เรากำลังเข้าสู่ยุค digital streaming อย่างเต็มรูปแบบ …
นั่นคือความบันเทิงทุกอย่างนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็น link บนอินเตอร์เน็ต ที่สามารถส่งตรงมาสู่หน้าจอของอุปกรณ์ของคุณได้ภายในทันที ไม่มีอีกแล้วที่ต้องมานั่งเฝ้ารอดูรายการเพลงในทีวีแล้วรอฟังว่ากำหนดการวางแผงอัลบั้มที่คุณชอบนั้นคือเมื่อไหร่ ไม่มีอีกแล้วที่จะได้ใช้เวลานอนฟังเพลงจากเทปคาสเซ็ท แล้วนั่งอ่านข้อความบนปกทุกตัวอักษร ก่อนที่จะลุกขึ้นมากรอกลับไปฟังเพลงที่ชอบอีกครั้ง ไม่มีอีกแล้วที่เราจะมาอัดเพลงด้วยเทป 2 ฝั่งเพื่อรวบรวมเพลงที่เพราะที่สุดให้กับสาวที่เราชอบได้ฟัง ไม่มีหลงเหลืออะไรอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
คนเรามักพูดว่า “การเปลี่ยนแปลงนั้นดีเสมอ” หากเราคิดทบทวนและตรึกตรองสิ่งเหล่านั้นอย่างดีแล้ว แต่นั่นก็ใช่ว่าเราทุกคนนั้นพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเสมอไป ตั้งแต่โลกอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรา อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก เราชื่นชมสิ่งต่างๆได้น้อยลง อยู่คนเดียวได้ยากขึ้น โลกอินเตอร์เน็ตทำให้เราได้รู้ว่า แม้คนเราจะมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงหน้าก็ใช่ว่าเราทุกคนจะสามารถเลือกอะไรใหม่ๆให้กับตัวเองได้เสมอไป กับเรื่องดนตรีก็เช่นกัน
กว่า 10 ปีที่เราได้บีบขอบเขตการฟังเพลงของคนไทยให้แคบลง คลื่นวิทยุเล่นแต่เพลงฮิตเก่าๆที่คนฟังรู้จัก ค่ายเพลงใหญ่เอาเพลงเก่ามาวนทำใหม่และบีบแนวเพลงส่วนใหญ่ให้อยู่แต่ในกรอบของ easy listening ศิลปินไม่กล้าทำเพลงที่แตกต่าง หรือแม้แต่ผับก็จะเล่นแต่เพลงเดิมๆ ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่าง เพราะกังวลว่าคนฟังจะรับอะไรใหม่ๆไม่ได้ เราจึงซึ่มซับแต่อะไรเดิมๆซ้ำๆ จนเราถูกหล่อหลอมกันไปเองว่านี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนพึงพอใจ แต่จะมีซักกี่คนที่รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นได้ทำลายวงการเพลงไทยไปอย่างๆช้า จนถึงตอนนี้วงการเพลงไทยไม่สามารถขยายหรือพัฒนาอะไรได้อีกแล้ว เราอยู่กับเพลงแนวเดิมที่ไม่สามารถเอาไปเป็นหน้าเป็นตาเมื่อต้องเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เรามีเพลงที่ดังที่สุดที่ไปลอกเลียนเพลงของคนอื่นเขา เราไม่มีวงดนตรีร็อคหนักๆหลงเหลืออยู่บนหน้าปัดวิทยุ 90% ของเพลงใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นเพลงรักช้าๆ และ 90% ของเพลงที่เล่นในผับคือเพลงดังเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ความหลากหลายของดนตรีไทยนั้นลดลงแต่เรากลับไม่เห็นถึงข้อเสียของมัน ศิลปินใหม่ๆขาดพื้นที่ในการแสดงผลงาน และแม้ว่าทุกวันนี้จะสามารถแสดงผลงานและความสามารถได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ แต่คนไทยก็แทบไม่หลงเหลือความทุ่มเทที่จะมีให้ต่อศิลปินอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครอยากซื้อ ไม่มีใครอยากติดตาม ไม่มีใครคิดว่าการที่จะเสพย์เพลงหรือว่าดนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเสียเงิน นายทุนและคนเก่าแก่ในวงการเพลงทำให้วงการเพลงแย่ลง เหมือนโหลปลาทองที่หมดหนทางที่จะขยับขยาย ศิลปินนั้นขายไม่ได้ ขายได้แต่งานโชว์ แล้วศิลปินที่ไม่สามารถขายงานโชว์พวกเขาจะขายอะไร ? การคิดตื้นๆว่าถ้าคนฟังไม่เสียเงินดาวน์โหลดเพลง ก็ต้องอยู่ด้วยงานโชว์ แต่ถ้าคนเราหมดความตื่นเต้นต่องานโชว์ แล้วสเต็ปต่อไปของวงการเพลงล่ะจะอยู่อย่างไร ? ไม่ใช่เพราะว่าเราปลูกฝังให้งานเพลงกลายเป็นสิ่งง่ายๆที่จะหามาเมื่อไหร่ยังไงก็ได้อย่างนี้หรอกหรือ มันถึงได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า ตราบใดที่เราเอาแต่กดฟังสิ่งเดิมๆหรือเปิดฟังแต่สิ่งเดิมๆโดยไม่รับสิ่งใหม่ รสนิยมการฟังเพลงของคนไทยก็ไม่มีวันขยับขยายหรอก และเมื่อขยับขยายไม่ได้ มูลค่าก็ไม่มีวันเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น ก็คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกต่อไป
All things must pass เป็นสารคดีที่บอกเล่าถึงความผิดพลาดและการเปลี่ยนแปลงของการเสพย์เพลงของมนุษย์ จากจุดที่สูงสุดมาสู่จุดที่ไร้ค่า หากทุกวันนี้เรายังคิดว่าการที่เรากดลิ้งค์วีดีโอตามที่ยูทูปแนะนำแล้วถือว่าเรารู้สึกพอใจกับการได้ค้นพบอะไรใหม่ๆแล้วล่ะก็ อยากให้ลองลิสต์รายชื่อเพลงที่เราฟังในแต่ละเดือนๆดู ว่ามันมีจำนวนมากขึ้น หรือแค่วนๆอยู่กับเพลงเดิมๆ เพราะว่าเราเองนั้นอาจจมอยู่กับความพอใจกับการถูกพฤติกรรมฟังเพลงแคบครอบงำมานานโดยที่เราไม่รู้ตัว และทุกวันนี้ความล่มสลายมันไม่ได้เกิดขึ้นกับ Tower Records เพียงอย่างเดียว ทั้งวงการทีวี วงการภาพยนตร์ และวงการนิตยสาร ก็เช่นกัน ทุกอย่างถูกบีบให้แคบลงและกำลังล่มสลาย แม้ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง และเราทุกคนจะกลับมาสู่สภาวะสมดุลครั้งใหม่ แต่หากว่าเรายังคงทำตัวเป็นเพียงแค่ฝูงแกะที่วันๆเอาแต่ก้มหน้าก้มตาแทะเล็มหญ้าที่นายทุนหามาให้แล้วหลอกล่อพวกเราว่านี่คือสิ่งที่ดี เราก็คงไม่ต่างอะไรกับปลาทองที่ถูกหลอกให้ย้ายมาอยู่ในโหลใบใหม่ที่มีขนาดเท่าเดิมเพียงเท่านั้น
ฝากติดตามอ่านรีวิวของหนังเรื่องอื่นๆด้วยนะครับ
https://nospoil.wordpress.com/
All things must pass และ พฤติกรรมการฟังเพลงของคนไทยที่แคบลง
เรากำลังเข้าสู่ยุค digital streaming อย่างเต็มรูปแบบ …
นั่นคือความบันเทิงทุกอย่างนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็น link บนอินเตอร์เน็ต ที่สามารถส่งตรงมาสู่หน้าจอของอุปกรณ์ของคุณได้ภายในทันที ไม่มีอีกแล้วที่ต้องมานั่งเฝ้ารอดูรายการเพลงในทีวีแล้วรอฟังว่ากำหนดการวางแผงอัลบั้มที่คุณชอบนั้นคือเมื่อไหร่ ไม่มีอีกแล้วที่จะได้ใช้เวลานอนฟังเพลงจากเทปคาสเซ็ท แล้วนั่งอ่านข้อความบนปกทุกตัวอักษร ก่อนที่จะลุกขึ้นมากรอกลับไปฟังเพลงที่ชอบอีกครั้ง ไม่มีอีกแล้วที่เราจะมาอัดเพลงด้วยเทป 2 ฝั่งเพื่อรวบรวมเพลงที่เพราะที่สุดให้กับสาวที่เราชอบได้ฟัง ไม่มีหลงเหลืออะไรอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
คนเรามักพูดว่า “การเปลี่ยนแปลงนั้นดีเสมอ” หากเราคิดทบทวนและตรึกตรองสิ่งเหล่านั้นอย่างดีแล้ว แต่นั่นก็ใช่ว่าเราทุกคนนั้นพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเสมอไป ตั้งแต่โลกอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรา อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก เราชื่นชมสิ่งต่างๆได้น้อยลง อยู่คนเดียวได้ยากขึ้น โลกอินเตอร์เน็ตทำให้เราได้รู้ว่า แม้คนเราจะมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงหน้าก็ใช่ว่าเราทุกคนจะสามารถเลือกอะไรใหม่ๆให้กับตัวเองได้เสมอไป กับเรื่องดนตรีก็เช่นกัน
กว่า 10 ปีที่เราได้บีบขอบเขตการฟังเพลงของคนไทยให้แคบลง คลื่นวิทยุเล่นแต่เพลงฮิตเก่าๆที่คนฟังรู้จัก ค่ายเพลงใหญ่เอาเพลงเก่ามาวนทำใหม่และบีบแนวเพลงส่วนใหญ่ให้อยู่แต่ในกรอบของ easy listening ศิลปินไม่กล้าทำเพลงที่แตกต่าง หรือแม้แต่ผับก็จะเล่นแต่เพลงเดิมๆ ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่าง เพราะกังวลว่าคนฟังจะรับอะไรใหม่ๆไม่ได้ เราจึงซึ่มซับแต่อะไรเดิมๆซ้ำๆ จนเราถูกหล่อหลอมกันไปเองว่านี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนพึงพอใจ แต่จะมีซักกี่คนที่รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นได้ทำลายวงการเพลงไทยไปอย่างๆช้า จนถึงตอนนี้วงการเพลงไทยไม่สามารถขยายหรือพัฒนาอะไรได้อีกแล้ว เราอยู่กับเพลงแนวเดิมที่ไม่สามารถเอาไปเป็นหน้าเป็นตาเมื่อต้องเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เรามีเพลงที่ดังที่สุดที่ไปลอกเลียนเพลงของคนอื่นเขา เราไม่มีวงดนตรีร็อคหนักๆหลงเหลืออยู่บนหน้าปัดวิทยุ 90% ของเพลงใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นเพลงรักช้าๆ และ 90% ของเพลงที่เล่นในผับคือเพลงดังเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ความหลากหลายของดนตรีไทยนั้นลดลงแต่เรากลับไม่เห็นถึงข้อเสียของมัน ศิลปินใหม่ๆขาดพื้นที่ในการแสดงผลงาน และแม้ว่าทุกวันนี้จะสามารถแสดงผลงานและความสามารถได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ แต่คนไทยก็แทบไม่หลงเหลือความทุ่มเทที่จะมีให้ต่อศิลปินอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครอยากซื้อ ไม่มีใครอยากติดตาม ไม่มีใครคิดว่าการที่จะเสพย์เพลงหรือว่าดนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเสียเงิน นายทุนและคนเก่าแก่ในวงการเพลงทำให้วงการเพลงแย่ลง เหมือนโหลปลาทองที่หมดหนทางที่จะขยับขยาย ศิลปินนั้นขายไม่ได้ ขายได้แต่งานโชว์ แล้วศิลปินที่ไม่สามารถขายงานโชว์พวกเขาจะขายอะไร ? การคิดตื้นๆว่าถ้าคนฟังไม่เสียเงินดาวน์โหลดเพลง ก็ต้องอยู่ด้วยงานโชว์ แต่ถ้าคนเราหมดความตื่นเต้นต่องานโชว์ แล้วสเต็ปต่อไปของวงการเพลงล่ะจะอยู่อย่างไร ? ไม่ใช่เพราะว่าเราปลูกฝังให้งานเพลงกลายเป็นสิ่งง่ายๆที่จะหามาเมื่อไหร่ยังไงก็ได้อย่างนี้หรอกหรือ มันถึงได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า ตราบใดที่เราเอาแต่กดฟังสิ่งเดิมๆหรือเปิดฟังแต่สิ่งเดิมๆโดยไม่รับสิ่งใหม่ รสนิยมการฟังเพลงของคนไทยก็ไม่มีวันขยับขยายหรอก และเมื่อขยับขยายไม่ได้ มูลค่าก็ไม่มีวันเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น ก็คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกต่อไป
All things must pass เป็นสารคดีที่บอกเล่าถึงความผิดพลาดและการเปลี่ยนแปลงของการเสพย์เพลงของมนุษย์ จากจุดที่สูงสุดมาสู่จุดที่ไร้ค่า หากทุกวันนี้เรายังคิดว่าการที่เรากดลิ้งค์วีดีโอตามที่ยูทูปแนะนำแล้วถือว่าเรารู้สึกพอใจกับการได้ค้นพบอะไรใหม่ๆแล้วล่ะก็ อยากให้ลองลิสต์รายชื่อเพลงที่เราฟังในแต่ละเดือนๆดู ว่ามันมีจำนวนมากขึ้น หรือแค่วนๆอยู่กับเพลงเดิมๆ เพราะว่าเราเองนั้นอาจจมอยู่กับความพอใจกับการถูกพฤติกรรมฟังเพลงแคบครอบงำมานานโดยที่เราไม่รู้ตัว และทุกวันนี้ความล่มสลายมันไม่ได้เกิดขึ้นกับ Tower Records เพียงอย่างเดียว ทั้งวงการทีวี วงการภาพยนตร์ และวงการนิตยสาร ก็เช่นกัน ทุกอย่างถูกบีบให้แคบลงและกำลังล่มสลาย แม้ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง และเราทุกคนจะกลับมาสู่สภาวะสมดุลครั้งใหม่ แต่หากว่าเรายังคงทำตัวเป็นเพียงแค่ฝูงแกะที่วันๆเอาแต่ก้มหน้าก้มตาแทะเล็มหญ้าที่นายทุนหามาให้แล้วหลอกล่อพวกเราว่านี่คือสิ่งที่ดี เราก็คงไม่ต่างอะไรกับปลาทองที่ถูกหลอกให้ย้ายมาอยู่ในโหลใบใหม่ที่มีขนาดเท่าเดิมเพียงเท่านั้น
ฝากติดตามอ่านรีวิวของหนังเรื่องอื่นๆด้วยนะครับ
https://nospoil.wordpress.com/