่มีโพรงให้เธอได้มุดต่อไปข้างหน้า เธอทำได้แค่มองๆมองและมองมันเอาไว้อย่างนี้ เมื่อไหร่กันที่ฟ้าจะสว่าง เธอแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ามืดสนิทแต่กลับไม่มีวี่แววแม้แต่แสงรำไรของพระอาทิตย์ยามเช้า มีแต่เพียงความมืดเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเธอ
“นี่มันอะไรกัน”
เธอได้แต่คิด คิด เบื้องบนต้องการให้ฉันแก้โจทย์อะไรบางอย่างรึป่าว ถึงทำให้เกิดเรื่องประหลาด จะว่ามหัศจรรย์ก็ไม่เชิง เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอเลย แต่กลับจะทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำไป ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ไหลวนไปวนมาอยู่ในหัวเธอ เธออยากจะสะบัดมันออกเพื่อฮึดสู้ แต่เธอสะบัดเท่าไหร่มันก็ยังไม่ออกไป เธอจึงเริ่มปัดป่าย ไปมาในโพรงนั้นเพื่อระบายความบ้าบอนี้ออกไปบ้าง แต่แล้วเธอกลับปัดไปโดนเหมือนรากไม้ชนิดหนึ่ง เธอค่อยปัดดูรากไม้นั้นและยิ่งเธอปัดไปลึกจนสามารถดึงรากไม้นั้นออกมาได้ เธอพบว่ามีป้ายที่ติดอยู่กับรากไม้
“มันดีต่อเธอนะสาวน้อย”
มันคืออะไรกัน แล้วทำไมถึงมามีป้ายมาติดอยู่กับรากไม้เช่นนี้ อย่างนี้แปลว่าเคยมีคนมาที่นี่ใช่ไหม ไม่น่าเชื่อว่าแค่รากไม้กลับทำให้เธอใจชื้นขึ้นมาได้มากโข จากที่มีแต่ความกลัว ความมืดมน ตอนนี้เธอเริ่มที่จะมีหวังว่าเธอจะได้ออกจากป่าประหลาดนี้กันเสียที แต่รากไม้นี้จะทำยังไงกับมันละ
“มันจะดีต่อฉันหรอๆๆๆ”
สาวน้อยกลอกตาไปมาและใช้ความคิดว่าเธอจะทำอะไรกับเจ้ารากไม้นี้ และแล้วเธอจึงตัดสินใจกัดเข้าไปที่ปลายของรากไม้เข้าไปทีนิดเดียว
“คึกคึกๆ”
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เธอกัดรากไม้ไปนิดหน่อยพื้นดินในหลุดที่เธอยืนอยู่กลับเคลื่อนขึ้นมาจนเท่ากับพื้นดินข้างบน
“เย้”
สาวน้อยได้แต่ยิ้มกับการกลับขึ้นมาบนพื้นอีกครั้ง แต่แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเธอได้ไม่นาน เธอก็กลับมาถอนหายใจต่อ เพราะข้างหน้าเธอตอนนี้ก็กลับมาเป็นเช่นเดิมคือ ต้นไม้ ต้นไม้และต้นไม้ แต่จะทำอย่างไรได้ละ เธอคิดในใจ เธอขอเลือกที่จะเดินอย่างไร้ทิศทางดีกว่านั่งอยู่เฉยๆเพื่อรอใครมาช่วย ดังนั้นเธอค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ
“กรี๊ด”
รากไม้ที่มีหนามแหลมคมมาจากต้นไม้ที่เธอกำลังยืนอยู่ข้างๆกลับค่อยพันขาเธอทีละน้อย เธอพยายามจะเอาออกเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะทั้งหนามคมและความหนาของรากไม้ที่ยากจะดึงให้มันขาด และไม่น่าเชื่อเพียงเสี้ยวนาทีมันกลับพันขึ้นมาถึงบนลำตัวเธอ และหยุดลง สภาพเธอในตอนนี้เหมือนดักแด้ แต่ไม่ใช่ดักแด้ที่ถูกพันด้วยใยนุ่มๆ หากแต่เป็นรากหนามขนาดใหญ่ ที่เมื่อเธอขยับหนามเหล่านั้นจะทิ่มแทงเธอ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าแม้เธอจะขยับเพียงเล็กน้อย รากหนามเหล่านั้นกลับค่อยๆคลายตัวออกจากตัวเอง ดังนั้นตอนนี้เธอจึงมีทางเลือกแค่ จะนอนอยู่เฉยๆเพื่อไม่หนามทิ่มแต่ต้องติดอยู่ในนี้ หรือทนเจ็บเพื่อหลุดออกจากรากหนามนี้ และแน่นอนว่าเธอเลือกที่เจ็บเพื่อหลุดออกจากรากหนามนี้
“อ๊าก”
หนามเหล่านั้นทิ่มแทงเธอ รวมทั้งกรีดแขนเธอ กว่าเธอจะหลุดออกมาได้ ทำเอาซะเนื้อตัวเธอเต็มไปด้วยรอยแผลมากมาย เลือดที่ค่อยๆซึมออกมาที่ขาและแขนเธอช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก แต่ยังดีที่หนามเหล่านั้นไม่ได้กรีดเข้าไปลึกพอที่จะทำให้เธอเลือดออกมากหรือเสียเลือดมากจนอาจตายได้ เฮ้อ ตอนนี้ร่างกายของเธอล้าเกิดพอแล้ว เธออยากจะพักเอาแรงก่อนจะเริ่มเดินต่อไป และไม่แน่หากเธอหลับสักตื่น ตอนนั้นอาจจะเช้าแล้วก็ได้ และจะพักที่ไหนดีละ สาวน้อยได้แต่มองไปรอบๆเพื่อหาที่ปลอดภัยพอที่จะทำให้เธอผ่านค่ำคืนนี้ได้
“บนต้นไม้”
ดูเหมือนเธอจะมีนิทานเรื่องหมีติดใจเธอ และน่าขำที่เธอก็เชื่อมัน เธอคิดว่าบนต้นไม้คงจะปลอดภัยพอที่จะทำให้เธอรอดจากสัตว์ป่าที่อาจจะออกมาตอนไหนก็ได้ และนี่เองเธอจึงค่อยๆปืนป่ายขึ้นไปทั้งที่เหนื่อยตัวเธอยังคงมีบาดแผลอยู่ แต่ตอนนี้เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือ นอนพักเอาแรงเสียหน่อย และเมื่อเธอจัดแจงที่ทางพอที่จะพักพิงได้และความเหนื่อยที่เธอผจญมาในวันนี้จึงทำให้เธอผล่อยหลับไปอย่างง่ายได้
“คงเช้าแล้วสินะ”