ลบล้าง 5 ความเชื่อผิดๆที่ขัดขวางไม่ให้คุณเป็นนักเขียน

แม้หลายคนจะอยากเป็นนักเขียน และรู้ว่าจะสามารถมีรายได้จากการเขียนและการตีพิมพ์หนังสือได้เป็นกอบเป็นกำ  แต่แล้วก็ยังมีเหตุผลมากมายมาอธิบายว่า การเป็นนักเขียนมันไม่เหมาะกับตัวเองอย่างไร

เชื่อหรือไม่ว่า อุปสรรคที่ขัดขวางการเป็นนักเขียน อาจเป็นเรื่องที่เราเข้าใจผิดมาตลอด
ต่อไปนี้เป็น 5 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการเป็นนักเขียน หลายข้ออาจเคยเป็นความจริงในอดีต แต่สำหรับปัจจุบัน “ความจริงนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว”

ความเชื่อ #1 : จะเขียนหนังสือได้ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ
ความจริง: เป็นนักเขียนก่อน แล้วจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทีหลัง
ความคิดนี้อาจทำให้หลายคนอึดอัด แต่เชื่อไหมว่า หากมีความตั้งใจ ใครๆก็เขียนหนังสือได้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา จบอักษรศาสตร์ หรือเรียนจบดอกเตอร์ในสาขาใดๆก่อน ถ้ามัวแต่รอว่า สักวันหนึ่งเราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ บางคนคงไม่มีโอกาสเลยเพราะไม่เคยสร้างผลลัพธ์อะไรในชีวิต จึงไม่มีใครรู้จักเรา

ในทางตรงกันข้าม หากเราใส่ใจค้นคว้าข้อมูล รวบรวมเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ จากหนังสือเล่มต่างๆ มาผนวกรวมกับประสบการณ์ของตัวเอง แล้วมากลั่นกรอง เรียบเรียง ตกผลึกออกเป็นสิ่งใหม่ๆ และนำเสนอด้วยการเขียนที่น่าสนใจ เราก็สามารถเป็นนักเขียนได้

และหากหนังสือของเราเป็นประโยชน์ แก้ปัญหา และสร้างคุณค่าให้กับผู้คน ในที่สุดเราก็จะได้รับการยอมรับและยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเอง  

ตัวอย่างตัวผมเอง เริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกโดยไม่ตั้งใจ ตั้งแต่อายุ 24 ตอนนั้นไปเรียนหลักสูตรด้านการฟัง แล้วรู้สึกประทับใจ ก็มาเขียนใส่บล็อค บอกเล่าว่าเราได้เรียนรู้อะไรมา แล้วมันทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปอย่างไร จากที่เป็นเด็กหนุ่มใจร้อนไม่ฟังใคร กลายเป็๋นคนใจเย็นและรับฟังผู้อื่นได้ดีมาก

ผมเขียนเรื่อยๆไม่คิดอะไร เวลาผ่านไปหนึ่งปี สามารถรวมได้เป็นเล่มแรก ชื่อ “สิบวันเปลี่ยนชีวิต” โดยที่เรายังไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในตอนนั้น แต่ประสบการณ์นี้เป็นประโยชน์ ทำให้คนหลายคนตามรอยผมไปที่เรียนบ้าง เพราะอยากได้ผลลัพธ์เหมือนที่ผมได้

เพียงไม่กี่ปีต่อมา ผมก็ออกหนังสือ 5 เล่ม เกี่ยวกับ “จิตวิทยาการฟัง” และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ในที่สุด

ความเชื่อ #2 : ต้องใช้เวลานานในการเขียนหนังสือ คงต้องลาออกจากงาน หรือรอให้เกษียณก่อน
ความจริง: ใช้เวลาเขียนเพียงวันละเล็กวันละน้อย สะสมทุกวันก็เป็นเล่มได้ ภายใน 48 ชั่วโมง
ในอดีตผมเองก็เป็น ใช้เวลาเป็นปี กว่าจะเขียนหนังสือได้สักเล่ม บางครั้งนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นชั่วโมง ก็ไม่สามารถบิ้วท์อารมณ์ให้เขียนได้ นี่เป็นปัญหาของนักเขียนทั่วไป

การพยายามใช้เวลาวันละหลายชั่วโมง บางครั้งก็ไม่สามารถทำให้เขียนออกมาได้ดี ต่อมาผมมาคิดได้ว่า ถ้าเรารู้จักวางโครงสร้างของหนังสือก่อน และแยกย่อยหัวข้อการเขียนออกมาได้ นั่นจะทำให้เรารู้ว่า แต่ละวันต้องเขียนอะไรบ้าง ก็จะใช้เวลาเขียนน้อยลง เพราะไม่ต้องมานั่งนึก และสามารถทยอยเขียนทีละส่วนย่อยๆ แล้วนำมาประกอบกันเป็นเล่มในที่สุด

มีผลวิจัยว่า สมองของเราจะสดชื่นและทำงานได้ผล หากเราจดจ่ออยู่ที่ไม่เกิน 15 นาที ดังนั้นเราไม่ควรนั่งทำงานหรือเขียนอะไรๆอยู่นานเกินไป พลังจะยิ่งลด ความคิดจะตีบตัน

ดังนั้นหากเชื่อหลักการนี้ คุณก็สามารถทำงานประจำไปด้วยและเขียนหนังสือเล่มใหม่ไปพร้อมกัน โดยใช้เวลาเพียงวันละ 10-15 นาทีต่อวันก็เพียงพอ

ซึ่งหากทำอย่างมีวินัยและมีระบบก็จะพบว่า คุณสามารถใช้เวลารวมไม่เกิน 48 ชั่วโมง ที่จะเขียนต้นฉบับเสร็จได้เหมือนที่ผมทำ ผมใช้เวลาวันละ 15-30 นาที เขียนเป็นบทความวันละ 1-2 หน้า A4 เวลาผ่านไป 2 เดือน ก็ได้ต้นฉบับหนา 100 หน้า เท่ากับหนังสือ 1 เล่มแล้วครับ

ความเชื่อ #3 : ต้องรอนานกว่าสำนักพิมพ์จะตอบรับ หรือต้องมีเส้นสายในสำนักพิมพ์ ถึงจะได้ตีพิมพ์
ความจริง: ยุคนี้ พิมพ์เอง รวยเองได้ ไม่ต้องง้อสำนักพิมพ์
อันนี้เป็นความกังวลของนักเขียนทุกคน ที่ผมก็เคยผ่านมา แม้ว่าผมมีผลงานมาหลายเล่มแล้ว แต่เนื้อหาบางเล่ม สำนักพิมพ์ที่รู้จักก็ไม่รับ ทำให้ต้องเปลี่ยนไปหาสำนักพิมพ์ใหม่ และนั่นทำให้ผมต้องรอนานอีกเป็นปี กว่าต้นฉบับของผมจะไปต่อคิว กองอยู่บนโต๊ะ บก. และกว่าจะได้ตีพิมพ์อีกก็ใช้เวลาอีกหลายเดือน (กรณีถ้าเค้าสนใจ) ทำให้หนังสือเราอาจจะได้พิมพ์เกือบ 2 ปีหลังจากเขียนเสร็จ บางทีกลายเป็นข้อมูลล้าสมัยไปแล้ว

ปัจจุบันการส่งต้นฉบับและรอสำนักพิมพ์ให้ตอบรับนั้นเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นและเสียเวลา เราสามารถพิมพ์หนังสือด้วยตัวเอง ทั้งแบบรูปเล่มและอีบุ๊ค หากเรารู้จักการทำการตลาดให้ตัวเอง หนังสือจะขายดีและมีรายรับเต็มๆ มากกว่ารับแค่ค่าลิขสิทธิ์เพียง 10% (คุณเคยรู้ไหม นักเขียนได้ค่าลิขสิทธิ์แค่นี้)  

ดังนั้น หากพิมพ์เองได้ นักเขียนสามารถทำเงินหลายแสนได้จากการเขียนหนังสือเล่มเดียว เทียบกับการส่งต้นฉบับไปสำนักพิมพ์อาจได้เงินเพียงหลักหมื่นต่อเล่มเท่านั้น  

กรณีของผม ในเล่มล่าสุดที่เขียน ผมตัดสินใจพิมพ์เอง และทำการตลาดเอง ขายเอง ไม่น่าเชื่อว่า  สามารถพิมพ์เสร็จใน 1 เดือนหลังจากที่เขียนจบ และทำรายได้ให้ผมมากกว่าที่เขียนมา 4 เล่มก่อนหน้ารวมกันเสียอีก เลยสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้จะพิมพ์เองขายเองทุกเล่มเลยครับ ^__^  

ความเชื่อ #4 : สำนวนไม่สวย เขียนไม่เก่ง เกรงจะเขียนผิดหลัก กลัวเขียนแล้วน่าเบื่อ คนไม่อยากอ่าน
ความจริง: ขอเพียงมีต้นฉบับเท่านั้น มีมืออาชีพที่จะช่วยให้หนังสือเสร็จสมบูรณ์
ความกังวลในเรื่องนี้ ทำให้หลายคนไม่อยากเขียน เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ คงเขียนได้ไม่ดีพอ ผมเองก็เคยคิดแบบนี้ เพราะกำลังเปรียบเทียบตัวเอง กับนักเขียนในดวงใจอยู่หรือเปล่า แต่คุณรู้ไหมว่า หนังสือแต่ละเล่ม กว่าจะพิมพ์ออกมาได้ อย่างที่เราเห็น จริงๆแล้ว ถูกแก้ไขมาแล้วกี่ครั้ง ถูกปรับแต่งมาแล้วกี่หนกัน ?

ในความเป็นจริง ไม่มีนักเขียนคนไหน ที่เขียนต้นฉบับแรกเสร็จแล้วผ่านฉลุย จะต้องมีทีมงานและ บก. คอยตรวจแก้ ปรับปรุง หลายครั้งจนกว่าจะได้มาตรฐาน ดังนั้นขอให้คุณกังวลเพียงแค่ เขียนต้นฉบับแรกออกมาให้เสร็จก็พอ

ส่วนหน้าที่ในการทำให้มันน่าอ่าน และดูดี เป็นหน้าที่ของทีม บก.ครับ (อันนี้เฉพาะกรณี คุณจ้างทีม บก. มาดูแลหนังสือคุณนะ ถ้าเขียนส่งสำนักพิมพ์ เค้าไม่ดูแลให้แบบนี้แน่นอน)

หนังสือพ็อกเก็ตบุ้คขายดีในปัจจุบัน มีจำนวนหน้าเพียง 150- 200 หน้า A5 ซึ่งคิดเป็นความยาวต้นฉบับเพียง 75-100 หน้า A4 เท่านั้น ซึ่งคุณสามารถเขียนเสร็จได้ง่ายๆด้วยโปรแกรมเวิร์ดธรรมดา และนั่นเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนเดียวที่คุณจะทำ ส่วนขั้นตอนที่เหลือจะมี บก. และผู้ช่วยในการเรียบเรียง อีดิต ตรวจคำผิด ออกแบบรูปเล่ม แม้กระทั่งช่วยเกลาเนื้อหาให้คุณจนเสร็จสมบูรณ์ คุณแค่จ้างมืออาชีพก็พอ  

ความเชื่อ #5 : ถ้าจะให้พิมพ์เอง คงใช้เงินทุนหลักล้านบาท แถมเสี่ยงกับเงินทุนจม
ความจริง: การพิมพ์หนังสือยุคใหม่ ใช้เงินทุนหลักหมื่น มียอดสั่งซื้อเท่าไหร่ค่อยพิมพ์เท่านั้น
แค่เรื่องเขียนก็จะแย่ หากคิดเรื่องเงินอีก หลายๆคนคงท้อใจไปเลย หากเราคิดแบบนี้กันหมด ทำให้ความหลากหลายของหนังสือในบ้านเราน้อย ไม่เหมือนต่างประเทศ ที่มี Self -Publishing เต็มไปหมด

จริงๆแล้ว หากเขียนต้นฉบับเสร็จ แล้วต้องการหาทุน เราก็วางขายในรูปแบบ Ebook ก่อนก็ได้ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย พอขายได้ระดับหนึ่ง เราได้ทุนมาก็ค่อยเริ่มพิมพ์แบบเล่ม ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิตอลในปัจจุบัน ทำให้คุณเองก็สามารถพิมพ์หนังสือของตัวเองได้

การพิมพ์แบบ Print on Demand ใช้เงินทุนน้อยกว่าที่คิดมาก ถ้าคุณจะพิมพ์หนังสือพ็อคเก้ตบุ้คของตัวเอง เริ่มต้นที่ 100 เล่ม ใช้เงินเก็บ หมื่นกว่าๆก็ทำได้แล้ว

แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้น ให้คุณออกแบบปกก่อน แล้วโพสต์รูปลงโซเชียล ทำการขายล่วงหน้า หายอดซื้อ Pre Oder ก่อน เผลอๆคุณให้เค้าโอนเงินมาก่อนเลยก็ได้ แล้วรวมเงินนั้นไปทำการพิมพ์ ใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็พิมพ์เสร็จเรียบร้อย

ถ้าคุณลองสังเกตดีๆ นักเขียนดังๆ ก็ไม่ได้ใช้สำนักพิมพ์กันแล้ว พวกเขาเขียนเอง พิมพ์เอง ขายเอง รวยเองกันหมด  เราแค่ติดต่อโรงพิมพ์ สั่งพิมพ์แบบ Print on Demand ทำแบบต้นทุนต่ำ พิมพ์น้อยๆ ขายหมดก็พิมพ์ใหม่ ไม่เสี่ยงเกินไป ไม่ต้องเก็บสต็อคหนังสือด้วย ในเมื่อลิขสิทธิ์หนังสืออยู่กับเรา จะพิมพ์อีกกี่ครั้งก็ได้ ในระยะยาวจะสร้างเงินให้เราเรื่อยๆไม่จำกัด

ใครๆที่ตั้งใจ ก็เขียนหนังสือได้ ถ้าได้เริ่มก้าวแรก จะรู้เลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด
เราไม่ได้ต้องการหนังสือระดับตำนานที่มีความสมบูรณ์แบบและเปลี่ยนโลกได้
แต่เราต้องการผู้กล้า ผู้ที่มีฝัน ผู้ที่ต้องการสร้างคุณค่าให้สังคม ด้วยงานเขียน
มาถึงตรงนี้ หวังว่าทุกท่านคงคลายใจหายกังวล และพร้อมที่จะก้าวมาเป็นนักเขียนคนต่อไป  
ผมเขียนบทความซีรีย์นี้จากประสบการณ์ตรง ที่เขียนหนังสือเอง พิมพ์เอง ขายเอง มียอดขายหลักล้านบาทภายใน 6 เดือน ทั้งที่ผมไม่ใช่นักเขียนดัง ทำให้ผมรู้สึกว่า หากใครๆรู้เรื่องนี้ ก็ย่อมทำได้เหมือนผมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมเขียนเหมาะสำหรับหนังสือประเภท How to หรือ Guide Book ไม่ได้รวมถึงงานเขียนประเภทอื่นที่ต้องอาศัยระยะเวลาและความสามารถเฉพาะของนักเขียน เช่น วรรณกรรม หรือนิยาย สำหรับบางท่านที่อ่านบทความนี้แล้ว รู้สึกไม่โอเค อาจเพราะใช้เหตุผลและข้อมูลเท่าที่ทราบมาตัดสิน
ที่เขียนมาทั้งหมด  3 ตอน เชื่อว่าคงทำให้หลายๆคนเห็นโอกาสใหม่ๆ และมีแนวทางไปเขียนหนังสือของตัวเองได้เลย

สุดท้ายนี้ ขอย้ำเตือนอีกสักครั้ง การเขียนหนังสืออย่าโฟกัสที่รายได้ ขอให้คุณโฟกัสในการสร้างผลงานคุณภาพ และมีมาตรฐาน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างแบรนด์ให้ตนเอง ส่วนผลตอบแทนจะตามมาแน่นอนผมเอาใจช่วยทุกคนนะครับ

บทความโดย เรือรบ โค้ชนักเขียนมือโปร
ติดตามพร้อมพูดคุยกับคุณเรือรบได้ที่ https://web.facebook.com/ruarob/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่