“ฝ่ามือสลายรัก”ของน้าชาย
”ป้าปเดียว”ที่กลางหลังของผม
ยังคงส่งอานุภาพทำให้ผม
”ไม่อยากจะรักใคร”ไปอีกประมาณปีกว่าๆ
มันทำให้ผมเลิกสนใจโบว์
(และนมโตๆของพี่สาวโบว์)
มาหมกมุ่นอยู่กับการเขี่ยไพ่ และเกมส์กด ได้อย่างกับปาฏิหารย์
แต่มันต้านทานความรุนแรงของฮอร์โมนเพศชายไว้ได้แค่ไม่นาน
ความรักของผมก็ผลิบานขึ้นอีกครั้ง ...
(ความเดิมตอนที่แล้ว http://pantip.com/topic/35000577)
สมัยป.6 นั้นเป็นช่วงที่ผมต้องตัดสินใจแล้วว่า
เราจะเป็น
”ลูกผู้ชาย”สายไหนดี !?!?
ซึ่งตอนนั้นมันมีให้เลือกอยู่ 4 เหล่าเท่านั้น
เหล่าแรก ใหญ่สุดและเยอะสุดคือ
”สายแข็ง”
เด็กที่ชอบเล่นรถแข่ง เล่นต่อสู้ ส่วนใหญ่พวกนี้โตไปจะกลายเป็นสายแข็งเกือบหมด
สายแข็งคือพวกเด็กน้อยที่เริ่มใส่เยลทำผมตั้ง ๆ
เอาที่คาดผมมาคาดทั้งๆที่ผมตรงหัวด้านหลังก็ยังเกรียนมาก
ชอบตั้งกลุ่ม ตั้งแก๊งไถตังหรือดักตบลูกผู้ชายสายอื่นๆ
เริ่มริลองบุหรี่ และ การพนันปั่นแปะ
เมื่อไม่พอใจใครก็จะท้าชก ไม่ก็ยกพวกตีกัน
ทำตัวเหมือนอยากจะโตเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา
ทั้งๆที่ยังมีวัยวุฒินำหน้าเป็นคำว่า
“เด็กชาย”
เหล่าที่สองคือ
“สายเนิร์ด” หรือเด็กเรียนนั่นแหละ
พวกนี้คือพวกเด็กหน้าห้อง นั่งจ้องกระดาน การบ้านเรียบร้อย มีเพื่อนน้อย แต่สอบได้คะแนนเยอะ
ส่วนมากบ้านรวย คุณพ่อ คุณแม่ขับรถมารับมาส่ง ... เสาร์ อาทิตย์ ต้องไปเรียนพิเศษ
มีจำนวนน้อยที่สุด แต่โดนพวกสายแข็งดักตบและไถตังบ่อยที่สุด
เหล่าที่สามคือ
“สายฮา” หรือเด็กธรรมดาหลังห้อง
พวกนี้เป็นพวกเน้นบันเทิง รักสงบ ไม่ต่อยดีกับใคร
วันๆมีแค่เรื่องคุย มุกตลก ขนม ของเล่นและเกมส์กด
บางคนก็กลายไปเป็น
”ลิ่วล้อ”ไอพวกสายแข็ง ... คอยเดินซื้อน้ำซื้อหนมให้
บางคนก็ยอมเป็นเบ๊เค้าเพื่อหวังแค่ว่าตัวเองจะได้ไม่โดนตบหรือไถตังเหมือนไอพวกสายเนิร์ด
และเหล่าสุดท้ายคือ
“สายเหลือง” ... พวกนี้โตมาจะกลายเป็นผู้ชายมีนม
ทุกโรงเรียนไม่ว่าจะโรงเรียนสหฯ หรือโรงเรียนชายล้วน จะมีพวกสายเหลืองปะปนอยู่เสมอ
ผมไม่อธิบายนะ ... เชื่อว่าหลายๆคนคงเข้าใจ
.....................................................................................................................
ตอนนั้นใจลึกๆ ผมรู้ตัวครับ ว่าผมสามารถอยู่สายแข็งได้
แต่ผมไม่ชอบระบบ
”กฎหมู่”ที่เด็กสายแข็งชอบทำสืบทอดกันมาแบบไม่มีเหตุผล
เช่นไปไหนก็ต้องยกโขยงกันไป ... กินอะไรก็ต้องกินคล้ายๆกัน
มีการแบ่งวรรณะ คนนั้นเก๋า คนนี้เก่ง คนโน้นหัวหน้า คนนู้นลูกน้อง
ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่ชอบ ... และไม่เห็นว่ามันจะ
”เท่ห์”ตรงไหน
ผมเลยตัดสินใจ เลือกเหล่าให้ตัวเองมาอยู่
”สายฮา”
เพราะผมไม่ใช่เด็กเรียนเก่งนั่งหน้าห้อง
และผมก็ไม่ใช่เด็กที่ชอบจ้องจับตูดเพื่อนๆเพศเดียวกัน
อีกอย่างคือ ผมมีความเชื่อตั้งแต่เด็กๆแล้วว่า
“มุกตลกเจ๋งๆ”นั้นมีพลังมากกว่า
”กำปั้นแข็งๆ”มากมายนัก
มุกตลกสร้างมิตรภาพได้ ... เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้ง่าย
ผมมักรอดตัวจากการโดนไถตังมาได้ด้วยการ
”เล่นมุก”อยู่เสมอ
.......................................................................................................
การมาอยู่กับพวกเพื่อนสายฮา ทำให้ผมสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อ
“ไอลิง ศุภรัตน์”
ผมกับไอลิงนั่งติดกันตลอด 4 เทอมในตอนป.5 ถึงป.6
เรามักเอาขนมมาแบ่งกันกิน เอาการ์ตูนมาแบ่งกันอ่าน
หัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนจนโดนครูเรียกมาตีทั้งคู่อยู่เป็นประจำ
ผมสนิทกับไอลิงมาเกือบปีครึ่ง ถึงได้รู้ว่ามันมีน้องสาวอยู่ชั้นป.4
แรกทีเดียวผมก็ไม่ได้สนอะไร เพราะยังฝังใจกับเรื่องน้องโบว์และ
”ฝ่ามือสลายรัก”ของน้าอยู่
แต่เย็นวันหนึ่งที่ผม ข้ามฝั่งมาส่งไอลิงที่รถโรงเรียน ....
ผมก็ได้พบกับ
”น้องบุ๊ค” น้องสาวแท้ๆของไอลิงเป็นครั้งแรก
แล้วผมก็ยืนอึ้งทึ่งในความน่ารักของน้องบุ๊คอยู่พักนึง
จนเหมือนไอลิงจะจับได้ว่าเราชอบน้องสาวมัน
อารมณ์ตอนนั้นมันต่างจากตอนที่ยืนตะลึงจ้องนมโตๆของพี่สาวโบว์
น้องบุ๊คเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยังไม่มีนม ...
แต่มีผม และดวงตาวาวโต ที่เป็น
”สีน้ำตาลเข้ม”อย่างเป็นธรรมชาติ
น้องตัวเล็กผอม ผิวขาวซีด แต่มีริมฝีปากสีชมพูสดเหมือนทาลิปสติก
มีสีผม และสีผิว ที่ออกไปทางลูกครึ่งฝรั่ง
(ต่างจากไอลิงพี่ชายของเธอที่ขาวเหลืองๆออกไปทางเชื้อสายจีน)
ผมได้ไม่สนใจเลยว่า โตไปน้องบุ๊คจะสวยและนมโตมากขึ้นกว่านี้ได้อีกมั้ย
เพราะน้องบุ๊คที่ผมเห็นในตอนนั้น
“สวย น่ารักและเลอค่ามากพอแล้ว”
ผมเข้าไปคุยเล่นกับน้องบุ๊คในฐานะเพื่อนของพี่ชายเธอ
บางทีก็ซื้อน้ำ ซื้อหนมไปฝาก
ตกเย็นเลิกเรียนทีไร ก็จะดิ่งจากโรงเรียนฝั่งชาย ไปฝั่งหญิง
(โรงเรียนชายล้วนที่ผมเรียน มีโรงเรียนหญิงล้วนตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ซึ่งน้องบุ๊คเค้าเรียนอยู่โรงเรียนนั้น)
บอกไอลิงว่าไปหาอะไรอร่อยๆกินฝั่งหญิงกัน
(ทั้งๆที่จริงๆแล้วฝั่งชายนั้นมีของขายเยอะกว่า)
พอเจอหน้าน้องบุ๊คผมก็ยิ้มกริ่มมีความสุขอยู่คนเดียว จนไอลิงเริ่มจะเห็นพฤติกรรมชัดเจนขึ้น
มันเห็นผมหัดกระโดดยาง ... มันเห็นผมหัดเล่นหมากเก็บ ... มันเห็นผมเล่นตุ๊กตากระดาษ
และทุกๆกิจกรรมที่ผมทำ จะมี
”น้องสาวของมัน”แนบชิดอยู่เคียงข้างผมเสมอ
สารภาพตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่ได้คิดจะ
”จีบ”น้องบุ๊คมาเป็นแฟนแต่อย่างใด
ผมรู้ว่าทั้งตัวผมเอง และตัวน้องเค้าก็ยัง
”เด็กเกินไปมากๆ”ที่จะคิดเรื่องแฟน เรื่องชู้สาว
แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ...ผมหลงสเน่ห์เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้เข้าอย่างจัง
และผม
”มีความสุข”ทุกๆครั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ ...
ทั้งๆที่เธอก็คงมองว่าผมเป็นแค่พี่ชายตลกๆและใจดีคนหนึ่งเท่านั้น
........................................................................................................
เย็นวันหนึ่งผมแกล้งแย็ปถามไอลิงไปว่า
“ถ้าน้องโต กูขอจีบได้ป่าววะ”
ไอลิงหันขวับมามองหน้าผม ทำตาขวางบอก
“อย่ามายุ่งกับน้องกูไอนะสลัด”
เหมือนว่าประโยคที่ผมถามไอลิง คือสิ่งที่มันติดใจสงสัยมานาน
ว่าจริงๆแล้ว
”ผมเป็นตุ๊ด”หรือ
”ผมทำเป็นสนิทกับเด็กผู้หญิงป.4เพื่อจีบน้องสาวมันกันแน่”
พอผลออกมากลายเป็นว่า ผมแอบชอบน้องสาวมัน
มันก็เลยเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยทำกับผมทันที ...
เช้าวันรุ่งขึ้นแม้จะนั่งติดกัน แต่มันก็ไม่พูดกับผมสักคำ
ผมพยายามบอกให้มันสบายใจว่า
“เรื่องที่จะจีบน้องสาวเมื่อวานอ่ะกูล้อเล่น”
แต่ก็ไม่เป็นผล ... เพราะสิ่งที่ผมทำให้มันเห็นมาสักพัก ยืนยันได้แล้วว่า
“ผมชอบน้องสาวมันจริงๆ ... ไม่ได้ล้อเล่น”
ผมพยายามง้อมันไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่เป็นผล ... จนในที่สุดก็หมดความอดทน
อยู่ดีวิญญาณ
”เด็กสายแข็ง”เข้ามาสิง ผมดันท้าไอลิงต่อยซะงั้น ?!?!
คือมันคิดอะไรไม่ออก ... อยากให้เพื่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่มันก็ไม่เป็น
ในเมื่อไม่พอใจ
“มาต่อยกับกูเลยมั้ยอ่ะ”
แล้วไอลิงก็ไม่ยอมเสียเชิงชาย
ลุกขึ้นมาปกป้องน้องสาวจากไอ้ลุงร้ายด้วยการรับคำท้าของผมซะงั้น
เย็นวันนั้นเลยมีเพื่อนๆร่วมเป็นศักขีพยานการชกระหว่าง
“ไอลุง”กับ
”ไอลิง”
โดยไม่ได้มีเชี่ยอะไรเลยเป็นเดิมพัน ... น้องสาวมันก็ไม่ได้รู้เรื่อง ... อารมณ์ล้วนๆ
ไอลิงเนี่ย ... ผมเรียนห้องเดียวกับมันมาตั้งแต่อนุบาล
แต่เพิ่งจะมาเริ่มสนิทก็ตอนเข้าป.5 ...
เห็นมาตลอดว่ามันเป็นเด็กต๊องๆ ไม่เคยได้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งต่อยตีอะไรกับใคร
ต่างจากผมที่เคยต่อยกับ
”ไอชัยรัตน์”มาแล้วหนึ่งไฟต์
และต่อยกับ
”ไอสันติภาพ”(หลานอาจารย์ใหญ่)มาแล้วถึงสองไฟต์
คือเรื่องการชกเนี่ย ผมมีประสบการณ์มากกว่าไอลิงแน่นอน ...
ตกเย็นเลิกเรียน ถึงเวลานัดชก ...
บอกตรงๆว่าตอนนั้นมันไม่ได้อยากต่อยกับไอลิงเลย
ที่พูดไปว่า
“ต่อยกับกูเลยมั้ย” มันก็ไม่ได้มาจากความโกรธแค้น
แต่อยากให้เพื่อนที่เรารักและสนิทมากที่สุดในรอบสองปีนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมมากกว่า
ไอลิงยังคงยืนจ้องหน้าผมตาเขม็ง
ก่อนมันจะวิ่งมากระโดดถีบแบบ
”ไม่เป็นมวย”
ผมรู้ละว่าไอลิงเอาจริง ต่อยก็ต่อยวะ ... แต่ช็อตแรกมันถีบพลาดไง ... ไม่โดน
พอเสียหลักหันหน้ากลับมาก็เรียบร้อย โดนผมสอยไปแบบไม่ขอลงรายละเอียด
............................................................................................................
พอเพื่อนๆจับแยก ...
ไอลิงก็หน้าบวม น้ำตาคลอเบ้าเดินเงียบๆจากไป
ผมแอบเดินตามมันไปช้า ๆ โดยที่มันไม่ทันสังเกต
ผมเห็นมันไปนั่งชันเข่า ทำหน้าเป็นลิงเศร้าอยู่ตรงจุดที่มันรอรถนักเรียน
โดยที่น้องสาวมันก็ยังคงกระโดดยางเล่นกับเพื่อนอยู่แถวๆนั้น ไม่ได้มาสนใจอะไรมัน
และมันก็ไม่ได้ไปเล่าให้น้องสาวฟังด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ....
มันแค่ทำหน้าที่พี่ชาย
”ปกป้องน้องสาว”ของมันเสร็จสิ้นแล้ว
ผมเดินไปซื้อเป็ปซี่ใส่น้ำแข็ง ... แล้วก็มายื่นให้มันตรงที่มันนั่งเศร้า
พูดกับมันสั้นๆว่า
”กูขอโทษนะ”
ไอลิงฝืนยิ้มทำท่าลิงโลด โดดดีใจ ดูดเป็ปซี่ผมใหญ่
แต่สิ่งที่มันโกหกผมไม่ได้ว่ามันยังคงเศร้า ก็คือ
”น้ำตา”ที่ยังคงคลออยู่ที่เบ้าตาทั้งสองข้างของมัน
ผมโคตรรู้สึกแย่ .... รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก และเห็นแก่ตัวมากๆ
สิ่งที่ไอลิงทำมันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากๆสำหรับลูกผู้ชายคนใดก็ตามที่มีน้องสาว
ข้อนั้นผมเถียงมันไม่ได้เลย ...
เพราะถ้าผมมีน้องสาวอยู่ป.4 แล้วมีเด็กป.6 คนหนึ่งมาขอจีบน้องสาวผม ...
ผมก็คงจะยืดอกปกป้องน้องสาวไม่ต่างจากที่ไอลิงได้ทำ
ผมจบเรื่องราวความรักครั้งที่ 2 ด้วยการต้องจำใจเลิกเข้าไปยุ่งกับน้องบุ๊ค เพราะเกรงใจเพื่อน ...
แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่ข้ามไปฝั่งหญิงอีก เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าน้องบุ๊คยันเรียนจบ
แต่ก็ได้ไอลิงกลับมาคบเยี่ยงเพื่อนสนิท จนถึงวาระสุดท้ายที่ต้องแยกย้ายจากกันไปเรียนโรงเรียมมัธยมแห่งใหม่
และตั้งแต่แยกย้ายกันไป ... ผมก็ไม่ได้เจอไอลิง และ น้องบุ๊คอีกเลย
แต่ยังคงจำเบอร์โทรศัพท์บ้าน และ ชื่อจริง นามสกุลจริง ของสองพี่น้องคู่นี้อยู่ได้เสมอ ...
.....................................................................................................................
แม้ความรักในวัยประถมของผมจะจบที่ความขื่นขมทั้ง 2 ครั้ง
(ครั้งแรกโดนน้าโบก ครั้งที่สองต่อยกับเพื่อนสนิท)
แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมเข้าใจ
"คำว่ารัก"มากขึ้นทีละนิด
และเชื่อมั้ยว่าความเจ็บปวดทั้ง 2 ครั้ง มันเจ็บพอที่จะทำให้เด็กวัยไม่ถึง 13 ขวบรู้สึกเจ็บ
และยังคงจดจำความเจ็บทั้ง2ครั้งนั้นมาได้จนทุกวันนี้ ....
แต่มันก็ทำให้ผมฉลาดขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ...
แข็งแกร่งจนพร้อมจะใช้ชีวิตแบบ
"คาสโนว่า"ในวัยมัธยมต้นต่อไปแบบไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บอีกกี่หน ทนอีกกี่ครั้ง
คิดจะเป็นคาสโนว่า ... เจ็บได้ แต่ต้องไม่กลัวเจ็บ ... ผมรู้แค่นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องจริงเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- จงอย่าไปจีบน้องสาวใครโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตพี่ชายของเขาก่อน
- บางครั้ง การจีบน้องสาวเพื่อน อาจทำให้เสียทั้งเพื่อน ทั้งความรัก ... บางครั้งนะ
- ความรัก ไม่เคยได้ดั่งใจเราไปเสียทุกครั้ง ...
บางครั้งเราอาจต้องยอมเสียความรักไป เพื่อรักษาอะไรบางอย่างไว้
อะไรบางอย่างก็ตามที่อาจมีค่ามากกว่า"ความเห็นแก่ตัวของเราเอง"ณ.ตอนนั้น
- ผมตรัสรู้มาตั้งแต่ป.6แล้วว่า หลายๆครั้งความรักมันไม่ได้มีความ”ความกำหนัด”มาเจือปนเลย
มันเป็นแค่ก้อนความสุขที่เกิดขึ้นณ.ช่วงเวลาหนึ่งระหว่างคนสองคน
ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต ไม่มีเพศ และไม่มีสถานะใดๆมาขั้นกลางด้วย ... มันก็แค่”ความรัก”
つづく
เรื่องเล่าจากชีวิตจริง "คาสโนว่าตราลุง" บทที่ 2 - เพื่อนรัก หักเหลี่ยมเลิฟ
ยังคงส่งอานุภาพทำให้ผม”ไม่อยากจะรักใคร”ไปอีกประมาณปีกว่าๆ
มันทำให้ผมเลิกสนใจโบว์ (และนมโตๆของพี่สาวโบว์)
มาหมกมุ่นอยู่กับการเขี่ยไพ่ และเกมส์กด ได้อย่างกับปาฏิหารย์
แต่มันต้านทานความรุนแรงของฮอร์โมนเพศชายไว้ได้แค่ไม่นาน
ความรักของผมก็ผลิบานขึ้นอีกครั้ง ...
(ความเดิมตอนที่แล้ว http://pantip.com/topic/35000577)
สมัยป.6 นั้นเป็นช่วงที่ผมต้องตัดสินใจแล้วว่า
เราจะเป็น”ลูกผู้ชาย”สายไหนดี !?!?
ซึ่งตอนนั้นมันมีให้เลือกอยู่ 4 เหล่าเท่านั้น
เหล่าแรก ใหญ่สุดและเยอะสุดคือ”สายแข็ง”
เด็กที่ชอบเล่นรถแข่ง เล่นต่อสู้ ส่วนใหญ่พวกนี้โตไปจะกลายเป็นสายแข็งเกือบหมด
สายแข็งคือพวกเด็กน้อยที่เริ่มใส่เยลทำผมตั้ง ๆ
เอาที่คาดผมมาคาดทั้งๆที่ผมตรงหัวด้านหลังก็ยังเกรียนมาก
ชอบตั้งกลุ่ม ตั้งแก๊งไถตังหรือดักตบลูกผู้ชายสายอื่นๆ
เริ่มริลองบุหรี่ และ การพนันปั่นแปะ
เมื่อไม่พอใจใครก็จะท้าชก ไม่ก็ยกพวกตีกัน
ทำตัวเหมือนอยากจะโตเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา
ทั้งๆที่ยังมีวัยวุฒินำหน้าเป็นคำว่า “เด็กชาย”
เหล่าที่สองคือ “สายเนิร์ด” หรือเด็กเรียนนั่นแหละ
พวกนี้คือพวกเด็กหน้าห้อง นั่งจ้องกระดาน การบ้านเรียบร้อย มีเพื่อนน้อย แต่สอบได้คะแนนเยอะ
ส่วนมากบ้านรวย คุณพ่อ คุณแม่ขับรถมารับมาส่ง ... เสาร์ อาทิตย์ ต้องไปเรียนพิเศษ
มีจำนวนน้อยที่สุด แต่โดนพวกสายแข็งดักตบและไถตังบ่อยที่สุด
เหล่าที่สามคือ “สายฮา” หรือเด็กธรรมดาหลังห้อง
พวกนี้เป็นพวกเน้นบันเทิง รักสงบ ไม่ต่อยดีกับใคร
วันๆมีแค่เรื่องคุย มุกตลก ขนม ของเล่นและเกมส์กด
บางคนก็กลายไปเป็น”ลิ่วล้อ”ไอพวกสายแข็ง ... คอยเดินซื้อน้ำซื้อหนมให้
บางคนก็ยอมเป็นเบ๊เค้าเพื่อหวังแค่ว่าตัวเองจะได้ไม่โดนตบหรือไถตังเหมือนไอพวกสายเนิร์ด
และเหล่าสุดท้ายคือ “สายเหลือง” ... พวกนี้โตมาจะกลายเป็นผู้ชายมีนม
ทุกโรงเรียนไม่ว่าจะโรงเรียนสหฯ หรือโรงเรียนชายล้วน จะมีพวกสายเหลืองปะปนอยู่เสมอ
ผมไม่อธิบายนะ ... เชื่อว่าหลายๆคนคงเข้าใจ
.....................................................................................................................
ตอนนั้นใจลึกๆ ผมรู้ตัวครับ ว่าผมสามารถอยู่สายแข็งได้
แต่ผมไม่ชอบระบบ”กฎหมู่”ที่เด็กสายแข็งชอบทำสืบทอดกันมาแบบไม่มีเหตุผล
เช่นไปไหนก็ต้องยกโขยงกันไป ... กินอะไรก็ต้องกินคล้ายๆกัน
มีการแบ่งวรรณะ คนนั้นเก๋า คนนี้เก่ง คนโน้นหัวหน้า คนนู้นลูกน้อง
ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่ชอบ ... และไม่เห็นว่ามันจะ”เท่ห์”ตรงไหน
ผมเลยตัดสินใจ เลือกเหล่าให้ตัวเองมาอยู่”สายฮา”
เพราะผมไม่ใช่เด็กเรียนเก่งนั่งหน้าห้อง
และผมก็ไม่ใช่เด็กที่ชอบจ้องจับตูดเพื่อนๆเพศเดียวกัน
อีกอย่างคือ ผมมีความเชื่อตั้งแต่เด็กๆแล้วว่า
“มุกตลกเจ๋งๆ”นั้นมีพลังมากกว่า”กำปั้นแข็งๆ”มากมายนัก
มุกตลกสร้างมิตรภาพได้ ... เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้ง่าย
ผมมักรอดตัวจากการโดนไถตังมาได้ด้วยการ”เล่นมุก”อยู่เสมอ
.......................................................................................................
การมาอยู่กับพวกเพื่อนสายฮา ทำให้ผมสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อ “ไอลิง ศุภรัตน์”
ผมกับไอลิงนั่งติดกันตลอด 4 เทอมในตอนป.5 ถึงป.6
เรามักเอาขนมมาแบ่งกันกิน เอาการ์ตูนมาแบ่งกันอ่าน
หัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนจนโดนครูเรียกมาตีทั้งคู่อยู่เป็นประจำ
ผมสนิทกับไอลิงมาเกือบปีครึ่ง ถึงได้รู้ว่ามันมีน้องสาวอยู่ชั้นป.4
แรกทีเดียวผมก็ไม่ได้สนอะไร เพราะยังฝังใจกับเรื่องน้องโบว์และ”ฝ่ามือสลายรัก”ของน้าอยู่
แต่เย็นวันหนึ่งที่ผม ข้ามฝั่งมาส่งไอลิงที่รถโรงเรียน ....
ผมก็ได้พบกับ ”น้องบุ๊ค” น้องสาวแท้ๆของไอลิงเป็นครั้งแรก
แล้วผมก็ยืนอึ้งทึ่งในความน่ารักของน้องบุ๊คอยู่พักนึง
จนเหมือนไอลิงจะจับได้ว่าเราชอบน้องสาวมัน
อารมณ์ตอนนั้นมันต่างจากตอนที่ยืนตะลึงจ้องนมโตๆของพี่สาวโบว์
น้องบุ๊คเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยังไม่มีนม ...
แต่มีผม และดวงตาวาวโต ที่เป็น”สีน้ำตาลเข้ม”อย่างเป็นธรรมชาติ
น้องตัวเล็กผอม ผิวขาวซีด แต่มีริมฝีปากสีชมพูสดเหมือนทาลิปสติก
มีสีผม และสีผิว ที่ออกไปทางลูกครึ่งฝรั่ง
(ต่างจากไอลิงพี่ชายของเธอที่ขาวเหลืองๆออกไปทางเชื้อสายจีน)
ผมได้ไม่สนใจเลยว่า โตไปน้องบุ๊คจะสวยและนมโตมากขึ้นกว่านี้ได้อีกมั้ย
เพราะน้องบุ๊คที่ผมเห็นในตอนนั้น “สวย น่ารักและเลอค่ามากพอแล้ว”
ผมเข้าไปคุยเล่นกับน้องบุ๊คในฐานะเพื่อนของพี่ชายเธอ
บางทีก็ซื้อน้ำ ซื้อหนมไปฝาก
ตกเย็นเลิกเรียนทีไร ก็จะดิ่งจากโรงเรียนฝั่งชาย ไปฝั่งหญิง
(โรงเรียนชายล้วนที่ผมเรียน มีโรงเรียนหญิงล้วนตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ซึ่งน้องบุ๊คเค้าเรียนอยู่โรงเรียนนั้น)
บอกไอลิงว่าไปหาอะไรอร่อยๆกินฝั่งหญิงกัน (ทั้งๆที่จริงๆแล้วฝั่งชายนั้นมีของขายเยอะกว่า)
พอเจอหน้าน้องบุ๊คผมก็ยิ้มกริ่มมีความสุขอยู่คนเดียว จนไอลิงเริ่มจะเห็นพฤติกรรมชัดเจนขึ้น
มันเห็นผมหัดกระโดดยาง ... มันเห็นผมหัดเล่นหมากเก็บ ... มันเห็นผมเล่นตุ๊กตากระดาษ
และทุกๆกิจกรรมที่ผมทำ จะมี”น้องสาวของมัน”แนบชิดอยู่เคียงข้างผมเสมอ
สารภาพตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่ได้คิดจะ”จีบ”น้องบุ๊คมาเป็นแฟนแต่อย่างใด
ผมรู้ว่าทั้งตัวผมเอง และตัวน้องเค้าก็ยัง”เด็กเกินไปมากๆ”ที่จะคิดเรื่องแฟน เรื่องชู้สาว
แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ...ผมหลงสเน่ห์เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้เข้าอย่างจัง
และผม”มีความสุข”ทุกๆครั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ ...
ทั้งๆที่เธอก็คงมองว่าผมเป็นแค่พี่ชายตลกๆและใจดีคนหนึ่งเท่านั้น
........................................................................................................
เย็นวันหนึ่งผมแกล้งแย็ปถามไอลิงไปว่า “ถ้าน้องโต กูขอจีบได้ป่าววะ”
ไอลิงหันขวับมามองหน้าผม ทำตาขวางบอก “อย่ามายุ่งกับน้องกูไอนะสลัด”
เหมือนว่าประโยคที่ผมถามไอลิง คือสิ่งที่มันติดใจสงสัยมานาน
ว่าจริงๆแล้ว”ผมเป็นตุ๊ด”หรือ”ผมทำเป็นสนิทกับเด็กผู้หญิงป.4เพื่อจีบน้องสาวมันกันแน่”
พอผลออกมากลายเป็นว่า ผมแอบชอบน้องสาวมัน
มันก็เลยเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยทำกับผมทันที ...
เช้าวันรุ่งขึ้นแม้จะนั่งติดกัน แต่มันก็ไม่พูดกับผมสักคำ
ผมพยายามบอกให้มันสบายใจว่า “เรื่องที่จะจีบน้องสาวเมื่อวานอ่ะกูล้อเล่น”
แต่ก็ไม่เป็นผล ... เพราะสิ่งที่ผมทำให้มันเห็นมาสักพัก ยืนยันได้แล้วว่า
“ผมชอบน้องสาวมันจริงๆ ... ไม่ได้ล้อเล่น”
ผมพยายามง้อมันไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่เป็นผล ... จนในที่สุดก็หมดความอดทน
อยู่ดีวิญญาณ”เด็กสายแข็ง”เข้ามาสิง ผมดันท้าไอลิงต่อยซะงั้น ?!?!
คือมันคิดอะไรไม่ออก ... อยากให้เพื่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่มันก็ไม่เป็น
ในเมื่อไม่พอใจ “มาต่อยกับกูเลยมั้ยอ่ะ”
แล้วไอลิงก็ไม่ยอมเสียเชิงชาย
ลุกขึ้นมาปกป้องน้องสาวจากไอ้ลุงร้ายด้วยการรับคำท้าของผมซะงั้น
เย็นวันนั้นเลยมีเพื่อนๆร่วมเป็นศักขีพยานการชกระหว่าง “ไอลุง”กับ”ไอลิง”
โดยไม่ได้มีเชี่ยอะไรเลยเป็นเดิมพัน ... น้องสาวมันก็ไม่ได้รู้เรื่อง ... อารมณ์ล้วนๆ
ไอลิงเนี่ย ... ผมเรียนห้องเดียวกับมันมาตั้งแต่อนุบาล
แต่เพิ่งจะมาเริ่มสนิทก็ตอนเข้าป.5 ...
เห็นมาตลอดว่ามันเป็นเด็กต๊องๆ ไม่เคยได้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งต่อยตีอะไรกับใคร
ต่างจากผมที่เคยต่อยกับ”ไอชัยรัตน์”มาแล้วหนึ่งไฟต์
และต่อยกับ”ไอสันติภาพ”(หลานอาจารย์ใหญ่)มาแล้วถึงสองไฟต์
คือเรื่องการชกเนี่ย ผมมีประสบการณ์มากกว่าไอลิงแน่นอน ...
ตกเย็นเลิกเรียน ถึงเวลานัดชก ...
บอกตรงๆว่าตอนนั้นมันไม่ได้อยากต่อยกับไอลิงเลย
ที่พูดไปว่า “ต่อยกับกูเลยมั้ย” มันก็ไม่ได้มาจากความโกรธแค้น
แต่อยากให้เพื่อนที่เรารักและสนิทมากที่สุดในรอบสองปีนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมมากกว่า
ไอลิงยังคงยืนจ้องหน้าผมตาเขม็ง
ก่อนมันจะวิ่งมากระโดดถีบแบบ”ไม่เป็นมวย”
ผมรู้ละว่าไอลิงเอาจริง ต่อยก็ต่อยวะ ... แต่ช็อตแรกมันถีบพลาดไง ... ไม่โดน
พอเสียหลักหันหน้ากลับมาก็เรียบร้อย โดนผมสอยไปแบบไม่ขอลงรายละเอียด
............................................................................................................
พอเพื่อนๆจับแยก ...
ไอลิงก็หน้าบวม น้ำตาคลอเบ้าเดินเงียบๆจากไป
ผมแอบเดินตามมันไปช้า ๆ โดยที่มันไม่ทันสังเกต
ผมเห็นมันไปนั่งชันเข่า ทำหน้าเป็นลิงเศร้าอยู่ตรงจุดที่มันรอรถนักเรียน
โดยที่น้องสาวมันก็ยังคงกระโดดยางเล่นกับเพื่อนอยู่แถวๆนั้น ไม่ได้มาสนใจอะไรมัน
และมันก็ไม่ได้ไปเล่าให้น้องสาวฟังด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ....
มันแค่ทำหน้าที่พี่ชาย”ปกป้องน้องสาว”ของมันเสร็จสิ้นแล้ว
ผมเดินไปซื้อเป็ปซี่ใส่น้ำแข็ง ... แล้วก็มายื่นให้มันตรงที่มันนั่งเศร้า
พูดกับมันสั้นๆว่า”กูขอโทษนะ”
ไอลิงฝืนยิ้มทำท่าลิงโลด โดดดีใจ ดูดเป็ปซี่ผมใหญ่
แต่สิ่งที่มันโกหกผมไม่ได้ว่ามันยังคงเศร้า ก็คือ”น้ำตา”ที่ยังคงคลออยู่ที่เบ้าตาทั้งสองข้างของมัน
ผมโคตรรู้สึกแย่ .... รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก และเห็นแก่ตัวมากๆ
สิ่งที่ไอลิงทำมันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากๆสำหรับลูกผู้ชายคนใดก็ตามที่มีน้องสาว
ข้อนั้นผมเถียงมันไม่ได้เลย ...
เพราะถ้าผมมีน้องสาวอยู่ป.4 แล้วมีเด็กป.6 คนหนึ่งมาขอจีบน้องสาวผม ...
ผมก็คงจะยืดอกปกป้องน้องสาวไม่ต่างจากที่ไอลิงได้ทำ
ผมจบเรื่องราวความรักครั้งที่ 2 ด้วยการต้องจำใจเลิกเข้าไปยุ่งกับน้องบุ๊ค เพราะเกรงใจเพื่อน ...
แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่ข้ามไปฝั่งหญิงอีก เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าน้องบุ๊คยันเรียนจบ
แต่ก็ได้ไอลิงกลับมาคบเยี่ยงเพื่อนสนิท จนถึงวาระสุดท้ายที่ต้องแยกย้ายจากกันไปเรียนโรงเรียมมัธยมแห่งใหม่
และตั้งแต่แยกย้ายกันไป ... ผมก็ไม่ได้เจอไอลิง และ น้องบุ๊คอีกเลย
แต่ยังคงจำเบอร์โทรศัพท์บ้าน และ ชื่อจริง นามสกุลจริง ของสองพี่น้องคู่นี้อยู่ได้เสมอ ...
.....................................................................................................................
แม้ความรักในวัยประถมของผมจะจบที่ความขื่นขมทั้ง 2 ครั้ง
(ครั้งแรกโดนน้าโบก ครั้งที่สองต่อยกับเพื่อนสนิท)
แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมเข้าใจ"คำว่ารัก"มากขึ้นทีละนิด
และเชื่อมั้ยว่าความเจ็บปวดทั้ง 2 ครั้ง มันเจ็บพอที่จะทำให้เด็กวัยไม่ถึง 13 ขวบรู้สึกเจ็บ
และยังคงจดจำความเจ็บทั้ง2ครั้งนั้นมาได้จนทุกวันนี้ ....
แต่มันก็ทำให้ผมฉลาดขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ...
แข็งแกร่งจนพร้อมจะใช้ชีวิตแบบ"คาสโนว่า"ในวัยมัธยมต้นต่อไปแบบไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บอีกกี่หน ทนอีกกี่ครั้ง
คิดจะเป็นคาสโนว่า ... เจ็บได้ แต่ต้องไม่กลัวเจ็บ ... ผมรู้แค่นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
つづく