*ขอนำเสนอเพื่อเป็นกุศลครับ*
*กระทู้สนทนานี้ ท่านที่ไม่เป็นโรคนี้จะขี้เกียจอ่านแน่นอนครับ 5555
*สำหรับท่านที่เป็นโรคนี้ ทางเดียวที่ท่านจะหาย ค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ คืออ่านอย่างวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะโรคนี้ ถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ มันจะกลับมาอีก เพราะมันคือโรค "แพนิค" หรือโรค "ตื่นตระหนก"
*ผมได้หยิบยกข้อเขียนของผู้ป่วยท่านนึงมาให้อ่านครับ ต้องเชิดชูท่านนี้ที่เขียนไว้ให้เราอ่านเพื่อคนอื่นจะได้เรียนรู้และเข้าใจ เชิญอ่านได้เลย คุณจะไม่ตายและขอให้หายไวๆครับ
=
=
=
=
=
=
=
อาการของโรคแพนิค
1.อาการต่างๆเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ
2.ขณะที่เป็นจะต้องมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 4 อย่าง ดังนี้
3.ต้องมีอาการอย่างน้อย 4 ครั้ง หรือถ้าน้อยกว่า
จะต้องมีความรู้สึกกังวลหรือกลัวว่าจะเป็นๆ เป็นเดือน
•ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
•เหงื่อแตก
•ตัวสั่น
•รู้สึกหายใจไม่อิ่มหรือไม่ออก
•เจ็บหรือแน่นหน้าอก,คลื่นไส้ มวนในท้อง
•มึนงง โคลงเคลง วูบ คล้ายจะเป็นลม
•มีความรู้สึกกึ่งฝันและรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป
•กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ กลัวจะเป็นบ้า
•กลัวจะตายในขณะนั้น
•ชาตามตัว แขนขาหรือเสียว
•หนาวหรือสั่น หรือสะบัดร้อนหรือหนาว
1.อาการต่างๆจะต้องเกิดขึ้นจนเต็มที่ภายใน 10 นาที แล้วค่อยดีขึ้นมาเอง
หัวใจเต้นแรง หายใจไม่ออก อาการคล้ายๆเวลาที่เราตกใจสุดขีดหรือตอนที่เราโกรธจัดๆทั้งๆที่ขณะนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่เพียงนิดเดียวฉันบอกตัวเองว่า จงผ่อนคลายๆๆๆๆและพยายามหายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆ เหมือนทุกครั้งที่ฉันรู้สึกตกใจหรือว่ารู้สึกตื่นเต้น เวลาที่ฉันต้องไปปรากฎตัวบนเวทีต่อหน้าคนหมู่มากหรือเมื่อที่ต้องออกไปกล่าวอะไรหน้าชั้นเรียนฉันจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆๆๆๆๆ หายใจออกยาวๆๆๆๆๆอาการดังกล่าวจะค่อยลดลง
ครั้งที่ฉันเป็นแพนิคฉันก็นำวิธีดังกล่าวมาใช้ เพื่อรวบรวมจิตใจให้ลดความตื่นตระหนก แต่มันเป็นไปได้ยากมาก
กว่าที่อาการต่างๆจะหายไป ครั้งนั้นฉันเริ่มใจเสีย ฉันเป็นอะไรไปทำไมหัวใจมันเต้นรัว รู้สึกเหมือนตัวเองจะขาดอากาศหายใจความไม่รู้จึงเป็นที่มาของความกลัว ยิ่งกลัวก็ยิ่งมีอาการมากขึ้นแต่ฉันมีจุดๆหนึ่ง เมื่อถึงที่สุดฉันจะลุกมาสู้ บอกกับตัวเองว่า ตายเป็นตาย แต่ก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร
กระทั่งเจอคุณหมอท่านหนึ่งที่เคยเป็นแพนิคมาก่อนท่านบอกว่าอาการแบบนี้คืออาการตื่นตระหนก ที่เขาเรียกว่าแพนิค
ต่อจากนั้นฉันได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเคยเป็นแพนิคเพราะฮอร์โมนลดกระทันหัน ในช่วงวัยทอง ท่านบอกว่าหากกินยาหอมจะทำให้อาการดังกล่าวไม่ย้อนกลับมาเป็นอีก
ฉันอยากหาย แค่กินยาหอมและเกสรทั้งห้า ไม่ได้มีอันตรายอะไรลองหามากินดู กินยาหอม และจิบชาชงจากเกสรทั้งห้า
ที่มีส่วนผสมของ ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค
และเกสรบัวหลวง
ทำให้ประสาทที่ตึงเครียดและตื่นตระหนกลดลง
อาการใจสั่น มือชาเท้าชา และอาการกลัวอย่างไร้สาเหตุดีขึ้นโดยลำดับ
หลังจากขูดกัวซา ก็ทำให้นอนหลับสบาย
ป้ากุ๊กส่งดีวีดีจำอวดหน้าม่านมาให้ เปิดดูได้หัวเราะทำให้รู้สึกสดชื่น
ออกไปนอกบ้านไปเดินออกกำลังกาย ตีแบดมินตัน
และเดินทางไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา ทำให้อาการแพนิคลดลง
และกลับมาใช้ชีวิตตามปรกติในเวลาอันรวดเร็ว
ในหลายเดือนที่ผ่านมามีญาติและคนคุ้นเคยกัน
มาปรึกษามากมาย บางคนนำไปปฎิบัติและเห็นผล
แต่บางคนก็ต้องรับประทานยา และพาไปพบแพทย์ผู้ชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ
หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนผู้เขียนเอง เคยเล่าถึงเธอในงานเขียนครั้งหนึ่ง
เคยชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ
เธอสูญเสียสามี ขณะที่ลูกชายคนแรกอายุราวๆสามขวบ
และในท้องยังมีลูกฝาแฝดอายุครรด์เกือบเจ็ดเดือน
ขณะนี้ลูกชายหญิงของเธอ กำลังเป็นวัยรุ่น
จู่ๆลูกชายก็เกิดอาการแพนิค แต่ไม่มีใครในครอบครัวรู้จักโรคนี้สักคน
เธอพาลูกชายไปพบแพทย์หลายครั้ง
แพทย์ไม่พบความผิดปรกติทางร่างกายใดใด
เธอเล่าว่ารู้สึกเป็นห่วงและกังวลใจมาก แอบคิดว่าลูกชายติดยา
และเกิดอาการประสาทหลอน
เราทำงานกันคนละที่ จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสพบกันบ่อยนัก
และในตอนนั้น ผู้เขียนก็ยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนี้
ครั้นเมื่อรู้วิธี เล่าอาการให้เธอฟัง
เธอบอกว่าลูกชายก็มีอาการเหมือนกันกับผู้เขียน
ขณะนี้พาไปรักษา หลานชายได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปรกติอีกครั้ง
ในวารสารก้าวทันโรค ของโรงพยาบาลพระรามเก้า
ประเด็นตรงนี้น่าสนใจมาก
ทำไมสารเคมีในสมองถึงไม่สมดุล
มีหลายสาเหตุ เช่น
กรรมพันธุ์ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มีพันธุ์เป็นโรคแพนิค
ลูกหลานก็มีแนวโน้มจะเป็นได้มากกว่าคนที่ไม่มีกรรมพันธุ์
ประสบการณ์ในชีวิต มีงานวิจัยยืนยันว่า
คนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตโดยเฉพาะในวัยเด็ก
มีโอกาสเป็นโรคแพนิคได้มากกว่า
คนที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้าย เช่น
การถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก การสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก
การถูกทำร้ายร่างกาย การถูกล่วงละเมิดทางเพศ
เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
หรือการเสียสมดุลของสารเคมีในสมองได้
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังต้องได้รับการศึกษาวิจัยต่อไป
การใช้สารเสพติด จะไปทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุล
ไปอย่างตรงไปตรงมา
มีโอกาสเป็นบ้าได้หรือไม่
ไม่ค่อยพบว่าคนที่เป็นโรคแพนิคแล้วกลายเป็นโรคจิตเภทในภายหลัง
แต่จะพบภาวะอื่นๆตามมา เช่น
ภาวะอะโกราโฟเบีย (Agoraphobia)
หรือภาวะกลัวที่จะต้องอยู่ในที่ที่ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือได้
เมื่อมีอาการ ทำให้ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียว
ภาวะซึมเศร้า หลังจากมีอาการและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
ตรวจหลายอย่าง หลายโรงพยาบาลก็ไม่พบสาเหตุ
โดยที่ผู้ป่วยคิดว่าตัวเองผิดปกติแน่แต่ตรวจไม่พบ
จึงเริ่มท้อแท้ เบื่อหน่าย บางรายเป็นหัวหน้าครอบครัว
ก็วิตกกังวลว่าจะไม่มีคนช่วยดูแลครอบครัว
ยิ่งทำให้อาการเป็นหนักเข้าไปอีกบางรายถึงขั้นคิดอยากตาย
รวมทั้งจะพาครอบครัวตายไปด้วยกันหมดก็มี
.
.
.
หลังจากอ่านบทความด้านบน ผู้เขียนลองนึกทบทวน
ถึงสาเหตุที่เป็นของตัวเองและหลานชายคนนั้น
น่าจะเกิดจากสาเหตุเดียวกันคือสูญเสียพ่อแม่ในวัยเด็ก
ไม่ได้ชี้ชัดว่าเด็กทุกคนที่สูญเสียบุคคลที่รัก
จะต้องเป็นโรคแพนิคนะคะ แต่คงจะมีเหตุและปัจจัยอย่างอื่นร่วมด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด
เป็นเพียงคนเคยป่วยก็เท่านั้นเอง
ทำให้นึกไปถึงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่พ่อแม่ฆ่าลูก
และฆ่าตัวตายตามกันไป เขาอาจอยู่ในภาวะโรคนี้ก็เป็นได้
เพราะในขณะที่เป็นโรคนี้ การตัดสินใจในเรื่องต่างๆเกือบเป็นศูนย์
เสียการทรงตัวมากๆ
ยังคิดต่อไปถึงดารานักแสดงหลายๆคน
ที่เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่นมาริลีนมอลโล
เธออาจตกอยู่ในช่วงที่เป็นแพนิคก็เป็นได้
คนใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยมีความสำคัญมาก หากเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้
พาไปรักษาเสียแต่เนิ่นๆจะมีโอกาสหายขาดได้
ผู้เขียนโชคดี ที่มีคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน
เข้าใจและให้ความช่วยเหลือดูแลมาตลอด
นำเรื่องราวมาฝากกันวันนี้ เพื่อแบ่งปันความรู้
และประสบการณ์ตรงของตัวเอง
บางคนใจร้อนรักษาแบบรับประทานยาคลายกังวล
เพราะอยากเห็นผลเร็ว ไม่อยากทรมานกับอาการตื่นตระหนกที่เป็น
ผ่านมาเป็นปี กลับยังมีอาการต้องทานยาตลอด
รางเนื้ออาจชอบรางยา
อยากแนะนำให้มาลองวิธี ที่ผู้เขียนนำมารักษาดูบ้างค่ะ
เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์ว่าวิธีที่ใช้ได้ผลจริงๆ
แอมอร
ที่มา :
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aracha&group=30&month=23-05-2012&gblog=3
*เอาล่ะครับ อย่างที่ทราบกันดี มันอยู่ที่เรารู้จักเรามากแค่ไหน ถ้ารู้จักและยอมรับว่าเราเป็นโรค ควรบอกคนรอบข้าง ว่านี่คือโรคชนิดหนึ่งที่ไม่ได้น่ารังเกียจหรือน่าอาย ควรให้ทุกคนรู้ เพื่อตัวคุณจะสามารถระบายเรื่องนี้ให้เขาฟังได้ เมื่อคุณมีอาการ เมื่อบอกคนอื่นว่าอาการกำเริบ เมื่อคนอื่นพร้อมจะช่วยคุณ คุณจะมีกำลังใจ และหายจากโรคนี้ครับ
โรคหัวใจเต้นเร็ว กลัวตาย หัวใจวาย ช็อค พอไปโรงพยาบาลแล้วหาย?
*กระทู้สนทนานี้ ท่านที่ไม่เป็นโรคนี้จะขี้เกียจอ่านแน่นอนครับ 5555
*สำหรับท่านที่เป็นโรคนี้ ทางเดียวที่ท่านจะหาย ค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ คืออ่านอย่างวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะโรคนี้ ถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ มันจะกลับมาอีก เพราะมันคือโรค "แพนิค" หรือโรค "ตื่นตระหนก"
*ผมได้หยิบยกข้อเขียนของผู้ป่วยท่านนึงมาให้อ่านครับ ต้องเชิดชูท่านนี้ที่เขียนไว้ให้เราอ่านเพื่อคนอื่นจะได้เรียนรู้และเข้าใจ เชิญอ่านได้เลย คุณจะไม่ตายและขอให้หายไวๆครับ
=
=
=
=
=
=
=
อาการของโรคแพนิค
1.อาการต่างๆเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ
2.ขณะที่เป็นจะต้องมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 4 อย่าง ดังนี้
3.ต้องมีอาการอย่างน้อย 4 ครั้ง หรือถ้าน้อยกว่า
จะต้องมีความรู้สึกกังวลหรือกลัวว่าจะเป็นๆ เป็นเดือน
•ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
•เหงื่อแตก
•ตัวสั่น
•รู้สึกหายใจไม่อิ่มหรือไม่ออก
•เจ็บหรือแน่นหน้าอก,คลื่นไส้ มวนในท้อง
•มึนงง โคลงเคลง วูบ คล้ายจะเป็นลม
•มีความรู้สึกกึ่งฝันและรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป
•กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ กลัวจะเป็นบ้า
•กลัวจะตายในขณะนั้น
•ชาตามตัว แขนขาหรือเสียว
•หนาวหรือสั่น หรือสะบัดร้อนหรือหนาว
1.อาการต่างๆจะต้องเกิดขึ้นจนเต็มที่ภายใน 10 นาที แล้วค่อยดีขึ้นมาเอง
หัวใจเต้นแรง หายใจไม่ออก อาการคล้ายๆเวลาที่เราตกใจสุดขีดหรือตอนที่เราโกรธจัดๆทั้งๆที่ขณะนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่เพียงนิดเดียวฉันบอกตัวเองว่า จงผ่อนคลายๆๆๆๆและพยายามหายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆ เหมือนทุกครั้งที่ฉันรู้สึกตกใจหรือว่ารู้สึกตื่นเต้น เวลาที่ฉันต้องไปปรากฎตัวบนเวทีต่อหน้าคนหมู่มากหรือเมื่อที่ต้องออกไปกล่าวอะไรหน้าชั้นเรียนฉันจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆๆๆๆๆ หายใจออกยาวๆๆๆๆๆอาการดังกล่าวจะค่อยลดลง
ครั้งที่ฉันเป็นแพนิคฉันก็นำวิธีดังกล่าวมาใช้ เพื่อรวบรวมจิตใจให้ลดความตื่นตระหนก แต่มันเป็นไปได้ยากมาก
กว่าที่อาการต่างๆจะหายไป ครั้งนั้นฉันเริ่มใจเสีย ฉันเป็นอะไรไปทำไมหัวใจมันเต้นรัว รู้สึกเหมือนตัวเองจะขาดอากาศหายใจความไม่รู้จึงเป็นที่มาของความกลัว ยิ่งกลัวก็ยิ่งมีอาการมากขึ้นแต่ฉันมีจุดๆหนึ่ง เมื่อถึงที่สุดฉันจะลุกมาสู้ บอกกับตัวเองว่า ตายเป็นตาย แต่ก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร
กระทั่งเจอคุณหมอท่านหนึ่งที่เคยเป็นแพนิคมาก่อนท่านบอกว่าอาการแบบนี้คืออาการตื่นตระหนก ที่เขาเรียกว่าแพนิค
ต่อจากนั้นฉันได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเคยเป็นแพนิคเพราะฮอร์โมนลดกระทันหัน ในช่วงวัยทอง ท่านบอกว่าหากกินยาหอมจะทำให้อาการดังกล่าวไม่ย้อนกลับมาเป็นอีก
ฉันอยากหาย แค่กินยาหอมและเกสรทั้งห้า ไม่ได้มีอันตรายอะไรลองหามากินดู กินยาหอม และจิบชาชงจากเกสรทั้งห้า
ที่มีส่วนผสมของ ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค
และเกสรบัวหลวง
ทำให้ประสาทที่ตึงเครียดและตื่นตระหนกลดลง
อาการใจสั่น มือชาเท้าชา และอาการกลัวอย่างไร้สาเหตุดีขึ้นโดยลำดับ
หลังจากขูดกัวซา ก็ทำให้นอนหลับสบาย
ป้ากุ๊กส่งดีวีดีจำอวดหน้าม่านมาให้ เปิดดูได้หัวเราะทำให้รู้สึกสดชื่น
ออกไปนอกบ้านไปเดินออกกำลังกาย ตีแบดมินตัน
และเดินทางไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา ทำให้อาการแพนิคลดลง
และกลับมาใช้ชีวิตตามปรกติในเวลาอันรวดเร็ว
ในหลายเดือนที่ผ่านมามีญาติและคนคุ้นเคยกัน
มาปรึกษามากมาย บางคนนำไปปฎิบัติและเห็นผล
แต่บางคนก็ต้องรับประทานยา และพาไปพบแพทย์ผู้ชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ
หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนผู้เขียนเอง เคยเล่าถึงเธอในงานเขียนครั้งหนึ่ง
เคยชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ
เธอสูญเสียสามี ขณะที่ลูกชายคนแรกอายุราวๆสามขวบ
และในท้องยังมีลูกฝาแฝดอายุครรด์เกือบเจ็ดเดือน
ขณะนี้ลูกชายหญิงของเธอ กำลังเป็นวัยรุ่น
จู่ๆลูกชายก็เกิดอาการแพนิค แต่ไม่มีใครในครอบครัวรู้จักโรคนี้สักคน
เธอพาลูกชายไปพบแพทย์หลายครั้ง
แพทย์ไม่พบความผิดปรกติทางร่างกายใดใด
เธอเล่าว่ารู้สึกเป็นห่วงและกังวลใจมาก แอบคิดว่าลูกชายติดยา
และเกิดอาการประสาทหลอน
เราทำงานกันคนละที่ จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสพบกันบ่อยนัก
และในตอนนั้น ผู้เขียนก็ยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนี้
ครั้นเมื่อรู้วิธี เล่าอาการให้เธอฟัง
เธอบอกว่าลูกชายก็มีอาการเหมือนกันกับผู้เขียน
ขณะนี้พาไปรักษา หลานชายได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปรกติอีกครั้ง
ในวารสารก้าวทันโรค ของโรงพยาบาลพระรามเก้า
ประเด็นตรงนี้น่าสนใจมาก
ทำไมสารเคมีในสมองถึงไม่สมดุล
มีหลายสาเหตุ เช่น
กรรมพันธุ์ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มีพันธุ์เป็นโรคแพนิค
ลูกหลานก็มีแนวโน้มจะเป็นได้มากกว่าคนที่ไม่มีกรรมพันธุ์
ประสบการณ์ในชีวิต มีงานวิจัยยืนยันว่า
คนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตโดยเฉพาะในวัยเด็ก
มีโอกาสเป็นโรคแพนิคได้มากกว่า
คนที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้าย เช่น
การถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก การสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก
การถูกทำร้ายร่างกาย การถูกล่วงละเมิดทางเพศ
เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
หรือการเสียสมดุลของสารเคมีในสมองได้
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังต้องได้รับการศึกษาวิจัยต่อไป
การใช้สารเสพติด จะไปทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุล
ไปอย่างตรงไปตรงมา
มีโอกาสเป็นบ้าได้หรือไม่
ไม่ค่อยพบว่าคนที่เป็นโรคแพนิคแล้วกลายเป็นโรคจิตเภทในภายหลัง
แต่จะพบภาวะอื่นๆตามมา เช่น
ภาวะอะโกราโฟเบีย (Agoraphobia)
หรือภาวะกลัวที่จะต้องอยู่ในที่ที่ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือได้
เมื่อมีอาการ ทำให้ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียว
ภาวะซึมเศร้า หลังจากมีอาการและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
ตรวจหลายอย่าง หลายโรงพยาบาลก็ไม่พบสาเหตุ
โดยที่ผู้ป่วยคิดว่าตัวเองผิดปกติแน่แต่ตรวจไม่พบ
จึงเริ่มท้อแท้ เบื่อหน่าย บางรายเป็นหัวหน้าครอบครัว
ก็วิตกกังวลว่าจะไม่มีคนช่วยดูแลครอบครัว
ยิ่งทำให้อาการเป็นหนักเข้าไปอีกบางรายถึงขั้นคิดอยากตาย
รวมทั้งจะพาครอบครัวตายไปด้วยกันหมดก็มี
.
.
.
หลังจากอ่านบทความด้านบน ผู้เขียนลองนึกทบทวน
ถึงสาเหตุที่เป็นของตัวเองและหลานชายคนนั้น
น่าจะเกิดจากสาเหตุเดียวกันคือสูญเสียพ่อแม่ในวัยเด็ก
ไม่ได้ชี้ชัดว่าเด็กทุกคนที่สูญเสียบุคคลที่รัก
จะต้องเป็นโรคแพนิคนะคะ แต่คงจะมีเหตุและปัจจัยอย่างอื่นร่วมด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด
เป็นเพียงคนเคยป่วยก็เท่านั้นเอง
ทำให้นึกไปถึงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่พ่อแม่ฆ่าลูก
และฆ่าตัวตายตามกันไป เขาอาจอยู่ในภาวะโรคนี้ก็เป็นได้
เพราะในขณะที่เป็นโรคนี้ การตัดสินใจในเรื่องต่างๆเกือบเป็นศูนย์
เสียการทรงตัวมากๆ
ยังคิดต่อไปถึงดารานักแสดงหลายๆคน
ที่เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่นมาริลีนมอลโล
เธออาจตกอยู่ในช่วงที่เป็นแพนิคก็เป็นได้
คนใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยมีความสำคัญมาก หากเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้
พาไปรักษาเสียแต่เนิ่นๆจะมีโอกาสหายขาดได้
ผู้เขียนโชคดี ที่มีคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน
เข้าใจและให้ความช่วยเหลือดูแลมาตลอด
นำเรื่องราวมาฝากกันวันนี้ เพื่อแบ่งปันความรู้
และประสบการณ์ตรงของตัวเอง
บางคนใจร้อนรักษาแบบรับประทานยาคลายกังวล
เพราะอยากเห็นผลเร็ว ไม่อยากทรมานกับอาการตื่นตระหนกที่เป็น
ผ่านมาเป็นปี กลับยังมีอาการต้องทานยาตลอด
รางเนื้ออาจชอบรางยา
อยากแนะนำให้มาลองวิธี ที่ผู้เขียนนำมารักษาดูบ้างค่ะ
เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์ว่าวิธีที่ใช้ได้ผลจริงๆ
แอมอร
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aracha&group=30&month=23-05-2012&gblog=3
*เอาล่ะครับ อย่างที่ทราบกันดี มันอยู่ที่เรารู้จักเรามากแค่ไหน ถ้ารู้จักและยอมรับว่าเราเป็นโรค ควรบอกคนรอบข้าง ว่านี่คือโรคชนิดหนึ่งที่ไม่ได้น่ารังเกียจหรือน่าอาย ควรให้ทุกคนรู้ เพื่อตัวคุณจะสามารถระบายเรื่องนี้ให้เขาฟังได้ เมื่อคุณมีอาการ เมื่อบอกคนอื่นว่าอาการกำเริบ เมื่อคนอื่นพร้อมจะช่วยคุณ คุณจะมีกำลังใจ และหายจากโรคนี้ครับ